บทที่ 96

 

เห็นเบ๊ตผงะไปครู่หนึ่งแล้ว ฟีเรนเทียก็พลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชีวิตก่อนขึ้นมาได้

 

เพื่อจะได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเฟเรส เธอเองก็เคยซื้อข้อมูลจากคาราเมล อเวนิวเช่นกัน

 

เพราะมันเป็นสถานที่ที่เก็บซ่อนเป็นความลับสุดยอด นอกจากรู้ว่ามันเป็นร้านขายข้อมูลที่พูดกันเฉพาะในหมู่คนที่รู้จัก ความจริงแล้วเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเบ๊ตเลย

 

ที่เธอเพิ่งพูดออกไปว่า ‘รู้อยู่แล้ว’ นั้นอันที่จริงครึ่งหนึ่งเธอแค่พูดไปลอยๆ อย่างนั้นเอง

 

นอกจากเรื่องที่เบ๊ตเป็นคนดำเนินกิจการร้านขายข้อมูล เธอก็ไม่รู้เรื่องอื่นแล้วจริงๆ

 

ตึกนี้เองก็เหมือนกัน

 

ไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดร้านถึงได้กลับมาเปิดที่เดิมอีกครั้ง ในอีกสิบปีให้หลัง

 

เธอได้แต่คาดเดาว่ามันคงเป็นสถานที่ที่มีความหมายต่อเบ๊ตมากเท่านั้นเองและถ้ามองจากปฏิกิริยาของเบ๊ตในตอนนี้ที่ดูสั่นคลอนเป็นอย่างมาก ฟีเรนเทียก็รู้ได้ทันทีว่าการคาดเดาของเธอถูกต้องแล้ว

 

“ข้าไม่ทราบเลยครับว่าพูดเรื่องอะไร”

 

ดูเหมือนเบ๊ตจะวางแผนไม่ยอมเปิดเผยตัวตนจนถึงที่สุดสินะ

 

เธอยักไหล่ไม่ยี่หระในขณะที่พูดขึ้น

 

“ขี้อายกว่าที่คิดนะคะเนี่ย”

 

“นี่มันไม่ใช่อาย…”

 

เบ๊ตโมโหตั้งใจจะโต้เถียง แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก

 

เขาดูใจอ่อนกว่าเบ๊ต ‘คนนั้น’ ในความทรงจำของเธอมาก

 

ใบหน้าเผยให้เห็นความคิดในใจออกมาหมดขนาดนั้นและความคิดหนึ่งก็พลันวาบขึ้นมาในหัวสมองของเธอ

 

ถ้าอย่างนั้นเบ๊ตในปัจจุบันคนนี้มีความสามารถด้านรวบรวมข้อมูลมากแค่ไหนกันล่ะ

 

ข้อมูลน่ะ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ถึงจะยิ่งสั่งสมได้มากขึ้นเท่านั้น

 

อีกอย่างตอนนี้คาราเมล อเวนิวก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ไม่นานเท่าไหร่เองด้วย

 

ฟีเรนเทียอยากลองทดสอบความสามารถในปัจจุบันของเขาจัง

 

“เปิดร้านขายขนม ค่าเช่าคงเป็นภาระหนักมากเลยใช่มั้ยคะ”

 

คำพูดของเธอทำให้เบ๊ตเหม่อมองเธอราวกับจะบอกว่า ‘ถามเรื่องที่มันแน่นอนอยู่แล้วไปทำไม’

 

เขายังคงระแวงเธอเหมือนเคย

 

ถ้างั้นอันนี้ล่ะเป็นไง

 

“ลองสืบข้อมูลเกี่ยวกับข้าอย่างเต็มที่ดูสักครั้งสิคะ และถ้าผลลัพธ์ที่ได้ถูกใจข้าละก็ ข้าจะไม่รับค่าเช่าร้านตลอดหนึ่งปีเต็มค่ะ”

 

“นะ หนึ่งปี…”

 

นัยน์ตาของเบ๊ตสั่นระริก เขาคงจะกำลังคำนวณยอดเงินในหัวอยู่ละมั้ง

 

“เป็นไงคะ เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยใช่มั้ยคะ”

 

ติดกับแล้วละสิ

 

สามารถประหยัดค่าดำเนินกิจการไปได้ตลอดหนึ่งปีเต็มเชียวนะ

 

แต่เบ๊ตก็สะบัดศีรษะไปมา ราวกับกำลังพยายามตั้งสติให้ดี ก่อนจะพูดขึ้น

 

“สืบอะไรกันครับ ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่เปิดร้านขนมหวานเท่านั้นเอง ข้าไม่ทราบเลยครับว่าคุณหนูพูดถึงเรื่องอะไร”

 

โฮ่ เล่นไม้นี้ใช่มั้ย

 

“ได้ค่ะ ถ้างั้น…”

 

เธอลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที แสดงท่าทีเหมือนกับไม่สนใจอะไรอีก

 

“น่าเสียดายจังนะคะ อุตส่าห์ให้โอกาสได้ประหยัดเงินจำนวนมากตลอดหนึ่งปีแล้วแท้ๆ”

 

“…อึก”

 

“แต่ถ้าหากคิดอยากตอบรับข้อเสนอของข้า อีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังก็พบกันที่นี่เวลาเดิมนะคะ”

 

ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่ประโยคนั้นก่อนจะเดินออกมาจากร้าน

 

ใบหน้าของเบ๊ตที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังมีสีหน้าแบบไหน ไม่ต้องมองก็ชัดเจนอยู่แล้ว

 

ฟีเรนเทียแสยะยิ้ม แล้วเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านนอก

 

“เทีย! เตรียมตัวเสร็จหรือยัง”

 

“รีบไปกันเถอะ!”

 

ลอรีลกำลังช่วยเธอผูกเชือกรองเท้าเป็นอย่างสุดท้าย แต่สองแฝดที่อยู่ด้านนอกก็เอาแต่เร่งไม่หยุด

 

“ถ้าเอาแต่โวยวายเสียงดัง ข้าไม่ไปนะ! ”

 

“ขะ…เข้าใจแล้ว…”

 

“หงิง”

 

พอเธอหงุดหงิด เสียงก็พลันฟังดูหดหู่ในทันที

 

ลอรีลที่ได้ยินเสียงโต้เถียงระหว่างเธอกับสองแฝดเองก็หัวเราะเสียงแผ่ว ก่อนจะพูดขึ้น

 

“ทั้งสามท่านสนิทกันจังเลยนะคะ”

 

“ลอรีล”

 

“คะ คุณหนู”

 

“ล้อข้าเหรอ”

 

“เปล่าค่ะ ข้าพูดจริงๆ ค่ะ”

 

“ข้าเห็นที่พวกพี่ชายของลอรีลปฏิบัติกับลอรีลหมดแล้วนะ”

 

ลอรีลเกิดมาในฐานะน้องคนเล็กภายใต้พี่ชายสามคนที่อายุห่างกันมาก นางจึงเติบโตขึ้นมาโดยได้รับความรักอย่างท่วมท้น

 

ฟีเรนเทียเคยเห็นผู้คนจากตระกูลดิลลาร์ดมารวมตัวกัน

 

พวกเขายิ้มพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข เหมือนกับได้เห็นครอบครัวตัวอย่างจริงๆ เพราะฉะนั้นการมีตัวตนของเครย์ลีบันถึงได้ยิ่งกลายเป็นจุดด่างพร้อยของพวกเขา

 

เธอเปิดประตูห้องแต่งตัวเดินออกไปด้านนอก

 

สองแฝดที่กำลังรออยู่ต่างลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเข้ามาหาเธอด้วยความดีใจ

 

“โอ้ น่ารักจัง!”

 

“น่ารักจนอยากกัดสักคำเลย! ”

 

สองแฝดมองเธอในขณะกระทืบเท้าไปมา

 

“ดูเหมือนจู่ๆ ช่วงนี้จะน่ารักขึ้นเยอะเลยนะ!”

 

“หยุดสวยขึ้นได้แล้ว!”

 

เด็กพวกนี้ทำไมเป็นแบบนี้เนี่ยแม้กระทั่งลอรีลก็เป็นไปกับเขาด้วย

 

นางกุมแก้มเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ส่ายหน้าไปมาราวกับไม่อยากจะเชื่อในภาพน่ารักตรงหน้า พลางพูดไปด้วย

 

“จริงด้วยค่ะ คุณหนูน่ารักขึ้นมาก เรื่องใหญ่เลยนะคะเนี่ย…”

 

“งะ…งั้นเหรอ”

 

พอเห็นลอรีลทำท่าแบบนั้น เธอเลยต้องหันไปมองสำรวจตัวเองในกระจก เพราะคิดว่าหรือจะเป็นอย่างที่พวกเขาพูดกันจริงๆ

 

แปลกจัง

 

ในสายตาของเธอก็ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนี่นา

 

ทว่าแววตาของทั้งสามคนที่มองเห็นสะท้อนผ่านกระจก ทำให้เธอรู้สึกหนักใจขึ้นมา

 

“ทำอะไรอยู่ ไม่ไปกันหรือไง”

 

พอเธอพูดแบบนั้น สองแฝดก็เริ่มขยับตัวกันทันทีราวกับน้ำแข็งแตกเพล้ง

 

“ไปกันเถอะ! ไปสิ!”

 

“เทียจะต้องชอบแน่! ”