ตอนที่ 104-5 ถูกกลั่นแกล้ง และนอนกับศพ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดพล่ามทำเพลงอีก เลิกผ้าห่มขึ้น กระโดดลงจากเตียง ก้าวเข้าไปดูหนึ่งเดียวในห้องที่นอนนิ่งไม่ไหวติง

 

 

ร่างของหลินลั่วหนานห่มผ้าห่มไว้ เหมือนกำลังนอนอยู่อย่างไรอย่างนั้น ผ้าห่มไม่มีรอยยับย่นและไม่ยุ่งแต่อย่างใด แทบไม่มีอะไรผิดปกติ ยกเว้นใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่ม

 

 

ดวงตากลมๆ ของนางเบิกโพลง ลูกตาเกือบถลนออกมาอยู่รอมร่อ หางตามีโลหิตไหลออก ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ

 

 

ท่าทางการตายตาไม่หลับที่น่ากลัวเช่นนี้ มิน่าเล่าเฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงถึงได้ตกใจจนวิญญาณหลุดจากร่าง!

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามข่มไม่ให้หัวใจเต้นแรง ก่อนยื่นมือข้างหนึ่งออกไปอังใต้จมูกของหลินลั่วหนาน พอพบว่าไม่มีลมหายใจ ลำคอจึงแห้งผาก แต่ก็พูดออกมาอย่างไม่ลังเลใจ

 

 

“ไม่มีลมหายใจ นางเสียชีวิตแล้ว รีบไปแจ้งพี่เจิ้งเร็ว”

 

 

พอได้ยิน เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงก็พยายามหยุดร้องไห้ แล้วค่อยๆ ถอยออกจากห้องไป ไม่รู้เหมือนกันว่าหลินลั่วหนานเสียชีวิตนานแค่ไหน พอคิดว่าพวกตนอาจนอนกับศพทั้งคืน แบบนี้จะไม่ให้ทั้งสองกลัวได้อย่างไร

 

 

ส่วนบ่าวทั้งสี่ที่อยู่นอกฉากกั้น พอได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตะหนกของนายที่อยู่ด้านใน ก็รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ ก็ส่งเสียงร้องกันระงม

 

 

สาวใช้สองคนของบ้านสกุลหลินพุ่งเข้าไป พลางร้องไห้เสียงดัง

 

 

“คุณหนู…คุณหนู…เป็นอะไรไปแล้ว…ทำไมปุบปับถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้…”

 

 

แม้หลินลั่วหนานทำตัวไม่น่ารัก และขัดแย้งกับตนตลอดทาง แต่พอเห็นนางตายอย่างน่าสงสัยเช่นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้ดีใจอะไร เห็นชัดว่า นางตายอย่างผิดธรรมชาติ

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!

 

 

“ห้ามแตะตัวนาง” อวิ๋นหว่านชิ่นดุเสียงดัง ขณะเห็นสาวใช้สกุลหลินกำลังจะดึงเสื้อและจับตัวคุณหนูของพวกนาง “ต้องระวัง อย่าทำลายหลักฐานที่ใช้สืบหาตัวฆาตกร”

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ สาวใช้บ้านสกุลหลินก็รีบหดมือกลับ แล้วคุกเข่าลงกับพื้นพลางร้องไห้ไม่หยุด

 

 

ส่วนคนอื่นๆ ก็เอาแต่ยืนตัวสั่น หวาดกลัวไม่หยุดเช่นกัน

 

 

ฆาตกรคือใคร?

 

 

ทำไมถึงต้องฆาตกรรมคุณหนูหลิน

 

 

พวกนางเพียงออกเดินทางตามขบวนเสด็จที่มีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา แล้วใครกันเล่าที่มีความกล้าพอที่จะบุกเข้ามาฆาตกรรมคนในห้อง!

 

 

และในตอนนี้เอง พี่เจิ้งที่มีคนไปเรียก ก็ก้าวเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ แม้หน้าซีดขาว แต่ด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่กว่า นางจึงรีบตะโกนบอกขันทีที่อยู่ด้านหลังเสียงสูง

 

 

“แจ้งกองกิจการภายในให้มาที่นี่ด่วน!”

 

 

ผ่านไปไม่ถึงจิบน้ำชาครึ่งถ้วย คนของกองกิจการภายในคนหนึ่งก็มาถึง เขาพาองครักษ์ที่สวมชุดแบบผู้ติดตามมาด้วยสองคน พอเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ก็ตกใจหน้าถอดสี หันไปบอกให้เจิ้งหวาชิวพาเหล่าคุณหนูกับสาวใช้ออกไปก่อน และหลังจากตรวจสถานที่เกิดเหตุเรียบร้อย ก็สั่งให้ผู้ติดตามจัดการห่อศพหลินลั่วหนานด้วยผ้าขาว แล้วยกออกไป

 

 

ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียงถูกจัดให้อยู่อีกห้องหนึ่ง หลังจากทั้งสามดื่มชาร้อนเข้าไป สติอารมณ์ค่อยสงบลงบ้าง

 

 

แล้วคนของกองกิจการภายในก็ก้าวเข้ามา กวาดตามองหญิงสาวทั้งสามรอบหนึ่ง ก่อนพูดพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด “เชิญคุณหนูอวิ๋น คุณหนูเฉา คุณหนูหาน ตามข้าน้อยลงไปชั้นล่าง ใต้เท้าฝ่ายตุลาการสองสามท่านต้องการพบ”

 

 

พอคำพูดนี้หลุดออกจากปาก เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงก็หวาดกลัวขึ้นมาอีก

 

 

“อะไรนะ ไปไหน ทำไมคนของฝ่ายตุลาการอยากพบเราล่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพูดปลอบเสียงต่ำ “ไม่มีอะไรหรอก เราพักห้องเดียวกับคุณหนูหลิน ฝ่ายตุลาการของกองกิจการภายในน่าจะอยากพบเราเพื่อสอบถามเหตุการณ์เมื่อวาน เราบอกเขาไปตามตรงก็พอ”

 

 

ทั้งสองจึงวางใจลงได้บ้าง ก่อนเดินตามอวิ๋นหว่านชิ่นออกไป

 

 

เจิ้งหวาชิวเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นสงบนิ่ง ยังคงครองสติไว้ได้แม้ตกใจ จึงเป่าปากอย่างโล่งอก แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่ไว้วางใจ อย่างไรคุณหนูเหล่านี้ตนก็เป็นผู้ดูแล จึงรีบวิ่งลงชั้นล่าง ตัดสินใจหาคนสืบข่าวสถานการณ์ในห้องให้ตนสักหน่อย แต่เพิ่งลงมา ก็เกือบชนเข้าเต็มๆ กับองครักษ์หนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง

 

 

ชายหนุ่มดวงตาใสกระจ่างจับข้อมือนางไว้ “พี่เจิ้ง ข้าได้ยินว่าเวลาออกเดินทางถูกเลื่อนออกไป เพราะเกิดเรื่องขึ้นกับคนของท่าน เรื่องเป็นไงมาไงกันแน่”

 

 

เจิ้งหวาชิวจ้องมองเขา พอรู้ว่าเป็นผู้ติดตามข้างกายฉินอ๋องซื่อถิง ก็รีบย่อตัวลง หอบหายใจพลางเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง

 

 

ซือเหยาอันได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี “แล้วตอนนี้คุณหนูทุกท่านอยู่ที่ไหน”

 

 

“คนของฝ่ายตุลาการในกองกิจการภายในเชิญพวกนางเข้าพบ น่าจะกำลังสอบถามอยู่”

 

 

ซือเหยาอันจึงหันมองไปทางทิศเหนือของโรงเตี๊ยม พลางสาวเท้าก้าวเดินไป

 

 

อาคารสูงหลังคาแดงชายคาเขียวอันใหญ่โตหรูหราทางทิศเหนือ ถูกใช้เป็นที่ประทับของเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์

 

 

องครักษ์หนุ่มเดินเข้าไปในอาคารดุจลมพัด เลิกผ้าม่านขึ้น แล้วก้าวเข้าด้านในไป ตลอดทางมีคนโค้งตัวทักทายเป็นระยะ “ใต้เท้าซือ”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเป็นคนตื่นเช้ามาแต่ไหนแต่ไร พอรู้ว่าต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ก็ตื่นก่อนไก่ขันเสียอีก

 

 

หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน ครอบมวยผมเรียบร้อย ก็นั่งเล่นหมากรุกคนเดียวข้างหน้าต่าง บันเทิงตัวเองขณะรอออกเดินทาง

 

 

ภายในห้องสวยหรู เตาไฟใต้พื้นกำลังลุกไหม้ กระถางกำยานทองสำริดลายนกกระเรียนส่งกลิ่นหอมสดชื่นกระจายไปทั่ว

 

 

ชายหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวสีขาวบาง คลุมผ้าคลุมลายงูใหญ่ขอบทอง แผงคอขนสุนัขจิ้งจอก คาดผ้าคาดเอวสีเหลืองทองประดับอัญมณี โครงหน้าที่เด่นชัดก้มลงเล็กน้อย ดวงตาอันลึกล้ำมองนิ่งไปยังหมากที่แก้ไม่ตก ด้านข้างมีหรุ่ยจือ ผู้ติดตามซึ่งดูแลอาหารการกินและชีวิตประจำวันยืนอยู่

 

 

หรุ่ยจือโน้มตัวไปข้างหน้า มองอย่างอ่อนโยน พลางพูดอย่างนิ่มนวลเอาใจใส่

 

 

“ท่านสาม เช้าๆ ลมเย็น ใส่เสื้ออีกสักตัวดีกว่านะเจ้าคะ”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเพิ่งจับหมากสีดำในตะกร้าหมากรุกขึ้น ยังไม่ทันวางลง กำลังจะตอบ ผ้าม่านก็ถูกเลิกขึ้น พร้อมลมเย็นที่พัดเข้ามา

 

 

ซือเหยาอันสาวก้าวเข้ามาจากด้านนอก ก่อนกดเสียงให้ต่ำลง

 

 

“ท่านสาม แย่ละ เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่ห้องคุณหนูอวิ๋น”

 

 

‘แคร๊ง’ หมากในมือชายหนุ่มหล่นลงบนกระดาน หมากกระดานนี้จึงรวนไปหมด

 

 

หรุ่ยจือขมวดคิ้ว หน้าหมองลง ก่อนหันมองซือเหยาอัน