“แฮกแฮก…”
จักรพรรดินีโมโหเสียจนผมที่ถูกม้วนขึ้นอย่างประณีตปรกลงมาด้านหน้า นางพังกรอบรูปเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา
อาสทาน่านั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ อย่างผ่อนคลายต่างจากจักรพรรดินีที่โมโหเสียจนแทบคลั่ง เขาเหลือบมองเจ้าตระกูลอังเกนัส ยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักทาย
“ท่านตามานี่เอง”
“อะ…เจ้าชาย”
วันเกิดอายุครบสิบหกปีของอาสทาน่าใกล้จะมาถึงแล้ว เขากำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนดูต่างไปทุกวัน
“มาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ…”
เจ้าตระกูลอังเกนัสหลบสายตาเล็กน้อย
เขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าอาสทาน่าเหมือนมารดาของเด็กหนุ่มมาก แต่มันมากเสียจนน่ากลัวราวกับไม่มีสายเลือดของจักรพรรดิโยบาเนสไหลเวียนอยู่ในตัวเลยแม้แต่น้อย มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังมองราวีนี่ในตอนเด็ก
“ท่านตาไร้ความสามารถจนวางใจให้ทำงานอะไรไม่ได้สักอย่าง แบบนี้จะทำยังไงล่ะเนี่ย”
รวมถึงนิสัยด้วย
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ…”
เฟรดริก อังเกนัสก้มหน้านิ่ง เขาแทบหยุดหายใจ
“…ท่านพ่อ”
จักรพรรดินีเอนกายพิงที่เท้าแขนโซฟาราวกับเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก นางเอ่ยเรียกเจ้าตระกูลอังเกนัส
“พ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”
“เห็นว่าเหมืองลีลาร์ค้นพบสายแร่เพชรเพิ่มอีกแล้วหรือคะ”
“ปะ…เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดินีลุกขึ้นพรวดจากที่นั่ง ก่อนที่เฟรดริก อังเกนัสจะทันได้พูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“อย่างนั้นหรือคะ”
นัยน์ตาสีน้ำเงินของจักรพรรดินีส่องประกายเย็นยะเยือก
“ท่านพูดได้แค่นั้นหรือยังไงกัน!”
พลั่ก! เพล้ง!
จักรพรรดินีหยิบถ้วยชาที่อาสทาน่าเพิ่งวางลงบนโต๊ะขึ้นมา แล้วปาไปยังผนังด้านหลังเจ้าตระกูลอังเกนัสอย่างแม่นยำ
“หากทำตามที่ข้าสั่งให้มันได้เรื่อง! เหมืองนั่น! เพชรนั่น! ทั้งหมดก็ต้องเป็นของพวกเราอังเกนัสแล้วแท้ๆ!”
ยิ่งร้านค้าเพลเลสที่ฉกชิงเหมืองแร่ลีลาร์ไปสามารถหาเงินจากเพชรนั่นได้มากเท่าไหร่ ความอิจฉาริษยาของจักรพรรดินีก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้นมากเสียจนอยากจะสั่งห้ามไม่ให้ใครสวมเครื่องประดับที่ทำจากเพชรมาร่วมงานเลี้ยงและงานน้ำชาที่นางเป็นเจ้าภาพ
จักรพรรดินีกรีดเสียงร้องดัง ‘อ๊าก’
มือที่ขยุ้มผมของตัวเองสั่นเทาไม่หยุด
เพราะไม่อาจเอาชนะโทสะมากล้นของตัวเองได้
“ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!”
จักรพรรดินีหอบแฮกชี้นิ้วไปที่ประตู
เฟรดริก อังเกนัสได้แต่ลุกขึ้นเดินออกไปจากวังจักรพรรดินีตามที่นางสั่ง
เขาไม่ได้รู้สึกโมโหอะไรที่บุตรสาวปฏิบัติกับตนเช่นนั้น
สายสัมพันธ์ที่เรียกว่าบิดากับบุตรสาวมันจางหายไปนานมากแล้ว
สำหรับจักรพรรดินีแล้ว อังเกนัสเป็นเพียงแค่ขุมกำลังที่จะช่วยเสริมอำนาจของนางให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านั้น
“เฮ้อ…”
อาสทาน่าเดินเข้ามาหาเจ้าตระกูลอังเกนัสที่กำลังถอนหายใจหนักหน่วงจากด้านหลัง
“ท่านตา”
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย ขออภัยที่ต้องทำให้เห็นภาพน่าอายเมื่อครู่…”
“อา ช่างเถอะ ว่าแต่ที่ไหว้วานไปก่อนหน้านี้เป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องนั้น…”
มีเรื่องหนึ่งที่อาสทาน่าแอบไหว้วานเขาอย่างลับๆ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
อยากครอบครองดินแดนส่วนตัวในเมืองที่ห่างไปจากเมืองหลวง
แต่ตามกฎมนเทียรบาลของอาณาจักร ในระหว่างที่เจ้าชายอาศัยอยู่ในพระราชวัง พระองค์ไม่อาจครอบครองดินแดนได้แม้แต่ผืนเดียว
เหตุผลเดียวกับการที่ไม่อาจครอบครองกำลังทหารหรือกองกำลังอัศวินนั่นแหละ
แต่ช่วงนี้อาสทาน่ากลับต้องการที่จะสร้าง ‘ของตัวเอง’ ขึ้นมา ถึงได้ไหว้วานขอยืมนามของเจ้าตระกูลอังเกนัสผู้เป็นตาให้ซื้อที่ดินพวกนั้นให้
หากวันหนึ่งถูกจับได้ พระองค์จะต้องถูกจับกุมในข้อหากบฏ และจะต้องถูกตัดศีรษะ แต่เฟรดริก อังเกนัสเองก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำตามคำไหว้วานนั่น
“กำลังพูดคุยกับเจ้าเมืองเขตแดนที่พระองค์บอกพ่ะย่ะค่ะ แต่มันค่อนข้างยากเล็กน้อย ฝ่ายนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับตระกูลลอมบาร์เดีย…หากเลือกเขตแดนอื่นอาจจะ…”
“อะไรกัน เรื่องแค่นั้นก็ยังทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
อาสทาน่าขมวดคิ้วแน่นพลางพูดขึ้น
“ตอนนั้นไม่ได้ฟังที่ข้าอธิบายหรือไง ที่ดินผืนนั้นมันเหมาะในการล่าสัตว์”
“หากต้องการลานล่าสัตว์ดีๆ สักแห่ง กระหม่อมจะลองมองหาเขตแดนอื่นที่เหมาะสมกว่านั้นให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่ผืนนั้นไม่ได้”
“แต่เจ้าชาย…”
“เจ้ากล้าเถียงคำพูดของเจ้าชายอย่างข้างั้นหรือ”
มันเป็นคำพูดที่อาสทาน่าชอบใช้มากที่สุดหลังจากเริ่มพูดได้ ในทุกครั้งที่ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“อ้อ แล้วก็หาซื้อเข็มกลัดเพชรมาให้ข้าด้วยชิ้นหนึ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่องค์จักรพรรดินี…”
“เสด็จแม่บอกไม่ชอบ แล้วข้าต้องไม่ชอบไปด้วยหรือไง”
เจ้าตระกูลอังเกนัสตกใจจนเบิกตากว้าง
อาสทาน่าไม่มีวันทำเรื่องที่จักรพรรดินีห้ามอย่างเด็ดขาด
แต่นี่…
“ข้าไม่ใช่หุ่นเชิดที่ทำตามแต่คำสั่งของเสด็จแม่หรอกนะ”
อาสทาน่าพึมพำเสียงหยิ่งยโส เขาจ้องหน้าเจ้าตระกูลอังเกนัสเขม็ง ในขณะที่พูดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย
“มาพระราชวังคราวหน้า นำเอกสารจัดซื้อลานล่าสัตว์กับเข็มกลัดมาด้วยละ”
เหลือบมองไปทางห้องรับรองที่จักรพรรดินีอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเดินทางกลับไปยังวังของตัวเอง
เจ้าตระกูลอังเกนัสยืนนิ่งเฝ้ามองภาพนั้น เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ร้ายวาบผ่านขึ้นมาบนแผ่นหลัง
เขาสังหรณ์ใจว่าอาสทาน่าเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยแตกหนุ่ม ทั้งยังเริ่มที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของมารดาเสียแล้วและถ้าหากดึงดันไม่เชื่อฟังจักรพรรดินีแล้วละก็ คงได้เกิดเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างแน่นอน