หลังปิดร้าน เบ๊ตกำลังนั่งรอเจ้าของตึกอยู่ในร้านคาราเมล อเวนิวที่ว่างเปล่าไร้ลูกค้า

 

หลังจากได้พบเจ้าของตึกที่จู่ๆ ก็โผล่มาขอยกเลิกสัญญาเช่าร้าน อีกฝ่ายก็เงียบเมินเฉยข้อเสนอของเบ๊ตที่บอกให้มาลองคุยกันใหม่

 

แต่แล้วในที่สุดเมื่อเช้าวันนี้เขาก็ได้คำตอบ

 

อีกฝ่ายติดต่อกลับมาว่าให้พบกันหลังปิดร้านวันนี้

 

เดิมทีหลังเวลาทำการของร้านคาราเมล อเวนิว เบ๊ตมีงานยุ่งมากยิ่งกว่าเวลาเปิดร้านเสียอีก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะยังไงเขาก็ต้องพบเจ้าของตึกเพื่อแก้ปัญหาเรื่องสัญญาให้ได้

 

“ใกล้ถึงเวลานัดแล้วสินะ”

 

เบ๊ตเหม่อมองประตูที่ยังคงไร้วี่แววของอีกฝ่ายในขณะที่พูดขึ้น

 

ในหัวสมองของเขาเริ่มนึกถึงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเจ้าของตึกคนนี้

 

‘โรเชลโรค็อกซ์ อายุสามสิบห้าปี โสด ตอนอายุยี่สิบสองปีก็โดนครอบครัวตัดขาด จึงต้องออกไปอาศัยอยู่นอกเมืองหลวง เดินทางกลับมาเพราะได้ยินข่าวการเสียชีวิตของบิดา’

 

จนถึงจุดนี้ถือว่าอีกฝ่ายมีพื้นเพที่ธรรมดามาก

 

ถึงแม้จะแปลกนิดหน่อยที่อายุสามสิบห้าปีแล้วยังไม่แต่งงาน ทั้งๆ ที่ในอาณาจักรแห่งนี้คนส่วนใหญ่จะแต่งงานกันช่วงอายุยี่สิบก็เถอะแต่ตอนที่เห็นนิสัยของชายคนนั้น เขาก็พอจะรู้เหตุผลได้ว่าทำไมถึงหาผู้หญิงมาแต่งงานด้วยไม่ได้

 

อีกอย่างข้อมูลที่เบ๊ตสืบมาได้ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น

 

‘ติดหนี้การพนันสามร้อยเหรียญทอง’

 

นิสัยห่วยแตกพื้นฐานของพวกชนชั้นสูง

 

ที่สิบสามปีก่อนถูกตัดขาดจากตระกูล ที่จริงก็เป็นเพราะปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการพนันนี่เช่นกัน

 

และมันยังไม่หมดแค่นั้น

 

‘นักต้มตุ๋น ใช้ชื่อปลอมว่าเจฟ ริช หลอกลวงผู้คนอยู่ทางตอนเหนือ ตอนนี้กำลังถูกตามล่า’

 

ถึงกับใช้ชื่อปลอมเที่ยวหลอกลวงคนอื่นเขาไปทั่ว

 

เป็นคนชั่วร้ายจริงๆ

 

เมื่อตอนที่แวะมาหาที่ร้านของเขาก็เหมือนกัน

 

จากน้ำเสียงการพูดจาหรือพฤติกรรมที่อีกฝ่ายแสดงออก มันดูหยาบคายเกินกว่าจะเรียกว่าชนชั้นสูงได้

 

ดูเหมือนหลังจากถูกขับไล่ออกจากตระกูล ก็คงจะเที่ยวก่อเรื่องเลวทรามเอาไว้มากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

 

เขามั่นใจว่า ถ้าหากตามสืบลงไปให้ลึกกว่านี้ จะต้องเจอข้อมูลว่าฝ่ายนั้นยังมีชื่อปลอมชื่ออื่น และมีคดีอื่นรออยู่อีกมากแน่

 

แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องสุดท้ายนั่นต่างหากล่ะ

 

‘กำลังถูกตามล่า’

 

เหล่าชนชั้นสูงทางเหนือที่ถูกเจ้านั่นหลอกต่างกำลังโมโหเดือด

 

บางทีมันเองก็คงจะรู้เรื่องนั้นดี

 

เขาตั้งใจว่า ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็จะใช้ไพ่ตายนี่ข่มขู่มันเสีย

 

‘ขอโทษนะครับ ท่านลุงเจ้าของ’

 

นึกถึงเจ้าของตึกคนเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว เบ๊ตก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

 

ยิ่งเพราะเขาคนนั้นเป็นคนที่ใจดีในทุกๆ เรื่อง ทั้งยังเห็นใจเบ๊ตเป็นอย่างมาก จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกแต่เขาก็ไม่อาจยอมปล่อยมือไปจากร้านนี้ได้อยู่ดี

 

ต่อให้ต้องใช้ข้อมูลพวกนั้นเป็นอาวุธ ก็ต้องปกป้องมันไว้ให้ได้

 

กริ๊ง

 

ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ห้อยไว้ที่ประตูร้านดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก เบ๊ตจึงลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อต้อนรับอีกฝ่าย

 

“เชิญครับ กำลังรออยู่…”

 

“สวัสดีค่ะ! ” novel-lucky

 

เสียงที่ดังขึ้นต่างจากเสียงทุ้มหยาบกระด้างของเจ้าของตึกที่เขากำลังรอมันเป็นเสียงกระจ่างใสดังกังวานน่าฟัง

 

“ว้าว มาตอนกลางคืนแบบนี้ให้ความรู้สึกต่างไปเลยนะคะเนี่ย! คุณเบ๊ตเองก็ยิ่งดูหล่อกว่าเดิมด้วย!”

 

เด็กสาวที่กำลังหัวเราะเสียงดัง ‘แหะๆ ’ ตรงหน้านี่ เป็นใบหน้าที่เขาเองก็คุ้นเคยดี

 

เบ๊ตเอ่ยพึมพำชื่อเด็กสาวออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ฟีเรนเทีย…ลอมบาร์เดีย?”

 

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าเป็นเจ้าของตึกนี้แล้วละค่ะ”

 

เธอช่วยอธิบายให้เบ๊ตที่ทำหน้าสับสนเข้าใจอย่างใจดี

 

“เด็กน้อย เจ้า…ไม่สิ คุณหนูลอมบาร์เดียเป็นเจ้าของตึกนี่หรือครับ”

 

“ค่ะ! ข้าซื้อแล้วค่ะ ตึกนี่”

 

ว่าตามตรงถ้าพูดถึงเรื่องราคาแล้ว ถือเป็นการซื้อที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย แต่ช่างเถอะ

 

เพราะกิจการค้าเพชรเลยทำให้ค่าใช้จ่ายแค่นี้ไม่ถือเป็นเรื่องหนักมืออะไรนัก อีกอย่างหากคำนึงถึงอนาคต นี่ก็เป็นการลงทุนที่ถือว่ายอดเยี่ยมเหมือนกัน

 

“เมื่อคราวก่อนเห็นแล้วข้าคิดว่าสถานการณ์ดูลำบากน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยลองสืบดู คนที่พบเมื่อตอนนั้นกับสถานการณ์ของร้านคาราเมล อเวนิวอะไรเทือกนั้น”

 

“ตามสืบลับหลังอย่างนั้นหรือครับ”

 

“จะบอกว่าตามสืบมันก็…ข้าไม่อยากให้ร้านขนมประจำที่ข้าชอบต้องหายไปนี่คะ ครั้งก่อนก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่เป็นเหมือนหลุมหลบภัยของข้าน่ะ”

 

หรืออีกอย่างก็คือ หลุมหลบภัยในอนาคตของเธอยังไงล่ะ

 

หุหุ

 

“เพราะงั้นก็เลยซื้อตึกนี่ต่อจากลุงคนนั้นน่ะค่ะ ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าของแล้วนะคะ”

 

ว้าว วันที่เธอพูดแบบนี้ได้มาถึงแล้วเหรอเนี่ย!

 

เธอเป็นเจ้าของตึก!

 

ขนลุกชะมัด! เยี่ยมที่สุด!

 

“ก็ลุงคนนั้นบอกว่าจะเปิดร้านขนมต่อไปเรื่อยๆ นี่คะ”

 

ไหล่ของเบ๊ตสั่นเทาเล็กน้อย

 

บางทีเขาคงจะไม่รู้เรื่องนี้สินะ

 

“ไม่ละอายใจบ้างเลยจริงๆ คงคิดจะเปิดร้านขนมต่อไปโดยแสร้งทำเป็นร้านคาราเมล อเวนิวละมั้ง ทราบมั้ยคะว่าข้าซื้อตึกนี้ต้องเพิ่มเงินไปเท่าไหร่”

 

เธอถามเบ๊ตด้วยเสียงลับๆ ล่อๆ

 

“…ไม่ทราบสิครับ”

 

เธอกางนิ้วขึ้นสี่นิ้ว

 

“จ่ายไปสี่ร้อยเหรียญทองค่ะ”

 

มันเป็นยอดเงินที่มากกว่าราคาตลาดหลายเท่าตัว

 

“มีเหตุผลอะไรต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อซื้อตึกนี้หรือครับ”

 

“เมื่อครู่ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอคะ ไม่อยากให้ร้านประจำต้องหายไป”

 

“ไม่มีทางหรอกครับ คนอย่างพวกคุณจะใช้เหตุผลง่ายๆ แบบนั้น…”

 

“คนอย่างข้ามันทำไมเหรอคะ”

 

เบ๊ตที่เพิ่งเผลอหลุดพูดคำแบบนั้นออกมามีสีหน้าอยากจะร้องหาพระเจ้าอยู่ชั่วขณะ เมื่อเผลอทำเรื่องผิดพลาดลงไป แต่มันสายไปแล้ว

 

ว่าแล้วเชียว เขาเองก็ตามสืบเรื่องของเธอมาในระดับหนึ่งสินะ

 

“ข้าหมายถึง คุณหนูลอมบาร์เดีย…”

 

“รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้ามาใช่มั้ยล่ะคะ”

 

พอคำว่า ‘ข้อมูล’ ดังออกจากปากเธอ นัยน์ตาของเบ๊ตก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที

 

ไม่ใช่ผู้จัดการร้านคาราเมล อเวนิวที่มักจะอ่อนโยนใจดีอยู่เสมอ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเบ๊ตบ้างแล้ว จึงยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา

 

“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะข้าเองก็พอจะรู้เกี่ยวกับเบ๊ตอยู่บ้างเหมือนกัน”

 

เธอส่งยิ้มให้เบ๊ตที่ระแวดระวังเสียจนขนตั้งชัน เพื่อให้เขาคลายกังวลลง

 

ช่างแตกต่างจากเบ๊ตคนที่เธอได้พบหน้าในชีวิตก่อนมากพอควร

 

ตอนนั้นแม้แต่เธอที่มั่นใจว่าอ่านคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยังไม่อาจอ่านเขาออกได้แม้แต่นิดเดียว เขาเป็นคนที่หนักแน่น ทั้งยังเป็นพวกมือฉมังผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงเลยละ

 

เดิมทีร้านคาราเมล อเวนิวจะต้องหายไปในปีนี้ และจู่ๆ ก็เปิดร้านขึ้นใหม่ที่เดิมอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปถึง 10 ปีและช่วงเวลานั้น เธอก็ได้แวะมายังร้านนี้ในฐานะลูกค้า

 

“สารภาพตามตรง”

 

เธอมองนัยน์ตาสีอำพันที่กำลังมองเธออยู่ ก่อนจะพูดขึ้น

 

“ข้าทราบอยู่แล้วค่ะ ว่าร้านคาราเมล อเวนิวไม่ใช่ร้านขนมหวานทั่วไป”

 

แท้จริงแล้ว ร้านคาราเมล อเวนิวคือกิลด์หรือแหล่งซื้อขายข้อมูลอย่างลับๆ

 

และหัวหน้าผู้นำกิลด์ที่ว่านั่นก็คืออีกตัวตนหนึ่งที่เบ๊ตเก็บซ่อนเอาไว้เป็นความลับนั่นเอง