อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มบางๆ ก่อนตอบกลับอย่างไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป
“ลำบากคุณหนูอวี้ให้เป็นห่วงแล้ว แต่ทุกอย่างในห้องก็เรียบร้อยดี เชิญกลับไปเถิด มืดค่ำแบบนี้ เดินลำบากอยู่ ระวังจะหกล้มนะคะ”
หลินลั่วหนานจ้องมองอวี้โหรวจวง ก่อนก้าวเข้าหาอย่างรวดเร็ว ดุจโรคระบาดที่ตามอยู่เบื้องหลัง คิดหลีกก็หลีกไม่ทัน นางเข้ามาดึงแขนเสื้ออวี้โหรวจวงไว้ พลางว่า
“คุณหนูอวี้ ข้ากับพวกนางไม่รู้จักกัน โดยเฉพาะคุณหนูอวิ๋นนั่น ท่านดูให้ข้าหน่อย บอกหัวหน้าอวี้ช่วยเปลี่ยนห้องที่อยู่ด้านหน้าให้ข้าได้หรือไม่ ห้องนี้ทั้งไกล ทั้งมีรู…”
อวี้โหรวจวงผละออกจากการดึงของหลินลั่วหนานด้วยท่าทีค่อนข้างรังเกียจ
แต่แววตากลับมีชีวิตชีวาขึ้น “อ้อ พวกเจ้าอยากย้ายห้อง? นอกจากคุณหนูหลินแล้ว ยังมีใครอีก” ใช้แววตาอันอ่อนโยนมองเฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียง “พวกเจ้าล่ะ จะไปด้วยกันไหม”
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นอวี้โหรวจวงได้คืบจะเอาศอก คิดโดดเดี่ยวคุณหนูบ้านตน จึงกำหมัด พลางค้อนใส่อวี้โหรวจวงไปหลายตลบ จนสุดท้ายอดรนทนไม่ไหว พอดีนอกหน้าต่างมีเสียงสุนัขเห่าดังมาแต่ไกล เป็นสุนัขล่าสัตว์ที่ทหารรักษาพระองค์จูงออกเดินตรวจตราโรงเตี๊ยมในยามวิกาล จึงหัวเราะเย็นชา ก่อนพูดขึ้น
“สุนัขบ้านใครน๊า ดึกๆ ดื่นๆ ไม่เฝ้าบ้านตัวเอง เที่ยววิ่งมาบ้านผู้อื่นเห่าสะเปะสะปะอยู่ได้!”
“บังอาจ กล้าว่าคุณหนูข้ารึ!” ลวี่สุ่ยเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ตีวัวกระทบคราด จึงแผดเสียงดัง
“ข้าว่าคุณหนูเจ้าเมื่อไหร่กัน ยื่นหัวออกมารับก้อนหินเองแท้ๆ!” เมี่ยวเอ๋อร์เท้าสะเอว แสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาจนหมด
แต่อวี้โหรวจวงกลับไม่พูดอะไร เพียงก้าวเข้าหา อาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งสติ ยกมือขึ้นตบหน้าเมี่ยวเอ๋อร์ ‘เพี๊ยะๆ’ สองฉาด
เสียงตบดังก้องเป็นพิเศษ เพราะอยู่ในห้องและอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบของยามค่ำคืน ขณะกำลังจะตบฉาดที่สาม ข้อมือกลับถูกคนจับเอาไว้
สายตาเมตตาของอวิ๋นหว่านชิ่นเย็นชาลง จ้องนางเขม็ง “มาห้องคนอื่นโดยไม่ได้รับเชิญ และตบหน้าสาวใช้คนอื่นโดยไม่ถามสักคำ นี่เป็นมารยาทที่กุลสตรีบ้านท่านสมุหนายกพึงมีหรือ”
อวี้โหรวจวงหัวเราะเย็นชา ‘ฟึ่บ’ สะบัดมือออก “ผู้ที่สอนบ่าวตัวเองให้เป็นคนป่าเถื่อนหยาบคาย ดูหมิ่นลูกสาวขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก เจ้าว่าควรตบหรือเปล่าล่ะ กระทั่งตบนายอย่างเจ้าไปพร้อมกันด้วย ก็ไม่เกินเลยสักนิด!”
“ควร ควรตบ” หลินลั่วหนานช่วยเสริม พลางจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่น
แต่อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงจ้องหน้าอวี้โหรวจวง พลางพูดอย่างใจเย็น
“ถ้าข้าสอนบ่าวไม่เป็น แล้ว…คุณหนูอวี้ล่ะ ลืมเรื่องที่เคยใช้ให้บ่าวตัวเองไปหาหญิงสาวบนเรือสำราญ
ว่านชุนมาป้ายสีผู้อื่นแล้วหรือ เรื่องนี้ยังเป็นที่กล่าวขานในหมู่ชนชั้นสูงของเยี่ยจิงอยู่นา แม้บอกว่าสกุลอวี้มีอิทธิพลใหญ่โต สมุหนายกอวี้เอาอยู่ แต่คนเขาไม่พูดเมื่ออยู่ต่อหน้าหรอก พูดลับหลังต่างหาก อย่านึกว่าผู้อื่นตาบอดหูหนวกไปเสียหมด ข้าขอเดาดูนะว่า เรื่องนี้จะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน จึงจะยุติลง”
ชะงักเล็กน้อย แล้วลักยิ้มแปลกๆ ก็ปรากฎขึ้นที่สองข้างแก้ม “ครึ่งปี? สิบเดือน? ปีนึง?”
สีหน้าอวี้โหรวจวงหม่นหมองลง
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไปใกล้อีกสองก้าว มือไพล่หลัง พลางจ้องมองนาง
“…เจ้าว่าบ่าวข้าดูหมิ่นเจ้า และข้าก็ไม่กลัวที่จะขัดแย้งกับเจ้า เช่นนั้นเราก็ไปหาผู้รับผิดชอบเรื่องในวังด้วยกัน ให้เขาตัดสินดีไหม กองกิจการภายในเป็นกิจการบ้านเจ้า แต่เจ้านายดีๆ ที่อยู่เบื้องบนยังมีอีกมาก อย่างไร เราไปหาพระมเหสีรองดีไหม ถ้าไม่ดี ก็ไปหาฮองเฮา ถ้ายังไม่ดีอีก เรา…ก็ไปหาฝ่าบาทโดยตรงก็แล้วกัน คืนนี้ข้าก็ไม่หวังที่จะหลับนอนละ ไปจัดการเรื่องกับคุณหนูอวี้ให้จบๆ ไปจนถึงเช้าเลย ดีไหม”
“หญิงชั้นต่ำ หยาบคาย!”
อวี้โหรวจวงถูกท่าทางนักเลงที่ก้าวร้าวของอวิ๋นหว่านชิ่นบีบจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จึงยกมือที่ยังตบได้ไม่สะใจขึ้น แต่กลับนิ่ง แล้วสะบัดลงแรงๆ แทน
ด้วยเห็นว่าเรื่องฉาวโฉ่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของตนยังไม่จบสิ้น จึงไม่กล้าขยายความ ขืนเรื่องลุกลามใหญ่โต จะทำลายบรรยากาศเสด็จประพาสของฝ่าบาทไปเปล่าๆ ซึ่งตนก็รับไม่ไหวเช่นกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นดั่งกระเบื้องหลังคาที่แข็งกระด้างและหยาบ ขนาดหญิงสาวที่แปดเปื้อนอย่างหงเยียน นางยังกล้าคบหาด้วย จึงไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้อีก ส่วนตนกลับเป็นดั่งกระเบื้องเคลือบ คิดเล่นงานนาง มีไม่กี่วิธี วันนี้ให้นางพักห้องมีรู พรุ่งนี้ก็ให้นางพักห้องที่เสี่ยงอันตรายหน่อย จะเล่นงานนางอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้! หึ!
อวี้โหรงจวงจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่นสักพัก ค่อยสะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินจาก
หลินลั่วหนานกลับกระโดดโหยง รีบก้าวตาม “คุณหนูอวี้ ข้ายืนอยู่ข้างท่านนา เมื่อครู่ข้ายังช่วยท่านพูดด้วยมิใช่หรือ…ท่านอย่าเพิ่งไปสิ…ท่านต้องจัดห้องและรถม้าคันใหม่ให้ข้านะ…ข้าไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตาแต่แรกแล้ว…คุณหนูอวี้อย่าเพิ่งไป…”
เสียงปิดประตูดัง ‘ปัง’ นางถูกลวี่สุ่ยสลัดออก สองนายบ่าวจากไปโดยไม่เห็นแม้เงา
หลินลั่วหนานยืนนิ่งสักพัก ค่อยกระทืบเท้าหนักๆ แล้วกลับเข้าไปในห้อง พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังตรวจดูใบหน้าให้เมี่ยวเอ๋อร์ ก็แดกดันอย่างเย็นชา
“ยังทำลอยหน้าลอยตาอยู่ได้! ที่แท้ก็เจ้านี่เองที่ทำให้พวกเราพลอยถูกกลั่นแกล้งไปด้วย! นี่เพิ่งวันแรกนะ กำหนดการตามเสด็จล่าสัตว์ทั้งไปและกลับ กองกิจการภายในจัดการทั้งหมด ดูสิว่าต่อไปจะทำอย่างไร! ข้าคงถูกเจ้าทำร้ายจนอ่วม ถ้าข้าเป็นเจ้าล่ะก็ ต้องรู้สึกละอายใจ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเก็บสัมภาระไปอยู่ห้องเดี่ยวเพียงลำพัง ไม่ทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด…”
“พอแล้ว!” เฉาหนิงเอ๋อร์ ลูกสาวครอบครัวนักวิชาการออกโรง
ที่ผ่านมาถือว่านางพยายามรักษามิตรภาพ แต่เสียงตะคอกในตอนนี้ มีความดุดันที่ยากพบเห็นอยู่บ้าง
“รู้สึกว่าเรื่องยังไม่เยอะพอหรือไง หรือต้องการให้คุณหนูอวิ๋นยอมถูกคนกลั่นแกล้ง? คุณหนูอวิ๋นก็พยายามช่วยเต็มที่ ผ้าห่มทั้งหนาและบางก็เอาออกมาให้เราหมด ยอมสละที่นอนที่กว้างสุดให้เราก็แล้ว เจ้ายังจะเอาอะไรอีก ตลอดการเดินทาง เราก็พยายามทำดีกับเจ้า แต่เจ้ากลับย้ายข้าง ช่วยคนอื่นตบหน้าคุณหนูอวิ๋นเสียนี่ หรือเจ้านึกว่าคุณหนูอวิ๋นไม่มีปัญญาฉะกับเจ้า? แล้วเจ้าไม่คิดละอายใจบ้างหรือ ที่เราอุตส่าห์ทนกับพฤติกรรมของเจ้ามาตลอด?! ถ้าคุณหนูหลินยังคงไม่พอใจ พรุ่งนี้ก็ไปหาคนจัดการ ขอเปลี่ยนเพื่อนร่วมเดินทางสิ! มัวแต่กระแนะกระแหนเช่นนี้ ไม่มีทางจบสิ้นหรอก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นใช้สำลีก้อนจุ่มลงไปในยาขาวที่พกติดตัวมา แล้วทาเบาๆ ลงบนแก้มที่มีรอยนิ้วมือของเมี่ยวเอ๋อร์ พอได้ยิน จึงหันไปส่งสายตาแสดงความซาบซึ้งใจกับเฉาหนิงเอ๋อร์
เมื่อหลินลั่วหนานทำอะไรไม่ได้ ไหนเลยจะยอม จึงแค่นเสียงเย็นชาออกมา แล้วว่า
“ดีล่ะ นึกว่าข้าไม่อยากเหรอ คนโง่เท่านั้นที่อยากอยู่ในที่แย่ๆ แบบนี้กับพวกเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะไปเปลี่ยน! พี่ชายข้าเป็นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ เจ้าคิดว่าบ้านสกุลอวี้จะไม่เห็นแก่หน้าบ้านสกุลหลินของข้าหรือ”
แล้วจึงหันมองหานเซียงเซียง “เจ้าล่ะ พรุ่งนี้จะไปเปลี่ยนห้องด้วยกันกับข้าหรือเปล่า”
หานเซียงเซียงอ้ำๆ อึ้งๆ “ข้า ข้ายังอยากอยู่กับคุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูเฉา”
“เจ้า…”
พอหลินลั่วหนานเห็นว่าหานเซียงเซียงไม่เชื่อฟังตน ก็ไม่รู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นให้ของดีอะไรกับนางกันแน่ จึงหันเดินกลับไปนอนห่มผ้าบนเตียงอย่างไม่พอใจ