ตกดึก
ร่างในชุดสีแดงเข้มปรากฏขึ้นบนยอดเจดีย์อย่างกะทันหัน เขามองไปยังคนที่กำลังวุ่นวายกับเตาหลอมยาด้วยความได้ใจ
“เยี่ยยวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ศิษย์หลานตัวน้อยของเจ้าพูดอะไรกับข้า”
คนตรงข้ามไม่แม้แต่จะตอบรับ ทำราวกับมองไม่เห็นเขา เพียงแค่ดันขนมที่ปั้นเสร็จบนโต๊ะเข้าเตาหลอม
อิ้งหลุนเองก็ไม่โกรธ เขาเพียงแค่เสกเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่งนั่งลง มือข้างหนึ่งเกยคางพลางพูดขึ้น “พวกเราต่างรู้ว่าโลกสวรรค์มักจะอยู่อย่างสงบไม่ได้ โลกมนุษย์มักได้รับความเดือดร้อนทุกครั้ง แม้แต่ข้ายังไม่มีวิธีที่ดี แต่ศิษย์หลานของเจ้าคนนี้ราวกับคิดจะแก้ไขต้นเหตุของปัญหาสามโลก! เยี่ยยวนนะเยี่ยยวน ครานี้เจ้ารับลูกศิษย์ที่ไม่เลวเลย แม้แต่ยมโลกของข้าก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว!”
เยี่ยยวนชะงักมือลง สายตาของเขาเย็นชาอย่างมาก อุณหภูมิบนยอดเจดีย์ลดลงในทันที ความหนาวเย็นกวาดผ่านตัวของอีกฝ่ายไป บริเวณรอบด้านกลายเป็นน้ำแข็ง แม้แต่เปลวไฟในเตาหลอมยาด้านข้างก็ดับลง
“อั๊ยยะ ข้าก็แค่พูด เจ้าจะโกรธอะไรกัน” อิ้งหลุนตกใจ ก่อนจะกลายร่างเป็นควันดำลอยขึ้นมาถึงได้หลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่ายได้
“ออกไป” เยี่ยยวนหันหน้ามา สายตาคมดุจมีดนั้นจ้องมองมายังอีกฝ่าย
“ได้ๆๆ ข้าไม่พูดถึงศิษย์หลานของเจ้าแล้วก็ได้! นิสัยของเจ้านี่…” อิ้งหลุนส่ายหัว จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขามองไปยังอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง “เดี๋ยว เจ้ายังจำเรื่องแต่ก่อนไม่ได้หรือ”
เยี่ยยวนไม่ได้ตอบ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาลง ภายในอากาศมีน้ำแข็งก่อตัวขึ้น ก่อนจะพุ่งไปยังทิศทางของอิ้งหลุน ราวกับต้องการบอกอีกฝ่ายว่า ไม่ไปก็ตาย
“ได้ๆๆ ข้าไปแล้ว!” อิ้งหลุนยกมือขึ้นราวกับยอมแพ้ ก่อนจะกวาดตามองคนตรงข้ามอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างมีนัย “เจ้าปกป้องศิษย์หลานตัวน้อยเช่นนี้ เมื่อรอเจ้านึกขึ้นได้ ไม่รู้ว่าจะเสียใจ…”
ฉึบ...
น้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศพุ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย อิ้งหลุนหลบหลีกออกไปอย่างคล่องแคล่วทันที
ไม่ไหวๆ …
น้ำแข็งเหล่านั้นทิ่มลงบนพื้นเสียงดัง สีหน้าของเยี่ยยวนยิ่งเย็นลง เขามองดูน้ำแข็งบนพื้นอยู่สักพัก ก่อนจะหันตัวกลับไปปรับข่ายพลัง ความหนาวเหน็บในห้องหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
เขาเอื้อมมือหยิบขนมจากในเตาหลอมออกมาลองชิม รสสัมผัสนิ่มและเหนียวเล็กน้อย นี่คือ…ถูกความชื้น!
(╰_╯)
คิ้วคมของเขาขมวดมุ่นทันที ความคุกรุ่นผุดขึ้นในใจ
เขากลายร่างเป็นแสงสีขาวมุ่งตรงไปยังหลังเขา
นาทีถัดมา เสียงร้องโหยหวนปรากฏขึ้น ปะปนด้วยเสียงลมที่ดังก้องไปทั่วผืนป่า
ฮัดชิ่ว!
อวิ๋นเจี่ยวที่นอนอยู่นั้นจามขึ้น นางดึงผ้าห่มขึ้นมา พร้อมกับมุดตัวลงไปในนั้นมากขึ้น เสียงกบร้องในค่ำคืนนี้ดังเสียจริง อืม ข้อเสียของการอยู่ในภูเขา นางถอนหายใจ ก่อนจะพลิกตัวนอนต่อ
…
การเรียนการสอนของโรงเรียนเสวียนเหมินดำเนินไปอย่างราบรื่น ตอนแรกอวิ๋นเจี่ยวยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อยว่าลูกศิษย์เหล่านี้จะปรับตัวกับการเรียนรูปแบบนี้ไม่ได้ เพราะลูกศิษย์เสวียนเหมินแต่เดิมนั้นล้วนฝึกฝนควบคู่กับการทำภารกิจ หากเรียนที่สำนักเทียนซือเป็นเวลานาน อาจทำให้ไม่คุ้นชินการปฏิบัติจริง
แต่เจ้าสำนักสวีกลับบอกนางว่าไม่ต้องกังวล เพราะตั้งแต่เปิดเรียนมา เหล่าลูกศิษย์มีความกระตือรืนร้นในการทำภารกิจกว่าเดิมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเครือข่ายการขนส่งคมนาคมเกิดขึ้น ภารกิจจำนวนมากที่ไหว้วานมายังสำนักเทียนซือล้วนถูกเหล่าลูกศิษย์แย่งชิงจนถึงขั้น ‘หาภารกิจยาก’ แล้ว อีกทั้งยังถึงขั้นเกิดเรื่องการชกต่อยขึ้นเนื่องจากแย่งชิงภารกิจกัน จนแทบจะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างห้อง สุดท้ายสำนักเทียนซือจึงต้องแจกจ่ายภารกิจไปตามห้องเรียนอย่างเท่าเทียมกัน
เหล่าอาจารย์ก็มีความฉงนใจอย่างมากต่อเหตุการณ์นี้ อวิ๋นเจี่ยวกลับเข้าใจต่อความกระตือรือร้นของทุกคน เหตุการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับ เรียนวิชาวัฒนธรรมมาจำนวนมาก ทันใดนั้นมีวิชาพลศึกษาขึ้นมา ถึงแม้ต้องวิ่งอยู่บนสนามอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่มีใครไม่ชอบวิชาพลศึกษา ภารกิจก็คือวิชาพลศึกษาของเสวียนเหมินนี่เอง!
จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง มีอาจารย์ได้เข้าไปในกลุ่มส่งสารของเหล่าลูกศิษย์โดยบังเอิญ เขาได้ยินคำพูดที่มาจากใจจริงของลูกศิษย์ มีภารกิจทำ จะมีใครจะอยากทำข้อสอบอยู่ในโรงเรียนกัน การทดสอบน่ากลัวกว่าการขับไล่ปีศาจเสียอีก!
เหล่าเจ้าสำนักที่เคยผ่านมาก่อน “…”
ดังนั้น ความกระตือรือร้นของเหล่าลูกศิษย์นี้ เพียงเพื่อต้องการ…หลบหลีกการบ้าน!
เหล่าเจ้าสำนักรู้สึกเพียงพวกเขาคงทำข้อสอบน้อยไป ถึงได้รังเกียจมากเช่นนี้ ดูท่าทางต้องออกข้อสอบให้มากขึ้นเสียแล้ว! อืม ใช้วิธีไหนดี
“การประลองเสวียนเหมิน?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ มองดูเหล่าเจ้าสำนักที่กำลังตื่นเต้น
“ใช่” เจ้าสำนักสวีเดินขึ้นหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “ภาคเรียนที่หนึ่งสิ้นสุดลง ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาการทดสอบการขึ้นทะเบียนของสำนักเทียนซือแล้ว ดังนั้นพวกข้าจึงคิดว่าจะอาศัยการทดสอบขึ้นทะเบียนในครั้งนี้ จัดการประลองใหญ่เสวียนเหมินขึ้นมา”
“ใช่แล้ว!” ท่านอาวุโสด้านข้างพูดเสริมขึ้น “หนึ่ง พวกเราสามารถยกระดับความกระตือรือร้นในการฝึกฝนของทุกคน สอง พวกเราสามารถทดสอบผลการเรียนของภาคเรียนนี้”
เจ้าสำนักสวีหยิบแผนการที่ตนเขียนเอาไว้ออกมา “สหายอวิ๋น พวกข้าคิดไว้แล้ว การประลองสามารถแยกออกเป็นยันต์ ข่ายพลัง อาวุธ ทำนาย และการรักษา การทดสอบมีทั้งหมดสามรอบ หลังจากสามรอบแล้วเลือกคนที่ได้สิบอันดับแรกของแต่ละประเภทออกมา ลูกศิษย์ห้าสิบคนที่ถูกคัดเลือกเข้าสู่การประลองครั้งสุดท้าย จากนั้นคัดเลือกสามอันดับแรกมอบรางวัลให้กำลังใจ อันดับของการประลองใช้เป็นคะแนนจบการศึกษาของภาคเรียนนี้”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า มองดูแผนการบนมือของเขา ก่อนที่สายตาของนางจะหยุดอยู่บนรายละเอียดการสอบสนามที่สาม “ปราบมาร? รายการนี้คือ…”
“อ่อ การปราบมารเป็นหน้าที่หลักของลูกศิษย์เสวียนเหมิน เพียงแต่ปัจจุบันนี้เงียบสงบกว่าแต่ก่อนไม่น้อย เหล่ามารปีศาจที่ขึ้นมาปั่นป่วนลดลงอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายในการหาภารกิจสำหรับการทดสอบ” ภารกิจในตอนนี้ถูกเหล่าลูกศิษย์แย่งชิงไปจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือไว้สำหรับทดสอบแม้แต่ภารกิจเดียว “ดังนั้น…พวกข้าจึงส่งสารให้ราชามาร หวังให้เขาช่วยเหลือ ราชามารรับปากว่าจะส่งสหายมารหลายท่านมาช่วยพวกเราทดสอบ แน่นอนว่าเป็นแค่การซ้อมเท่านั้น มีท่านอาวุโสคอยคุ้มครองความปลอดภัยของเหล่าสหายมาร!”
“…” สหายมาร? พวกท่านสนิทชิดเชื้อกับราชามารตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“เช่นนั้นก็ตามนี้เถอะ!” อีกฝ่ายเตรียมแผนการไว้หมดแล้ว นางยังจะพูดอะไรได้อีก “ในเมื่อเป็นการปราบมารขับไล่ปีศาจ เช่นนั้นวิญญาณก็ขาดไม่ได้ หรือไม่เพิ่มการขับไล่ผีอีกรายการหนึ่ง รวมเข้ากับรอบการปราบมาร ให้ลูกศิษย์เลือกเอาเอง”
“แต่ว่าวิญญาณ…” หาได้จากที่ไหนกัน! ตอนนี้วิญญาณที่ปั่นป่วนมีจำนวนน้อยมาก
“ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้มอบหมายให้ชายแก่!” อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นถึงยมราช ให้เขาหาวิญญาณสองสามตนขึ้นมาคงไม่มีปัญหา “เขามีวิธี พวกท่านเตรียมพื้นที่ก็พอ”
เจ้าสำนักสวีสีหน้าดีใจ “ได้ เช่นนั้นตกลงตามนี้!”