ผ่านไปครู่หนึ่ง ค่อยมีมอมอคนหนึ่ง กับขันทีคนหนึ่ง ยกสำรับอาหารเข้ามา
กับข้าวมีอยู่ห้าจาน กับน้ำแกงอีกหนึ่งชาม กับข้าวเป็นผักล้วนเสียสี่จาน มีเพียงจานเดียวที่มีเนื้อหมูปนอยู่ แต่ก็เป็นวิญญาณหมูเสียมากกว่า ขนาดใช้ตะเกียบควานหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังหาไม่พบ แกงจืดไข่น้ำก็ใสมาก จนส่องเห็นหน้าตัวเอง ไหนเลยจะเหมือนสำรับอาหารสำหรับลูกสาวขุนนางผู้สูงศักดิ์
หลินลั่วหานรีบยกกับข้าวที่มีเนื้อหมูมาวางไว้ตรงหน้า ซึ่งก็ไม่มีใครแย่งกับนาง
แต่นางกินไปได้สองคำ ก็บ่นว่าไม่อร่อย คายออก ก่อนวางตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง ‘กึก’
“ไม่กินละ! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน” ว่าแล้วก็กลับไปนั่งบนเตียง
หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่น เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียงกินอิ่ม ก็เดินเข้าหลังฉาก และพบว่าหลินลั่วหนานไม่เพียงนอนกินที่ในตำแหน่งริมสุด คนเดียวยังเอาผ้าห่มไปสองผืน โดยอีกผืนนั้นเป็นของหานเซียงเซียง
หานเซียงเซียงจึงหน้าแดงก่ำ จับปลายเสื้อ พลางขึ้นเสียงสูง “…นั่นมันผ้าห่มข้านี่”
“นี่มันผ้าห่มโรงเตี๊ยมเห็นๆ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน ผ้าห่มเจ้าเหรอ งั้นก็เรียกชื่อมันสิ ดูว่ามันจะขานรับไหม”
หลินลั่วหนานยังคงยึดผ้าห่มกับหมอนไว้ พลางแถว่าช่วยไม่ได้ โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ทำให้ใครต่อใครเห็นแล้วก็อดที่จะอารมณ์ขึ้นไม่ได้
หานเซียงเซียงน้ำตาคลอหน่วย
เฉาหนิงเอ๋อร์โตมากับครอบครัวนักวิชาการ ไหนเลยจะเคยเห็นคนเผด็จการเช่นนี้ จึงทนไม่ไหว ตะโกนโต้
“ที่นี้มีผ้าห่มทั้งหมดสี่ผืน พอดีสำหรับเราสี่คน เจ้าเอาเพิ่มไปอีกผืน แล้วคืนนี้คุณหนูหานจะห่มอะไรหะ”
“ข้าจะไปรู้รึ” หลินลั่วหนานเท้าสะเอว “ผ้าห่มบางขนาดนี้ ผืนเดียวพอที่ไหน อากาศเย็นแบบนี้ สองผืนข้ายังกลัวว่าจะหนาวด้วยซ้ำไป! ถ้าโดนลมหนาวก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว! พวกเจ้ามือเท้าช้า ไม่รีบมาหยิบเอง จะเอาอะไรกับข้า บ้าหรือเปล่า”
“เจ้า…” ขนาดคนสุขุมอย่างเฉาหนิงเอ๋อร์ยังถูกนางยั่วโมโห จนคิดจะเข้าไปพูดเหตุผลกับนางอีก แต่อวิ๋นหว่านชิ่นดึงมือไว้ก่อน “อย่าไปแย่งกับนางเลย นางอยากได้ก็ให้นางไป”
ว่าแล้วก็หันไปกำชับอะไรบางอย่างกับเมี่ยวเอ๋อร์ เมี่ยวเอ๋อร์พยักหน้ารับคำ ก่อนยิ้มในใบหน้า
“บ่าวเข้าใจแล้ว ที่ว่า มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ก็เหมือนมีของล้ำค่าอยู่ในบ้าน หมายความว่าอะไร…ผู้อาวุโสเป็นคนมองการณ์ไกลจริงๆ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกับเฉาหนิงเอ๋อร์ดึงหานเซียงเซียงออกมา เห็นนางอายุยังน้อย เป็นคนเรียบร้อยและไม่สู้คน จึงพูดปลอบใจไปสักพัก บรรยากาศค่อยดีขึ้น และในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็เดินนำสองขันทีน้อย หอบห่อผ้ากลับเข้ามา
ที่แท้เมี่ยวเอ๋อร์ไปที่ช่องเก็บของหลังรถม้า ขนสัมภาระที่นำจากบ้านขึ้นมา
พอแกะห่อผ้าออก ด้านในก็ล้วนเป็นผ้าห่มที่ถงฮูหยินเตรียมเอาไว้ให้ ผ้าห่มถักทอด้วยมือถงฮูหยินเอง
นุ่นที่ยัดและผ้าที่ใช้ย่อมหนาจริง
แล้วเมี่ยวเอ๋อร์ก็หันไปให้เงินค่าเหนื่อยกับขันทีน้อย ก่อนยิ้มแล้วว่า
“ลำบากกงกงแล้ว ทว่ายังมีเรื่องให้กงกงช่วยอีก อย่าลืมเสียล่ะ”
ทั้งสองรับคำ โค้งกายแล้วถอยออก
เมี่ยวเอ๋อร์หยิบผ้าห่มขึ้นทีละผืน ปัดฝุ่น แล้วแจกให้คุณหนูบ้านตน เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียง
พอทั้งสามได้สัมผัสเนื้อผ้า ก็รู้ทันทีว่าอุ่นมาก น่าจะกันลมหนาวในยามค่ำคืนได้อย่างไม่มีปัญหา จึงยิ้ม แล้วหันมาคุยกัน ขณะคลี่ผ้าห่มออก
หลินลั่วหนานเห็นแล้วก็อิจฉาตาร้อน ผ้าห่มผืนเดียวของคนเขา กันหนาวได้ดีกว่าผ้าห่มสองผืนของตนเป็นไหนๆ จึงลงจากเตียง สวมรองเท้าแล้วเดินเข้ามา แต่มือยังไม่ทันได้จับปลายผ้าห่ม ก็ถูกเฉาหนิงเอ๋อร์ตีลงไป
“อะไรกัน คุณหนูหลิน ของๆ โรงเตี๊ยมทั้งกับข้าว ที่นอน ผ้าห่ม เจ้าก็ยึดหมด นี่กระทั่งผ้าห่มของคนอื่นเจ้ายังมีหน้ามาแย่งอีก”
หลินลั่วหนานหน้าแตก จึงเก็บมือลง “ชิ นึกว่าจะมีอะไรดี”
พอได้รับผ้าห่มกันถ้วนหน้า ต่างคนต่างก็ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ขณะฟ้ามืดค่ำลง
เมี่ยวเอ๋อร์เดินออกมาดูหน้าประตู เห็นขันทีน้อยเตรียมกะละมังไฟและถ่านไว้ให้เรียบร้อย โดยวางไว้ตรงระเบียงหน้าประตู จึงอุ้มเข้ามา ติดไฟในห้อง ให้ถ่านเผาไหม้
ตอนนี้ ในห้องจึงไม่เย็นเหมือนเมื่อครู่อีก อุ่นขึ้นมาก หานเซียงเซียงยิ้มแก้มแดงแบบเด็กๆ แล้วว่า
“ต้องขอบคุณคุณหนูอวิ๋น ที่ทำให้ห้องเย็นๆ ห้องหนึ่ง มีไออุ่นขึ้นทันตาเห็น”
และในตอนนี้เอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังแอ๊ด ตามด้วยเสียงฝีเท้า มีคนเข้ามาในห้อง
บ่าวแต่งกายแบบสาวใช้เดินมาก่อนคนหนึ่ง เลิกผ้าม่าน ก้าวเข้ามา แล้วพูดดูหมิ่นไม่หยุดหย่อน
“โอ๊ะ ยังตัวทำเริงร่ากันได้ในความทุกข์ยากจริงๆ ด้วย” ก่อนหันหลัง “คุณหนูเจ้าคะ พักอยู่ในห้องกันเรียบร้อย คนเขาเตรียมเข้านอนกันหมดแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไป เป็นลวี่สุ่ย ส่วนผู้ที่อยู่ด้านหลัง ย่อมเป็นอวี้โหรวจวง
อวี้โหรวจวงสวมเสื้อทอลายดอกหลากสีแขนยาว ติดกระดุมโค้งลงเป็นรูปผีผา เนื่องจากออกนอกห้องตอนกลางคืน จึงสวมเสื้อคลุมปักลายห่านป่าดิ้นทองพื้นดำแบบมีหมวกมาด้วย และเนื่องจากเพิ่งก้าวเข้าห้องมา ไอเย็นบนตัวยังไม่จางหาย จึงดูสวยเด่นแบบเย็นยะเยือก งามสง่าแบบบาดตา คอหยกเรียวงามดุจหงส์ชูขึ้นสูง ดวงตาหงส์เรียวบางกวาดมองไปรอบๆ ก่อนหยุดสายตาอยู่ที่กะละมังไฟกลางห้องซึ่งไฟกำลังลุก แล้วจึงเหลือบมองผ้าห่มหนาๆ บนเตียง สุดท้ายค่อยจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่น ดวงตาที่เยือกเย็นยิ่งเย็นลงไปอีก
นอกจากอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว คนอื่นๆ อีกสามคนต่างก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าระดับลูกสาวของสมุหนายกอวี้จะมา จึงลุกขึ้นยืนตามๆ กัน แล้วถอนสายบัว “คุณหนูอวี้มาได้อย่างไรคะ”
หลินลั่วหนานยิ้มพลางพุ่งไปอยู่ตรงหน้าอวี้โหรวจวงเป็นคนแรก “คุณหนูอวี้” พร้อมท่าทีประจบสอพลอ ก่อนมองพวกอวิ๋นหว่านชิ่น กับหานเซียงเซียงด้วยท่าทีที่ไม่ต่างอะไรไปจากการมองดินโคลน
แต่อวี้โหรวจวงไม่แม้แต่จะมองหลินลั่วหนาน กลับมีท่าทีเฉยเมย แฝงรอยยิ้มลึกลับ
“ข้าออกมาเดินย่อยหลังอาหารน่ะ แล้วเดินมาถึงที่นี่พอดี ได้ยินว่าห้องพักของพวกเจ้าไม่เหมือนใคร ก็เลยแวะมาดูหน่อย คิดไม่ถึงว่า พิเศษมากจริงๆ ด้วย”
พอคำพูดนี้หลุดจากปาก ดวงตาของหลินลั่วหนานพลันทอประกาย ก่อนตบศีรษะตัวเองเบาๆ เรื่องที่แปลกใจว่าเหตุใดอวี้เฉิงกังแห่งกองกิจการภายในนั่น ถึงได้กลั่นแกล้งกลุ่มของตนเช่นนี้ ตอนนี้นับว่าตระหนักแล้ว หัวหน้าอวี้นั่น เป็นญาติผู้พี่ของอวี้โหรวจวง ซึ่งตอนอยู่ในงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลิมพระชนม์ไทเฮา อวี้โหรวจวงกับอวิ๋นหว่านชิ่นมิใช่ชิงดีชิงเด่นต่อหน้าไทเฮาหรอกหรือ!
ที่แท้ อวิ๋นหว่านชิ่นนี่เอง ที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน!
เป็นเพราะอวิ๋นหว่านชิ่น ตนถึงต้องมาอยู่ห้องโกโรโกโส กินข้าวที่แข็งโป๊ก แม้แต่ผ้าห่มที่หนากว่านี้ก็ไม่มี
คุณหนูอวี้มีเบื้องหลังที่ร้ายกาจไม่เบา พอเห็นตนอยู่ห้องเดียวกับอวิ๋นหว่านชิ่น แม้ไม่คิดว่าตนเป็นพวกเดียวกับอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ต่อไปก็อาจพุ่งเป้ามาที่ตน
เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงย่อมเคยได้ยินเรื่องในงานเลี้ยงสังสรรค์มาก่อน และคิดไปในทำนองเดียวันกับหลินลั่วหนาน จึงหันมาสบตากัน