สถานที่ที่คิลลีวูกับเมโลนกระโดดโลดเต้นพาเธอมาคือ ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่แถบชานเมืองลอมบาร์เดีย

 

แน่นอนว่าไม่ได้พามาเพื่อเที่ยวชมที่ดินเฉยๆ หรอก

 

“ว้าว คอกม้าใหญ่มากเลย!”

 

คอกม้าหลายคอกสำหรับม้าหลายสิบตัวได้พักอาศัย มันทำให้เธอหลุดอุทานชื่นชมออกมาทันทีโดยธรรมชาติ

 

“ที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงเก็บม้าไว้น่ะ”

 

“ทุกคนจะออกมาขี่ม้ากันที่นี่บ่อยๆ มีแข่งม้ากันด้วยนะ!”

 

ฟีเรนเทียเข้าใจเลยว่า ทำไมทันทีที่อายุครบสิบเอ็ดปี สองคนนี้ถึงได้แวะมาที่นี่ได้ทุกวี่ทุกวัน

 

แค่ได้มองทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ตรงหน้าก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก มันทำให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งไปหมดทั้งใจเลยละ

 

“เทียยังไม่รู้วิธีขี่ม้า เพราะงั้นนั่งกับข้าก็แล้วกัน”

 

คิลลีวูยื่นมือมาหาเธอพลางพูดขึ้น

 

“ไม่ ข้าขี่ม้าได้ปลอดภัยกว่าคิลลีวู นั่งกับข้าดีกว่า”

 

คราวนี้เป็นเมโลนที่พูดแทรกขึ้นมา

 

“เจ้าขี่ได้ปลอดภัยกว่างั้นเหรอ คนขี้โกหก”

 

“ข้าดีกว่าเจ้าไงล่ะ พูดไม่ผิดไม่ใช่หรือไง”

 

ทั้งสองเริ่มส่งเสียงคำรามจะทะเลาะกันอีกแล้ว

 

เธอมองทั้งคู่ด้วยนัยน์ตาสมเพช ก่อนจะคว้ามือของลอรีลที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดขึ้น

 

“ข้าจะนั่งกับลอรีล”

 

ลอรีลเองก็เป็นคนมีความสามารถในการขี่ม้าระดับแนวหน้าเช่นกัน

 

ไม่สิ อย่างน้อยก็ดีกว่าตัวปัญหาสองคนนี้ที่ชอบก่อเรื่องก็แล้วกัน

 

“อึก”

 

“ฮือ”

 

คำตัดสินใจของเธอทำเอาสองแฝดลู่ไหล่ลงด้วยความน้อยใจ แต่เธอเลือกที่จะเมินเฉยพวกเขา

 

ไม่ได้ เธอไม่เปลี่ยนใจหรอก ถอยไปซะ

 

เธอเลือกถูกต้องแล้ว

 

ลอรีลเป็นคนขี่ม้าที่รู้จักบังคับม้าให้ออกตัววิ่งได้เร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาระดับความปลอดภัยไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ประสบการณ์ที่ได้นั่งม้าตัวที่ลอรีลเป็นคนบังคับมันน่าตื่นเต้นมาก

 

“ว้าว!”

 

สัมผัสยามสายลมพัดปะทะหน้าก็ดี ความรู้สึกยามที่ม้าเคลื่อนไหวในตอนที่วิ่งไปด้วยกันก็ทำให้รู้สึกดีมากกลิ่นหญ้าจากทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอประทับใจมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดทำเอาเธออยากเรียนวิธีขี่ม้าขึ้นมาเลยละ

 

“เป็นไง สนุกใช่มั้ย”

 

แก้มทั้งสองข้างของเมโลนขึ้นสีแดงระเรื่อจากเส้นเลือดฝาดที่สูบฉีด เขาถามเธอ

 

“อื้อ ดีจัง”

 

“ว่าแล้วเชียว! ข้านึกแล้วว่าเทียจะต้องชอบ!”

 

“พวกเราวิ่งกันต่ออีกรอบดีมั้ย”

 

คิลลีวูตบแผงคอของม้าที่กำลังคึกเช่นเดียวกันในขณะที่พูดขึ้น

 

“อืม อีกรอบเหรอ”

 

มันสนุกก็จริงอยู่หรอก แต่เธอไม่ค่อยอยากเล่นต่อเท่าไหร่

 

การขี่ม้าที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนทำเอาสะโพก ขา บั้นท้ายของเธอเจ็บปวดไปหมดทั้งตัวจนแทบร้าว แต่มันก็สนุกมาก เธอเลยรู้สึกลังเลขึ้นมา

 

“ไม่ได้ค่ะ”

 

ลอรีลพูดหนักแน่น

 

“คุณหนูเพิ่งขี่ม้าเป็นครั้งแรก จะหักโหมเกินไปไม่ได้ค่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน แล้วไว้ครั้งหน้าค่อยมาใหม่นะคะ”

 

“อืมเอางั้นเหรอ…”

 

“แต่ก็นะ จะปล่อยให้เทียเจ็บตัวไม่ได้”

 

สองแฝดเองก็พยักหน้ายอมรับอย่างรวดเร็ว

 

“งั้นเดี๋ยวพวกเราเอาม้าไปเก็บที่คอกก่อน แล้วกลับมาหานะ”

 

“รอตรงนี้แป๊บนึง เดี๋ยวพวกข้ากลับมาแล้วพวกเราไปชมใบไม้เปลี่ยนสีกันเถอะ”

 

“อื้อ ไปเถอะ”

 

ทั้งสองคนกระโดดลงจากม้า กุมบังเหียนไว้ในมือ เดินนำพาพวกมันกลับไปที่คอก ในขณะที่โบกมือให้เธอ

 

“คุณหนู ข้าขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะคะ…”

 

ลอรีลกระซิบเสียงค่อย

 

“งั้นข้าไปดูเบลลี่กับบลังค์ก่อนนะ”

 

เบลลี่กับบลังค์คือแม่ม้ากับลูกม้าที่ท่านพ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดตอนเธออายุแปดขวบ

 

เดิมทีพวกมันอาศัยอยู่ในคอกม้าของคฤหาสน์ แต่พอบลังค์เริ่มโตขึ้น มันก็ต้องการพื้นที่ที่กว้างกว่าเดิม เมื่อไม่นานมานี้เลยย้ายมาไว้ที่นี่แทน

 

แม้จะรู้สึกเศร้าใจนิดหน่อยที่ไม่อาจพบหน้าได้บ่อยๆ แต่พอได้มาเห็นในวันนี้ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เธอเลือกนั้นถูกต้องแล้ว

 

อยู่ที่นี่พวกมันสามารถวิ่งเล่นได้ตามที่ใจอยาก

 

บีพาเช่ที่เฟเรสให้เป็นของขวัญก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน

 

ครอบครัวมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

เธอพยายามขุดคุ้ยความทรงจำขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเดินไปหาคอกที่ม้าของเธออยู่

 

“น่าจะอยู่แถวนี้นี่นา…”

 

ถ้าพยายามหาแล้วยังหาไม่เจออีกค่อยลองถามคนแถวนี้ดูก็ได้

 

คิดง่ายๆ ไม่สนใจอะไรมากมายนัก ไหนๆ ก็มาแล้ว ถือโอกาสนี้เดินเที่ยมชมทั่วคอกม้าไปเลยก็แล้วกัน

 

มองเหล่าม้าที่ต่างมองเธอด้วยนัยน์ตาอยากรู้อยากเห็นไปพลาง เดินตรงไปยังคอกม้าที่อยู่ห่างออกไป

 

เดินไปเดินมาก็เจอเข้ากับครอบครัวน้องเหมียวที่แอบมุดมาอาศัยอยู่ในคอกม้า ทำเอาตกใจไปชั่วขณะ

 

แล้วก็เริ่มเดินต่ออีกครั้ง

 

แต่แล้วก็พลันตระหนักขึ้นมาได้

 

“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”

 

เธอเองก็ไม่ได้ซีซั้วเดินมั่วไปทั่วเสียทีเดียว

 

ก็ยังอยู่แถวคอกม้าเหมือนเดิมนี่นา

 

แต่เดาไม่ออกเลยว่าที่นี่เป็นคอกม้าหมายเลขที่เท่าไหร่กันแน่

 

“อืม พวกเจ้ารู้มั้ยว่าที่นี่ที่ไหน”

 

ถามพวกม้าที่ยื่นหน้าออกมา แต่พวกมันก็ทำได้แค่กะพริบตาใสซื่อเท่านั้น ไม่มีทางตอบเธอกลับมาได้

 

“งั้นลองเดินไปฝั่งนั้นดูก่อนก็แล้วกัน”

 

เธอเริ่มเดินไปยังฝั่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นตอนแรกที่เธอเดินจากมาโดยไม่คิดอะไร

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ก็มีเด็กกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากคอกม้าใกล้ๆ พอดี ก่อนจะเอ่ยเรียกเธอไว้

 

“เจ้าตรงนั้นน่ะ”

 

เด็กประมาณห้าหกคน ดูแล้วน่าจะเป็นพวกลูกคุณชายมีเงิน พวกเขาอายุแตกต่างกันไป มีตั้งแต่วัยประมาณเธอจนโตประมาณสองแฝด

 

ในบรรดานั้นเด็กกลุ่มนั้น คนที่พูดกับเธอคือเด็กที่เดินนำอยู่หัวขบวน

 

อายุยังน้อย แต่กลับได้ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม แสดงว่าต้องเป็นเด็กที่มีฐานะทางบ้านสูงที่สุดสินะ

 

“เหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน เจ้าเป็นใคร”

 

อืม

 

เด็กเหมือนกัน พบหน้ากันครั้งแรกใช้คำพูดไม่มีหางเสียงถือเป็นเรื่องปกติ

 

แต่พูดห้วนเกินไปหน่อยหรือเปล่า

 

แถมไอ้ท่าทางเหมือนกำลังประเมินกันด้วยการกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้านี่ มันทำให้อารมณ์เสียชะมัด

 

“แล้วเจ้าเป็นใครล่ะ”

 

“ว่าไงนะ เหอะ…”

 

พอเห็นเธอไม่ยอมก้มหัวตอบแต่โดยดี เด็กผู้ชายคนนั้นก็แสยะยิ้ม เสยผมที่ปรกลงมาข้างหน้าขึ้น

 

“ไม่รู้ว่าข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ อย่างเจ้านี่ไม่ต้องได้ยินชื่อก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว”

 

ก็นะ ถือว่าเป็นข้อสมมติฐานที่สมเหตุสมผลทีเดียว

 

ปกติพวกเด็กตระกูลชั้นสูงจะเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก พวกเขาจึงมักจะรู้จักหน้าค่าตากันดี

 

เพียงแต่เธอเติบโตมาเป็นกรณีพิเศษ เพราะอยู่ภายใต้การดูแลของท่านพ่อที่มีนิสัยค่อนข้างเงียบขรึมเมื่อเทียบกับพวกชนชั้นสูงทั่วไป

 

“ข้าคาเซย์ อังเกนัส”

 

อังเกนัสอีกแล้ว

 

เธอรีบรื้อแผนผังโครงสร้างตระกูลอังเกนัสขึ้นมากางอ่านในหัวสมองอย่างรวดเร็ว

 

คาเซย์ อังเกนัส งั้นเด็กนี่ก็คือหลานชายของหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก

 

หมายความว่าไม่ใช่บุตรหลานสายตรงของเจ้าตระกูล แต่เป็นเพียงแค่สายรองงั้นสิ

 

แต่ขนาดเป็นแค่สายรองยังทำตัวกร่างไปทั่วแบบนั้น แสดงว่าช่วงนี้อำนาจของอังเกนัสเริ่มสูงขึ้นสินะ

 

ในตอนนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง เธอจึงหมุนตัวหันหลังกลับไปมอง

 

“อยู่นี่เองค่ะ!”

 

ลอรีลกำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเธอ