ตอนที่ 104-4 ถูกกลั่นแกล้ง และนอนกับศพ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

พออวิ๋นหว่านชิ่นทายาให้เมี่ยวเอ๋อร์ จนรอยบวมแดงลดลง ก็บอกให้นางรีบไปพักผ่อนเสีย

 

 

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันหวีผม อวิ๋นหว่านชิ่นก็พบว่าดึกมากแล้ว หญิงสาวทั้งสามต่างเข้านอนกันหมด จึงซุกเข้าใต้ผ้าห่ม ล่างหน้าต่าง ก่อนบิดไส้ตะเกียงดับไฟ แล้วหลับตาลง

 

 

เดินทางเหนื่อยล้ามาครึ่งวัน ตกดึกยังต้องมาเจอเรื่องวุ่นๆ อีก จึงยิ่งอ่อนเพลียละเ**่ยใจ เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนนอนหลับไม่ค่อยสนิท นึกว่าถ้าแปลกที่ต้องนอนไม่หลับแน่ แต่ผิดคาด พอหัวถึงหมอน ก็รู้สึกง่วงทันที

 

 

ช่วงเคลิ้มๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น อีกเตียงที่ต่อกันก็คล้ายมีคนส่งเสียงดังในความมืด และมีเสียงแทรกกลางระหว่างเสียงของหลินลั่วหนานกับหานเซียงเซียง

 

 

“หลินลั่วหนานทำอะไรแผลงๆ อีกละ กวนคนกำลังฝันดีชะมัด” เฉาหนิงเอ๋อร์ขยี้ตาไปมา นางกำลังจะหลับอยู่เต็มที จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา

 

 

สองสาวจึงลุกขึ้นสวมเสื้อคลุม แล้วหันมอง

 

 

ที่แท้พอหลินลั่วหนานนอนไปได้สักพัก ก็รู้สึกว่าหนาว อุตส่าห์เลือกตำแหน่งนอนอย่างดีแล้ว แต่ดันไปตรงกับรูเผยอของช่องแสงเล็กๆ บนฝ้าเพดานไป ตอนนี้พอลมในยามค่ำคืนพัดเข้ามา นางจึงปลุกหานเซียงเซียงที่ข่มเหงได้มากสุดขึ้น ให้สลับที่นอนกับนาง โดยบอกว่า

 

 

“อย่างไรเจ้าก็มีผ้าห่มที่ผู้อื่นให้มาอยู่ จะกลัวหนาวไปใย!”

 

 

“หลินลั่วหนานนี่ เห็นแก่ตัวจริงๆ นั่นเป็นที่ๆ นางเลือกเองแท้ๆ” เฉาหนิงเอ๋อร์อดส่งเสียงออกมาอีกไม่ได้

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหานเซียงเซียงถูกหลินลั่วหนานบีบอย่างแรง ก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน แต่คร้านที่จะจุดตะเกียง สวมรองเท้า หอบผ้าห่ม เดินคลำทางไปหาหลินลั่วหนาน แล้วว่า

 

 

“เจ้านอนที่ข้าก็แล้วกัน ตรงนั้นไม่โดนลม”

 

 

หลินลั่วหนานรู้สึกว่า อวิ๋นหว่านชิ่นสมควรทำเช่นนี้อยู่แล้ว จึงไม่พูดขอบใจสักคำ หอบหมอนกับผ้าห่มขึ้น แค่นเสียงเย็นชา ก่อนลุกจากเตียง

 

 

หานเซียงเซียงดึงชุดนอนของอวิ๋นหว่านชิ่นเบาๆ “ตรงนี้มีลม คุณหนูอวิ๋นอาจเป็นหวัดได้…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นปีนขึ้นเตียงมาแล้ว จึงห่มผ้าพลางยิ้ม “ไม่เป็นไร ผ้าห่มข้าหนาจริง”

 

 

หานเซียงเซียงจึงยิ้มอย่างตื้นตันใจในความมืด “ขอบคุณมาก”

 

 

แล้วทุกคนก็เงียบลง เพราะเหนื่อยล้ากันจริงๆ สักพัก ในห้องก็ไร้สุ้มเสียง ต่างคนต่างหลับสนิท

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะถูกหลินลั่วหนานตอแยหรือไม่ สารก่อความง่วงในร่างของอวิ๋นหว่านชิ่นจึงหดหาย ยากที่จะเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับไหล

 

 

พอหลับตา นางจึงนับแกะเงียบๆ พยายามทำให้ตนเองหลับให้ไวที่สุด

 

 

และไม่รู้กี่โมงกี่ยาม อาจเลยเที่ยงคืนไปแล้ว นางถึงรู้สึกง่วง

 

 

ขณะกำลังจะหลับสนิท อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกว่า มีลมพัดผ่านศีรษะ เย็นยะเยือกทีเดียว ข้างหูยังมีเสียง

 

 

อะไรบางอย่างเคลื่อนไหว

 

 

เมื่อชาติที่แล้ว หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นป่วยอยู่ในจวนโหว ก็มักนอนไม่ค่อยหลับ บางคืนนั่งจนถึงเช้าก็มี ตอนท่านหมอมาตรวจดูอาการยังเตือนว่า การนอนเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แบบนี้มีแต่จะส่งผลต่อสติสัมปชัญญะ ทำให้อาการป่วยทรุดลง ขืนยังวนเวียนเช่นนี้ต่อ จะหายป่วยได้อย่างไร

 

 

แล้วการที่อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนั้น เห็นสามีตามกฎหมายหิ้วนางบำเรอเข้าห้องคนแล้วคนเล่า สติจะแจ่มใสขึ้นได้อย่างไรเล่า เมื่อการนอนแย่ลงเรื่อยๆ ชนิดให้เหนื่อยแค่ไหนก็หลับได้ไม่ถึงสามชั่วยาม (หกชั่วโมง) อีกทั้งยังหลับๆ ตื่นๆ พอได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยก็ตกใจตื่นทันที

 

 

ชาตินี้ ความเคยชินแบบนั้นก็ยังคงอยู่ แม้ไม่แย่แบบชาติที่แล้ว แต่ก็รู้สึกตัวเร็วกว่าคนทั่วไป ก่อนหน้านี้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหมักสุราดอกไม้สามชนิดไว้ แล้วดื่มสองอึกก่อนนอนทุกคืน เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่ายังนึกว่า นางดื่มเพื่อบำรุงผิว ซึ่งความจริงแล้ว ส่วนใหญ่นางดื่มเพื่อทำให้นอนหลับดีขึ้น การดื่มสุรานิดหน่อย ให้เมาเล็กน้อย ทำให้นอนหลับสนิทโดยไม่ฝัน จนรู้สึกสบายขึ้นมาก

 

 

วันนี้อยู่นอกบ้าน ไม่ได้ดื่มสุราช่วยให้นอนหลับ จึงหลับไม่สนิทเหมือนที่ผ่านมา

 

 

ตอนนี้ พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ภวังค์ของการหลับใหลที่อวิ๋นหว่านชิ่นสร้างขึ้นอย่างยากเย็น ก็พังทลายลงในขั้นตอนสุดท้ายอีกครั้ง สมองตื่นขึ้นในทันที

 

 

ผู้ที่หลับลึกบางครั้งจิตใต้สำนึกจะตื่นก่อน ส่วนร่างกายตื่นตามทีหลังราวครึ่งชั่วยาม โดยคร้านที่จะเคลื่อนไหว อวิ๋นหว่านชิ่นก็เป็นเช่นนี้ ได้แต่รู้สึกว่าข้างหูคล้ายมีเสียงดังกุกกัก จึงสงสัยว่าอาจเป็นเสียงปิดประตู

 

 

เป็นไปไม่ได้ ดึกมากขนาดนี้ ใครยังจะมาอีก

 

 

นอกฉากกั้นมีบ่าวอยู่ห้าคน นอกประตูก็มีขันทีกับคนในวัง ชั้นล่างนอกเรือนยังมีทหารรักษาพระองค์เดินตรวจตราในยามวิกาลอีก

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยันตัวขึ้น อาศัยแสงจากช่องแสงบนฝ้าเพดาน แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง บวกกับแสงจากตะเกียงของทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านล่าง กวาดตามองรอบๆ ห้อง ก็ไม่เห็นมีใคร

 

 

แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ถึงได้รู้สึกหนาวเหน็บ คล้ายอยู่ใต้ชายคาบ้านในหน้าหนาว ที่มีน้ำแข้งย้อยลงมา และพอน้ำแข็งละลาย ก็หยดลงบนผิวหนังทีละหยด ทำให้หนาวเข้ากระดูกดำอย่างฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น

 

 

นางไม่วางใจ จึงลงจากเตียง แล้วเดินไปดูที่ประตู ก็พบว่าลงกลอนดีอยู่ พอกลับเข้ามา ก็เหลือบมองเฉาหนิงเอ๋อร์ หลินลั่วหนานและหานเซียงเซียงที่นอนอยู่บนเตียง ทั้งสามล้วนนอนหลับสนิท ลมหายใจสงบ และหายใจสม่ำเสมอ ไม่มีใครเป็นอะไร

 

 

จึงตบหน้าอกเบาๆ ความรู้สึกตื่นเต้นผ่อนคลายลง ตนอาจคิดมากไปเอง

 

 

หลังจากผ่านการลุกๆ นั่งๆ สองครั้งในหนึ่งคืน ความง่วงก็คลืบคลานเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่น ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หนังตาก็ปิดสนิท นอนหลับแล้วจริงๆ

 

 

 

 

 

วันรุ่งขึ้น เป็นเพราะนอนหลังเพื่อน อวิ๋นหว่านชิ่นจึงตื่นสายสุด

 

 

การหลับสนิท ทำให้ร่างกายยังตื่นไม่หมดในทันที หนังตาอวิ๋นหว่านชิ่นขยับเล็กน้อย แม้ยังไม่ลืมตา แต่ก็รู้สึกถึงแสงสลัวๆ ที่สาดเข้าหน้าต่างมา

 

 

พี่เจิ้งใกล้จะมาปลุกให้ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันแล้วสิ

 

 

จึงพลิกตัว อวิ๋นหว่านชิ่นนอนไปหนึ่งตื่น หลังจากเมื่อยไปทั้งตัว สมองจึงว่างเปล่า เพิ่งขยี้ดวงตาที่งัวเงีย ข้างหูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาว

 

 

“กรี๊ดด…มะ…มีคนตาย…มีคนตาย…”

 

 

เสียงแหลมเล็กของสาวรุ่นดังอยู่ตรงหน้า ในระยะใกล้ เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและใจสลาย ตามด้วยเสียงร้องไห้ดังก้อง

 

 

ผู้ที่มีความรู้สึกไวอย่างอวิ๋นหว่านชิ่น จึงไม่มีความง่วงเหลืออยู่อีก เด้งตัวขึ้นนั่งทันที

 

 

เห็นเพียงผู้ที่ตื่นก่อนใครเพื่อน และนอนอยู่ข้างๆ หลินลั่วหนานอย่างเฉาหนิงเอ๋อร์ ยืนสวมชุดนอนบางๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงแบบคนเพิ่งตื่นที่ยังไม่ทันได้ล้างหน้าแปรงฟัน มือทั้งสองข้างจับเตียงไว้ แล้วค่อยๆ ถอยหลังออก พลางตกใจจนหน้าซีด เสียงกรีดร้องเมื่อครู่ก็ดังออกจากปากของนาง

 

 

ส่วนหานเซียงเซียงที่ตื่นก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นเล็กน้อย พอเห็นเหตุการณ์บนเตียงอย่างชัดเจน ก็ตกตะลึงพรึงเพริศ กระทั่งร้องก็ร้องไม่ออก

 

 

“อา…” ยังไม่ได้ร้อง ก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นยืน จึงตกเตียงอย่างไม่ทันระวัง แต่ไม่สนใจว่าเจ็บตรงไหน คลานไปหดตัวอยู่มุมห้อง พลางสั่นไปทั้งตัว