กองกิจการภายในใช้ห้องๆ หนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของโรงเตี๊ยมเป็นห้องสอบสวนชั่วคราว
ฝ่ายตุลาการเป็นหนึ่งในเจ็ดฝ่ายหลักของกองกิจการภายใน มีหน้าที่ลงโทษคนในวังที่กระทำความผิด
ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง ดวงอาทิตย์ทั้งดวงยังโผล่ไม่พ้นขอบฟ้า แสงสว่างในห้องไม่เพียงพอ ห้องจึงดูมืดหม่นและไม่ปลอดภัย
ในห้องโถง เจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการนั่งอยู่ด้านบน ทั้งสองข้างมีขันทีรูปร่างบึกบึนแข็งแรงยืนเรียงกันเป็นแถว มือถือไม้พลอง ท่าทางขึงขัง
บรรยากาศตึงเครียดจนทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง
หลังจากที่สามสาว อวิ๋นหว่านชิ่น เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียง ก้าวเข้ามา ก็โน้มตัวถอนสายบัว
หานเซียงเซียงยังเยาว์วัย พอเห็นเจ้าหน้าที่หน้าดำคร่ำเครียด สติที่อวิ๋นหว่านชิ่นกว่าจะพูดให้ตั้งมั่นได้ ก็อ่อนปวกเปียกลง ตื่นตระหนกจนสะอึกสะอื้นไห้
ส่วนเฉาหนิงเอ๋อร์ ผู้โชคร้ายมากสุดในครั้งนี้ เนื่องจากตกใจมากสุด โดยตื่นเช้าสุดและเป็นคนแรกที่เห็นศพหลินลั่วหนาน อีกทั้งยังนอนอิงอยู่กับศพทั้งคืน ตอนนี้จึงมิได้มีสภาพดีไปกว่าหานเซียงเซียงเสียเท่าไหร่ ใบหน้ายังซีดขาวอยู่
เจ้าหน้าที่ตุลาการเข้าประเด็นทันที
“คุณหนูทั้งสามพักห้องเดียวกับผู้ตาย และเป็นผู้พบศพก่อนใคร ที่เรียกให้คุณหนูทั้งสามมา ก็เพื่อสอบถามว่า เมื่อวานระหว่างทางคุณหนูหลินมีอะไรผิดปกติ หรือมีลางบอกเหตุถึงอาการป่วยหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเฉาหนิงเอ๋อร์สติกระเจิดกระเจิง หานเซียงเซียงเอาแต่ปาดน้ำตา จึงอาสาตอบ
“เรียนใต้เท้า คุณหนูหลินมีสติแจ่มใสตลอดทาง ไม่เหมือนคนกำลังป่วย เมื่อคืนพวกเราหลับกันราวสามทุ่ม ก่อนนอนคุณหนูหลินก็ไม่มีอะไรผิดปกติ”
แววตาเจ้าหน้าที่ตุลาการเคร่งขรึมลง กำลังขบคิดถึงคำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น พลางหยั่งเชิง “ไม่ทราบว่าสาเหตุการตายของคุณหนูหลินคืออะไร”
เจ้าหน้าที่ตุลาการจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ด้านล่าง ขณะกำลังลังเลใจว่าจะพูดดีหรือไม่ ม่านในห้องก็ถูกเลิกขึ้น มีคนเดินเข้ามา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“หมอจากกองกิจการภายในเพิ่งชันสูตรพลิกศพ พบว่าเสียชีวิตจากภาวะขาดอากาศหายใจ”
ผู้มาอายุราวสามสิบเศษ หน้าตาคล้ายอวี้เหวินผิงสามส่วน สวมเครื่องแบบสีเขียว ไว้หนวดเครา ดวงตาดุดันเล็กน้อย
กลุ่มคนพอเห็นหัวหน้าอวี้มาด้วยตัวเอง จึงลุกขึ้นยืนพร้อมกัน โค้งกายคารวะ “หัวหน้าอวี้”
ภาวะขาดอากาศหายใจ? อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย ตำราหมอที่นางอ่าน เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงอาการบางอย่างของคนตาย เช่น ริมฝีปากเขียวคล้ำ ดวงตามีโลหิตไหลออก ซึ่งสภาพศพของหลินลั่วหนานนั้น มอง
ปราดเดียวก็รู้ว่าถูกพิษ
อวิ่นหว่านชิ่นจึงเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ
“ใต้เท้าอวี้ สาเหตุการตายใช่ขาดอากาศหายใจหรือไม่ ตัดสินตอนนี้ดูจะเร็วไปหน่อย”
อวี้เฉิงกังพบว่า ในหมู่คุณหนูทั้งสาม ลูกสาวคนโตของเจ้ากรมกลาโหมเท่านั้นที่มีสติมั่นคงสุด ไม่เหมือนคุณหนูเฉากับคุณหนูหานที่สติหลุดลอย เอาแต่ร่ำไห้สะอึกสะอื้น และตอนนี้นางยังทิ้งคำพูดไว้ให้คิดอีก หนังตาจึงกระตุกอย่างแรง ก่อนเดินไปนั่งยังเก้าอี้พนักทรงกลมที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งสละให้ แล้วดวงตาก็ฉายแววเ**้ยมเกรียมออกมา
“คุณหนูอวิ๋นใช่ไหม ได้ยินกับหู มิสู้ได้เห็นด้วยตา ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังสามารถควบคุมสติอารมณ์ได้สมกับเป็นผู้ที่ไทเฮาประทานที่พักในวังให้จริงๆ ไม่ใช่ภาวะขาดอากาศหายใจหรือ แต่เจ้าไม่เคยชันสูตรศพมาก่อนนี่ หรือเจ้าเก่งกว่าหมอหลวง?”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ยี่หระ ดวงตาทอประกายดุจไข่มุกพลางว่า
“เรียนใต้เท้าอวี้ ภาวะขาดอากาศหายใจคือ อยู่ในที่ๆ ไม่มีอากาศ แล้วหายใจไม่ออก จึงเสียชีวิต นอกจากโรคประจำตัวแล้ว ก็อาจเป็นไปได้สามแบบด้วยกัน ถูกรัดคอตาย จมน้ำตาย ถูกอุดทางเดินหายใจตาย ตามสภาพศพ คุณหนูหลินเสียชีวิตในห้อง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจมน้ำตาย ส่วนการถูกรัดคอตาย ที่คอก็ต้องมีรอยเชือก แต่คอคุณหนูหลินเรียบลื่นไม่มีรอยใดๆ พวกเราล้วนเห็นอย่างชัดเจน ความเป็นไปได้ที่เหลือจึงมีเพียงถูกอุดจมูกอุดปากตาย…”
“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อคุณหนูอวิ๋นพูดว่า คุณหนูหลินเสียชีวิตในห้อง ก็ไม่แน่ว่าฆาตกรจะใช้ผ้าห่มอุดหน้านาง ทำให้นางหายใจไม่ออกจนตาย” เจ้าหน้าที่ตุลาการซึ่งยืนอยู่ข้างกายอวี้เฉิงกังรีบพูดต่อ
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายศีรษะ ก่อนพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“ตอนพวกเราพบศพคุณหนูหลินนั้น ทั้งหมอนและผ้าห่มบนตัวนางอยู่ในสภาพเรียบร้อยมาก ไม่มีรอยยับย่นและยุ่งแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอน เราก็พูดได้ว่า หลังจากฆาตกรใช้ผ้าห่มอุดให้นางตายแล้ว ยังละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ ห่มกลับที่เดิมอีก ทว่า การถูกอุดจมูกอุดปากให้ตาย ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง มิใช่พริบตาเดียวก็เสียชีวิต ต่อให้คุณหนูหลินกำลังนอนหลับฝันดี ก็ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยการดิ้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเตะโดนผ้าห่ม ส่งเสียงอู้อี้ ทำอะไรตามสัญชาติญาณอยู่บ้าง แต่สภาพศพไม่มีร่องรอยการต่อต้านแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ในห้องก็มิได้มีเพียงคุณหนูหลินคนเดียว ยังมีข้า คุณหนูเฉา คุณหนูหานอีก ข้าไม่คิดว่าฆาตกรจะยอมเสี่ยง ไม่กลัวถูกคนพบเห็น และใช้วิธีฆาตกรรมที่ทำให้เหยื่อต้องเคลื่อนไหวมากขนาดนี้ ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่คุณหนูหลินจะถูกอุดทางเดินหายใจให้ตาย จึงเป็นไปได้ไม่มาก”
ว่าแล้วก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงสูง
“ขอให้กองกิจการภายในตรวจสอบสาเหตุการตายของคุณหนูหลินใหม่”
อวี้เฉิงกังยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าดำคร่ำเครียด หญิงสาวนางนี้กำลังสงสัยว่าตนตัดสินตามอำเภอใจ เพียงแต่ถ้าพูดออกมาโต้งๆ จะไม่ค่อยดี จึงประท้วงอย่างละมุนละม่อม
รอจนอวิ๋นหว่านชิ่นพูดจบ เขาจึงหัวเราะอย่างเย็นชา
“คุณหนูอวิ๋นไม่เชื่อคำตัดสินของกองกิจการภายใน หรือคิดว่าหัวหน้าอย่างข้าทำงานไม่เป็น? ศพแค่ศพเดียว กระทั่งสาเหตุการตายก็ยังตรวจไม่พบ หมอของกองกิจการภายในใยไม่เลี้ยงเสียข้าวสุกหรือ ในเมื่อเจ้าอ้างเหตุผลมามากมาย เช่นนั้นลองบอกหน่อยสิว่าตามความเห็นของเจ้า ตายอย่างไรกันแน่!”
เด็กสาวที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หรือจะสามารถแจงหลักการออกมาเป็นข้อๆ ได้จริง
เลี้ยงเสียข้าวสุกยังดี กลัวก็แต่มีคนไม่อยากให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตนี่สิ
ถ้าถูกพิษตาย ก็หมายความว่าถูกคนฆาตกรรม เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย ทำให้ผู้คนหวาดกลัว คิดว่าในขบวนเสด็จมีคนเป็นฆาตกร แถมยังซ่อนพิษไว้ด้วย ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
แต่ถ้าตายเพราะขาดอากาศหายใจ สาเหตุการตายก็จะกว้างขึ้น ถึงตอนนั้นกองกิจการภายในยังสามารถดึงเช็งว่า หลินลั่วหนานมีโรคประจำตัว จึงหมดสติกะทันหัน ไม่สามารถหายใจได้เอง ทำให้เสียชีวิต
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองอวี้เฉิงกัง พลางพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ริมฝีปากคุณหนูหลินเป็นสีม่วงคล้ำ มีเลือดไหลออกจากหางตา เป็นลักษณะของการเสียชีวิตจากพิษ เหตุใดใต้เท้าจึงไม่ตรวจดูกระเพาะอาหารกับลำคอของคุณหนูหลินก่อนว่า มีสารพิษตกค้างหรือไม่”
“เด็กสาวก็คือเด็กสาว” อวี้เฉินกังลูบเครา พลางจ้องมองนางด้วยสายตาดูแคลน
“เจ้าคิดว่ากองกิจการภายในไม่เคยตรวจหาสารพิษงั้นหรือ หมอหลวงเค้าตรวจด้วยเข็มเงินไปแล้ว และพบว่าในร่างผู้ตายไม่มีสารพิษ กองกิจการภายในยังตรวจสอบอาหารที่คุณหนูหลินรับประทานระหว่างการเดินทาง รวมทั้งสิ่งของที่นางสัมผัสทั้งหมด ก็ล้วนไม่มีสิ่งใดเป็นพิษ คนขาดอากาศหายใจตาย ตาจะถลน ก็ตรงกับสภาพศพของคุณหนูหลินพอดี”
ถ้าเป็นพิษซ่อนเร้น ลำพังเข็มเงินเล่มเล็กๆ ไม่มีทางตรวจพบหรอก ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นบดดอกไม้ให้เป็นผง ปกติแล้วก็จะใช้เข็มเงินตรวจดูก่อน ด้วยเกรงว่าก้านของพืชบางชนิดจะมีพิษติดมาด้วย แต่ร่างกายมนุษย์ใหญ่ขนาดนี้ มีเลือดมีเนื้อ มีอวัยวะภายในมากมาย การตรวจอย่างละเอียดโดยใช้เข็มเงิน จึงเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ทว่า หัวหน้าอวี้ท่านนี้ ไม่ยอมตรวจในเชิงลึกอย่างเห็นได้ชัด