บทที่ 187 ซากกระดูกศพ

คู่ชะตาบันดาลรัก

เกี้ยวขุนนางหยุดที่ปลายสะพาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยกม่านขึ้น “ถึงแล้วขอรับ”

หมิงเวยหันหน้ากลับไปแล้วยิ้ม ขุนนางที่ลงจากเกี้ยวนั้นหากไม่ใช่เจี่ยงเหวินเฟิงแล้วจะเป็นผู้ใดได้

“ท่านยิ้มอะไร” หยางชูมองนางอย่างเย็นชา

หมิงเวยแตะแก้มตนเอง “ปิดบังใบหน้าอยู่เช่นนี้ท่านเห็นด้วยหรือว่าข้ากำลังยิ้ม”

เขาร้องเฮอะก่อนเอ่ย “หรี่ตาแคบเช่นนี้ไม่ใช่ยิ้มแล้วจะอะไร”

“….” หมิ่งเวยได้แต่นิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก

“ใต้เท้า” เกาฮ่วนและตี๋ฝานเดินเข้ามาคารวะ

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

เกาฮ่วนอยู่ฝ่ายคดีอาญาเพราะฉะนั้นเหตุการณ์นี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขาจึงรายงานสถานการณ์ออกไป “พวกเราจับอสูรน้ำได้แล้วขอรับแล้วเรายังพบซากกระดูกศพจำนวนมากที่อุโมงค์ใต้สะพาน ซากกระดูกบางส่วนได้รับบาดเจ็บก่อนเสียชีวิตไม่ได้เป็นของคนที่จมน้ำเสียทั้งหมดขอรับ” เจี่ยงเหวินเฟิงหันไปมองอสูรน้ำ

เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้แล้วก็เห็นว่าเป็นหยางชูและหมิงเวยที่เดินเข้ามาจึงพยักหน้าให้ “คุณชาย แม่นางหมิง”

เขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับหมิงเวยที่ปกปิดใบหน้า ความนิยมในเมืองหลวงนั้นมีเป็นพักๆ เดี๋ยวก็นิยมแต่งกายชุดของบุรุษ เดี๋ยวก็นิยมรวบผมสูง ผู้ใดจะรู้เล่าว่าการปิดบังใบหน้าจะเริ่มเป็นที่นิยมด้วย

หมิงเวยแปลกใจ “เหตุใดพวกท่านถึงจำข้าได้ล่ะเจ้าคะ” หรือว่าที่นางจำหน้าคนไม่ได้ไม่ใช่เพียงแค่ดูหน้าไม่ออกหรอกหรือ

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “คนที่มากับคุณชายนอกจากแม่นางหมิงแล้วจะมีผู้ใดได้อีก”

“….” วิธีจำคนวิธีนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง

หมิงเวยไม่สนใจคำตอบก่อนหน้าและเอ่ยถามต่อ “ศาลต้าหลี่ดูแลเรื่องนี้ด้วยหรือเจ้าคะ”

เหลยหงที่เพิ่งกลับจากอุโมงค์ใต้สะพานพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหมิงคงไม่ทราบว่าใต้เท้าได้ย้ายไปประจำตำแหน่งจิงเจ้าอิ่ง[1]แล้ว”

จิงเจ้าอิ่ง เป็นตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าท่านเจ้าเมือง สถานะก็มีความสำคัญมากกว่าหากมีประวัติในตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่มักจะได้เลื่อนขั้นในภายหลัง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เป็นเพราะข้าไม่ทราบมาก่อนจึงไม่ได้แสดงความยินดีกับใต้เท้าด้วย”

เจี่ยงเหวินเฟิงโบกมือแล้วถามเรื่องสำคัญกับนาง “ตามที่แม่นางหมิงดูมา อสูรน้ำตัวนี้อันตรายมากหรือไม่”

หมิงเวยตอบ “หากอยู่ห่างจากน้ำไม่ว่ามันจะมีความสามารถมากแค่ไหนก็คงสำแดงออกมาไม่ได้ใต้เท้าจัดการได้ตามสบายเลยเจ้าค่ะ”

เจี่ยงเหวินเฟิงทำสีหน้าเข้าใจและเรียกเหลยหงให้มาจัดการกับอสูรน้ำ

เกาฮ่วนตอบ “ครั้งนี้สามารถจับอสูรน้ำได้อย่างราบรื่นเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากวีรบุรุษสองท่านนี้ขอรับ” แล้วเขาก็แนะนำจวินโม่หลี และหนิงซิวให้กับเจี่ยงเหวินเฟิง

เจี่ยงเหวินเฟิงเดินไปขอบคุณพวกเขาด้วยตนเอง

หนิงซิวตอบ “ออกแรงเหมือนแค่ยกมือมิบังอาจให้ใต้เท้าขอบคุณหรอกขอรับ”

จวินโม่หลีรู้สึกแปลกๆ เขาเห็นเจี่ยงเหวินเฟิงเดินเข้ามาแล้วหยางชูและหมิงเวยเดินเข้าไปทักทาย ดูเหมือนพวกเขาจะรู้จักกันมาก่อน เขาคิดในใจไม่แปลกใจเลยที่กองทหารรักษาพระองค์จะไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับผู้สืบทอดเสวียนตูกวัน แต่ก็ยังคงให้ความเคารพพวกเขาอยู่

เขายังคงเป็นตัวของตัวเอง และทำความเคารพกลับไป “ในเมื่อจับอสูรน้ำได้แล้วถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนขอรับ” เขากล่าว จากนั้นเจี่ยงเหวินเฟิงก็กล่าวขอบคุณอีกครั้งและส่งเขาเดินทางกลับอย่างสุภาพ

จวินโม่หลีจากไปแล้ว หนิงซิวก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ต่อเขาขอตัวลาเช่นกัน

หยางชูถาม “ใต้เท้าเจี่ยง พวกเราสามารถดูอยู่ข้างๆ ได้หรือไม่”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “พบอสูรน้ำขึ้นในแม่น้ำอวี่ไต้หากไม่ให้คุณชายเข้ามาดู เกิดฝ่าบาทถามขึ้นมาแล้วจะตอบว่าอย่างไรกันเล่า”

หยางชูแค่ถามเพื่อความสนุกก็เท่านั้น แม่น้ำอวี่ไต้ล้อมรอบพระราชวังถึงเขาไม่เข้ามาดู อย่างไรเสียหวงเฉิงซือก็ต้องเข้ามาสอบถามอยู่แล้ว

ตี๋ฝานเดินเข้ามารายงาน “ใต้เท้า พวกเราเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ สามารถลงไปยังอุโมงค์ใต้สะพานได้เลยขอรับ”

ก่อนลงไปยังอุโมงค์ใต้สะพานหมิงเวยเดินเข้าไปถามจี้เสียวอู่ว่า “พี่ห้า ข้าเกรงว่าคงอีกสักพักกว่าจะกลับไปได้ท่านจะกลับไปก่อนหรือไม่”

จี้เสียวอู่ส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ข้ารับปากท่านแม่แล้วว่าจะพาเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย หากข้ากลับไปแล้วทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ข้าคงถูกท่านแม่ตีตายแน่”

หมิงเวยคิดตามก็เห็นด้วยจึงบอกไปว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านรออยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ ข้าจะลงไปดูข้างใต้ก่อน หากไม่มีอะไรข้าจะรีบกลับมา”

จี้เสียวอู่เหลือบมองไปที่อุโมงค์ใต้สะพานที่มีแสงสว่างลอดออกมาแล้วก้มลงกระซิบถามนางว่า “คนที่เป็นวิชาคือเจ้าไม่ใช่ตัวฝูหรอกหรือ”

หมิงเวยตอบ “ตัวฝูก็เป็นวิชาหากท่านอยากเรียนก็เรียนกับตัวฝูได้”

จี้เสียวอู่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…”

หมิงเวยตบไหล่เขา “มีเรื่องอะไรกลับจวนค่อยคุยกัน ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ก่อน”

“…อ้อ” จี้เสียวอู่มองนางเดินไปรวมกับทุกคนผ่านไปนานแล้วสติของเขาก็ยังไม่กลับมา

ตัวฝูเป็นห่วงจึงผลักเขาก่อนกล่าว “คุณชายห้า ท่านยังหนาวอยู่หรือไม่ให้บ่าวไปยืมเสื้อผ้าให้ดีหรือไม่เจ้าคะ!”

“อา” จี้เสียวอู่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรข้าไม่หนาว”

“แล้วเหตุใดสติของท่านถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”

“ข้า..แค่จู่ๆ…” จี้เสียวอู่คิด “แค่สงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ก็เท่านั้น”

……………

หมิงเวยเดินตามลงไปยังอุโมงค์ใต้สะพาน

ใต้น้ำนี้มีโพรงซ่อนอยู่ซึ่งมีน้ำท่วมขังอยู่ครึ่งหนึ่ง เหลยหงถือคบไฟส่องไปที่มุม “ใต้เท้าที่นี่มีซากกระดูกกระจัดกระจายอยู่ขอรับ”

ที่มุมของอุโมงค์ใต้สะพานมีกระดูกสองสามชิ้นวางอยู่ตรงนั้น น้ำในแม่น้ำสายนี้มีขึ้นมีลง เศษเนื้อบนกระดูกคงถูกกัดเซาะจนสะอาดไปหมดแล้วถึงได้มีพืชน้ำเกาะติดอยู่

เจ้าหน้าที่เข้าไปหยิบกระดูกแล้วส่งให้เจี่ยงเหวินเฟิง “ใต้เท้าขอรับ”

เจี่ยงเหวินเฟิงใช้ผ้าเนื้อดีรับกระดูกมาดูอาศัยแสงไฟจากคบเพลิงในการสำรวจและสัมผัสพืชน้ำที่เกาะติดอย่างระมัดระวัง

“น่าจะเป็นกระดูกขา ดูจากความยาวแล้วมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสตรี เก็บขึ้นมาก่อน” เจ้าหน้าที่รับคำแล้วเก็บกระดูกใส่ถุงผ้า

ทุกคนเดินลุยน้ำสักพักพื้นดินก็ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเผยให้เห็นโพรงอย่างชัดเจน โพรงนี้มีขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับลึกมากและอบอวลไปด้วยกลิ่นที่ไม่สามารถบรรยายได้ มีกระดูกกระจัดกระจายไปตลอดทางและยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ

และในที่สุดพวกเขาก็ยืนอยู่หน้ากองกระดูก ทุกคนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

กระดูกมากมายเพียงนี้เป็นปริมาณที่น่าตกใจมาก ขุนนางผู้ชันสูตรศพก้าวออกไปเพื่อตรวจสอบกระดูกเหล่านี้

“กระดูกมากมายเช่นนี้คาดว่าน่าจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างต่ำสองถึงสามร้อยคน” หยางชูพูดเสียงเบา

นอกจากสถานที่ฝังศพของทางราชการแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเห็นศพจำนวนมากในเมืองหลวงเช่นนี้

“กระดูกนี้น่าจะถูกทุบตีมาอย่างแรงขอรับ” ขุนนางผู้ชันสูตรศพพูด “กระดูกหักหลายแห่งดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะเสียชีวิต”

“กระดูกเหล่านี้ถูกแทะจนเละจึงไม่สามารถแยกแยะได้”

“พวกนี้…” หลังจากตรวจดูคร่าวๆ แล้วเขาก็รายงานว่า “ใต้เท้าขอรับ กระดูกเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสตรีแล้วยังมีเด็กเล็กจำนวนหนึ่งน้อยนักที่จะเป็นบุรุษ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นคงไม่ใช่การจมน้ำ”

เมืองหลวงมีแม่น้ำหลายสายมีคนจมน้ำตายจำนวนไม่น้อยทุกปี แต่สตรีไม่ค่อยออกมาข้างนอกและถ้าเป็นการจมน้ำตายแสดงว่าอัตราส่วนทางเพศนี้ไม่ถูกต้อง

“ก่อนอื่นย้ายกระดูกเหล่านี้ไปที่ศาลาว่าการก่อน” เจี่ยงเหวินเฟิงสั่งการเสร็จแล้วมองลึกเข้าไปข้างใน “เข้าไปดูข้างในต่อเพื่อดูว่าหลุมนี้จะไปสิ้นสุดที่ใด”

เหลยหงตอบรับ “ขอรับ!”

หมิงเวยถอนหายใจเงียบๆ และมองขึ้นไปที่ด้านบนของอุโมงค์

“คิดอะไรอยู่หรือ” หยางชูถาม

“กำลังคิดว่าเงามืดของเมืองหลวงนั้นน่ากลัวเพียงใดเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดเสียงเบา “ด้านบนของพวกเราคือถนนผิงอันที่เป็นถนนสายหลักเป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหลวง แต่ผู้ใดจะคิดว่าข้างใต้จะมีพื้นดินนี้และจะพบกับกระดูกเช่นนี้ได้”

…………….

[1] จิงเจ้าอิ่ง : ตำแหน่งขุนนางเจ้าเมือง