ตอนที่ 105-2 ผ่าพิสูจน์ศพ กระทำรุนแรง

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เดิมที อวิ๋นหว่านชิ่นคิดบอกเรื่องที่ตนตื่นขึ้นกลางดึก เพราะรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องไปด้วย แต่พอเห็นท่าทีที่ไม่ต้องการสืบให้ถึงที่สุดของอวี้เฉิงกัง ต่อให้พูดไป เขาก็ต้องบอกว่าตนนอนละเมอ ฝันไปเอง เชื่อถือไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นตนก็ไม่เห็นใครจริงๆ พูดไปก็เปล่าประโยชน์ พอคิดได้เช่นนี้ จึงเงียบเสียงลง

 

 

เฉาหนิงเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นขัดแย้งกับคนของกองกิจการภายใน ก็กลัวว่าอวี้เฉิงกังจะไม่พอใจที่ถูกสงสัยและท้าทาย จนผูกใจเจ็บและอาจแก้แค้นพวกนาง จึงแอบดึงแขนเสื้ออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ ก่อนพูดเสียงต่ำ

 

 

“คุณหนูอวิ๋น ช่างเหอะ อย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย หลินลั่วหนานนั่นตายแล้วก็แล้วกันไปเถิด ปกตินางชอบเอะอะโวยวาย ข่มเหงผู้คน ไม่ใช่คนดีอะไร…หรือยังจะทำให้เราเดือดร้อน พลอยตกร่างแหไปกับนางอีก เจ้าก็อย่าเถียงหัวหน้าอวี้เลย”

 

 

ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ จะปล่อยให้แล้วกันไปหรือไม่ แต่อยู่ที่ความสงสัยในใจอวิ๋นหว่านชิ่นดุจไฟลามทุ่ง ลุกโชนขึ้นมาแล้วต่างหาก

 

 

จริงอยู่ หลินลั่วหนานไม่ใช่คนดีมีเมตตา ปากคอเราะร้าย ข่มเหงผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ไม่มีใครชอบขี้หน้า แต่นางก็ไม่เคยฆ่าคนวางเพลิงมาก่อน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่คิดว่าจะมีใครถึงกับอยู่ร่วมโลกกับนางไม่ได้ ชนิดต้องฆ่าให้ตายกันไปข้าง

 

 

เมื่อครู่ตอนเล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้เจ้าหน้าที่ตุลาการฟัง รอยหยักในสมองของนางก็ขยับ มีรายละเอียดอย่างหนึ่งวาบขึ้น ทำให้ต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

 

นางเปลี่ยนที่นอนกับหลินลั่วหนาน

 

 

จากนั้น ก็คลับคล้ายรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้อง

 

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ฆาตกรนั่น…คิดฆาตกรรมตนอยู่เป็นทุนเดิม แต่ไม่รู้ว่าตนกับหลินลั่วหนานเปลี่ยนที่นอนกัน จึงคลำทางไปยังที่นอนเดิมของตน

 

 

…เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าหลินลั่วหนานตายแทนตน!

 

 

พอคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เย็นสันหลังวาบ เมื่อคืนก่อนนอน ถ้าหลินลั่วหนานไม่วอแว ไม่ขอเปลี่ยนที่นอนกับตน เช้าวันนี้ ศพที่นอนอยู่ ก็อาจเป็นตน!

 

 

ถ้าเป็นไปตามนี้จริง แล้วไม่หาตัวฆาตกรออกมา ก็เท่ากับปล่อยให้หลินลั่วหนานตายตาไม่หลับ ส่วนตนก็ต้องเสียวสันหลังต่อ

 

 

จึงไม่สามารถปล่อยให้แล้วกันไปเป็นอันขาด!

 

 

อวี้เฉิงกังใช้ดวงตาอันล้ำลึกจ้องมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้ของเด็กสาวที่อยู่ด้านล่าง

 

 

เด็กสาวไม่ได้พูดจาอะไร ใบหน้าดุจหยกไร้รอยตำหนิ แวววาวและอวบอิ่ม เปล่งประกายอมชมพู ขณะหลุบตาลง ขนตายาวดุจผีเสื้อเกาะเปลือกตาล่าง สายตาดุจระลอกคลื่นน้อยๆ เห็นเป็นเงาดำที่ทำให้มองความรู้สึกนึกคิดของนางไม่ออก

 

 

แม้ใบหน้านางยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็มีเสน่ห์มากทีเดียว สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจที่สุดก็คือ ดวงตาสวยๆ ของนางไม่มีแววหวาดกลัวแม้แต่น้อย ราวกับว่า เรื่องใหญ่กว่านี้นางก็เคยพบเจอมาแล้ว ทำให้ผู้คนหลงไหลมัวเมาขณะมองดวงตาใสกระจ่างของนาง

 

 

เมื่อพิจารณาดูดีๆ นางได้ทำให้ชายวัยกลางคนอย่างอวี้เฉิงกัง ที่หลงระเริงในราคะและเห็นผู้หญิงกร้านโลกหลายรูปแบบมานานหลายปีจนคุ้นชิน ต้องตะลึงงัน สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะ

 

 

กองกิจการภายในมีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะการดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวัง บ่าวในวังคนใดบ้างที่ไม่ต้องให้ค่าตอบแทนพวกเขาในทุกๆ ปี สาวงามในวังไม่น้อยยอมพลีกายให้อวี้เฉิงกังด้วยซ้ำ นางในที่ถูกลงโทษ ขังไว้ในเรือนจำของกองกิจการภายใน ถ้าหน้าตาดีและอวี้เฉิงกังถูกใจ ก็จะบอกให้คนลอบพาออกมา แล้วอาศัยตำแหน่งหน้าที่บีบบังคับขืนใจ ซึ่งนางในที่กระทำความผิด จะกล้าพูดอะไรเล่า

 

 

เด็กสาวนางนี้ แม้เป็นลูกสาวเจ้ากรม เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่ตอนนี้ก็คือผู้ต้องสงสัยที่ตนกำลังสอบสวน

 

 

จะต่างอะไรกับนางในเหล่านั้นเล่า?

 

 

อวี้เฉิงกังลูบคางไปมา พลางกลอกดวงตาที่ถูกอำนาจบดบังจนขุ่นมัวและไม่สนใจกฎหมายใดๆ ไปมา

 

 

ทว่า เด็กสาวมีความเด็ดขาดที่จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อวี้เฉิงกังรู้สึกเย็นวาบขึ้นในใจ จึงต้องแสดงบทโหดออกมา

 

 

พอตัดสินใจว่าจะโหด เขาก็ลูบเครา พลางสำรวจมองอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

“ว่าไง คุณหนูอวิ๋นไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม เช่นนั้น ก็ถึงคราวข้าพูดบ้าง”

 

 

ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืน ไพล่มือไปด้านหลัง แล้วเดินมาตรงหน้าคุณหนูทั้งสาม ก่อนเดินวนรอบตัวพวกนางรอบหนึ่ง ให้เกิดแรงกดอากาศที่ไร้รูปขึ้น นำความเครียดมาสู่ผู้คน

 

 

เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงไม่รู้ว่าอวี้เฉิงกังจะพูดอะไร ความรู้สึกจึงเหมือนกับว่า บนศีรษะถูกเมฆดำปกคลุม และพายุฝนกำลังจะมา

 

 

ทั้งสองแอบกุมมือกันและกันแน่น จนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ พวกนางแม้เป็นลูกสาวขุนนาง แต่ก็รู้ว่ากองกิจการภายในได้รับคำสั่งโดยตรงจากโอรสสวรรค์ หน่วยงานอื่นๆ ไม่มีสิทธิเข้ามายุ่งเกี่ยว พวกเขาจึงมีอำนาจไม่น้อย ต่อให้บิดาหรือพี่ชายตนมา เกรงว่าก็ช่วยอะไรไม่ได้ คงได้แต่ปล่อยให้กองกิจการภายในจัดการ

 

 

ส่วนฝ่ายตุลาการก็ยิ่งเป็นพวกเดียวกัน เพราะต้นสังกัดคือกองกิจการภายใน สำหรับคดีความที่เกิดขึ้นในวัง พวกเขาแทบจะมีอำนาจสิทธิขาดในการสอบสวน โดยในทุกๆ ปี ผู้กระทำความผิดและถูกลงโทษจนเสียชีวิต จากการตัดสินของฝ่ายตุลาการ ไม่รู้มีมากน้อยเท่าใด โดยมีตั้งแต่คนในวังลงไปจนถึงบ่าวไพร่ธรรมดา

 

 

รวมทั้งสนมนางในตัวกระจ้อยร่อยที่ไม่ได้รับการโปรดปราน

 

 

 อวี้เฉิงกังหยุดสายตาอยู่บนร่างของอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วโน้มตัวเข้าใกล้ใบหน้ารูปไข่ของนาง ดอมดมกลิ่นหอมหวานของสาวแรกรุ่นโดยไม่ให้นางรู้ตัว แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม

 

 

“ก่อนพวกเจ้าจะมาที่นี่ ข้าได้ทำการสอบสวนสาวใช้หน้าห้องพวกเจ้าหมดแล้ว ได้ยินว่าเมื่อคืนคุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูหลินมีปากเสียงกันในห้อง เสียงดังมาก น่าจะทะเลาะกันรุนแรงไม่เบา ใช่หรือไม่”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ทันทีว่า เขาคิดที่จะโยนความผิดให้ตน โดยบอกว่าตนมีแรงจูงใจในการฆาตกรรม? หึ น่าขัน จึงถอยออกสองก้าว ให้ห่างจากสายตาแทะโลมของชายวัยกลางคน ก่อนถามกลับ

 

 

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหน”

 

 

“คุณหนูอวิ๋นตอบแค่ใช่หรือไม่ก็พอ”

 

 

อวี้เฉิงกังส่งเสียงดุ พลางมองนิ่งอย่างผู้มีอำนาจ ถ้าเป็นลูกสาวบ้านคนธรรมดา คงตกใจจนเข่าอ่อน และสารภาพอะไรต่อมิอะไรออกมาจนหมดแล้ว

 

 

แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยิ้ม พลางว่า “ข้ากับคุณหนูหลินพูดคุยกันเสียงดังนิดหน่อย ก็เรียกว่าทะเลาะกันแล้วหรือ เช่นนั้น เมื่อครู่ที่หัวหน้าอวี้พูดเสียงดังกับข้า คนอื่นก็ต้องนึกว่าหัวหน้าอวี้กำลังทะเลาะกับข้าเหมือนกันใช่หรือไม่”

 

 

อวี้เฉิงกังคร้านที่จะพูดจาไร้สาระ จึง ‘ฟึ่บ’ จับแขนข้างหนึ่งของอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้น ก่อนดึงแขนเสื้อนางลง เผยให้เห็นแขนขาวๆ ครึ่งท่อน

 

 

“ใต้เท้าอวี้…” เฉาหนิงเอ๋อร์ร้องด้วยความตกใจ หานเซียงเซียงก็ก้าวเข้าไป

 

 

รอยฟกช้ำที่ข้อศอกยังไม่จางหาย

 

 

“ถ้าไม่ได้ทะเลาะกัน รอยช้ำที่ข้อศอกคุณหนูอวิ๋นมาจากไหนล่ะ ไม่เพียงทะเลาะ ยังลงมือกันด้วย! คุณหนูอวิ๋นเป็นคนตัวเล็ก เมื่อถูกผู้ตายตบตีจนเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะโกรธมากทีเดียว เห็นที คุณหนูอวิ๋นกับผู้ตายมีความแค้นต่อกันไม่เบาอยู่!”

 

 

อวี้เฉิงกังพ่นน้ำลายต่อ “ถ้าคุณหนูอวิ๋นคิดแก้ต่างก็ไม่เป็นไร ในห้องมีคนมากมาย ด้านนอกก็ยังมีคนในวังคอยรับใช้อยู่ ล้วนเป็นพยานได้ทั้งนั้น ถ้าถามก็จะรู้ทันทีว่าเจ้ากับคุณหนูหลินเคยทะเลาะกันหรือไม่!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นออกแรงสะบัดแขนออกจากมือของชายวัยกลางคน อวี้เฉิงกังก็ไม่พูดมากอีก คลายมือออกจากแขนหยกกระดูกอ่อนของเด็กสาว ก่อนเดินกลับไปนั่งยิ้มที่เก้าอี้พนักทรงกลมตามเดิม