บทที่ 295 มีคนที่คบอยู่ไหม? / บทที่ 296 ทำไมถึงต้องเป็นเขา

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 295 มีคนที่คบอยู่ไหม? / บทที่ 296 ทำไมถึงต้องเป็นเขา โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 295 มีคนที่คบอยู่ไหม?

เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกไม่เปลี่ยนไป แต่บุคลิกลักษณะของคนคนหนึ่งกลับเปลี่ยนไปแล้ว

ลั่วเฉินเมื่อสามปีก่อนเหมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง สะอาดไร้มลทิน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและพรสวรรค์ บุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์นี้คือสายน้ำใสสะอาดในวงการบันเทิงที่เต็มไปด้วยความอยากได้อยากมี

แต่ในเวลาเดียวกัน ความสะอาดแบบนี้ทำให้ผู้คนอยากจะย่ำยีได้ง่าย

หน้าตาของลั่วเฉินในวันนี้ยังคงหล่อเหลาสมบูรณ์แบบ เหมือนกับทุ่งหิมะขาวผ่อง ทั้งๆ ที่รูปลักษณ์ยังคงเป็นหนุ่มน้อยแต่ดวงตากลับว่างเปล่าเหมือนคนแก่ ไร้ซึ่งประกาย

เดิมทีเยี่ยหวันหวั่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ตอนนั้นนักแสดงนำของ ‘มังกรผงาด’ ทุกคนล้วนโด่งดัง แม้แต่นักแสดงสมทบก็พลอยมีชื่อไปด้วย ทำไมมีแค่ลั่วเฉินที่ข่าวคราวเงียบหาย ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้ว

ลั่วเฉินในตอนนั้นเพิ่งจะอายุสิบแปด เพิ่งเข้ามหาลัย โอบกอดความฝัน ถ่ายละครเรื่องแรกในชีวิตสำเร็จ อีกทั้งยังดังมากด้วย ชีวิตของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ทนมาสิบแปดปี ในที่สุดก็ได้เริ่มทำอาชีพที่ตัวเองรัก ในที่สุดก็สามารถหาเงินให้แม่ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย…

แต่ทั้งหมดก็มาถูกโจวเหวินปินทำลายไปทั้งๆ แบบนี้…

เขาไร้กำลังไร้ความสามารถ คนน้อยน้ำหนักคำพูดเบา คำพูดของโจวเหวินปินประโยคเดียวก็สามารถบีบให้เขาถึงทางตันได้ เขาต้องมองนักแสดงรุ่นเดียวกันข้างกายรวมทั้งพวกที่เก่งไม่เท่าเขาคนแล้วคนเล่าโด่งดัง ทิ้งเขาไว้ข้างหลังอยู่ไกลๆ…

ต้องมองดูแม่ที่ชราป่วยออดๆ แอดๆ มากขึ้นทุกที ส่วนเขายังทำอะไรไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง มองไม่เห็นความหวังในอนาคตแม้แต่น้อย…

เพราะชาติที่แล้วลั่วเฉินไร้ตัวตนเกินไป เรื่องเดียวที่เยี่ยหวันหวั่นรู้เกี่ยวกับเขาคือ ‘มังกรผงาด’ ก็เลยไม่รู้ว่าจุดจบในชาติที่แล้วของลั่วเฉินเป็นอย่างไร คิดดูก็คงไม่ดีเท่าไรนัก การที่เขาไม่เคยดังแปลว่าเขาไม่เคยยอมโจวเหวินปิน…

บนโซฟา หุ่นของลั่วเฉินผอมบาง เส้นผมสีดำดูอ่อนนุ่ม ผิวซีดขาวเหมือนป่วยจนคล้ายกับว่าแค่สัมผัสก็อาจแตกสลายได้

เยี่ยหวันหวั่นมองดูเขาก้มศีรษะทำแผลให้ตัวเองโดยไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ดูเป็นเด็กดีว่าง่าย ในใจก็รู้สึกอ่อนยวบอย่างประหลาด

ช่วยไม่ได้ อายุหัวใจของเธออย่างไรก็เป็นหญิงอายุยี่สิบเจ็ดปี เห็นแกะน้อยที่บริสุทธิ์และอ่อนแอเช่นนี้ ก็อดไม่รักไม่เอ็นดูได้ยาก

ลั่วเฉินรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องตนเองอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังคนด้านหลังโต๊ะทำงาน ในดวงตาสุกใสนั้นมีความระแวดระวังอย่างชัดเจน

ถูกกดขี่ข่มเหงมาเต็มๆ สามปี เกือบจะลบความไร้เดียงสาและความบริสุทธิ์ของเขาไปหมดแล้ว เขาไม่อาจไว้ใจใครง่ายๆ ได้อีก แม้ว่าคนคนนี้จะเพิ่งช่วยเขาจากออกมาจากกำมือของโจวเหวินปินก็ตาม

ใครจะรู้ว่าเขาไม่ใช่โจวเหวินปินคนต่อไป?

คิดมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของลั่วเฉินพลันเครียดเขม็ง

เวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นก็รู้สึกตัวแล้ว เริ่มทำงานอย่างจริงจัง

เธอเปิดสมุดโน้ตปกหนังสีดำเล่มหนึ่งขึ้นมา จากนั้นเริ่มถามคำถาม “ในสามปีมานี้ นายรับงานละครกับโฆษณาอะไรบ้าง?”

ลั่วเฉินในหน้าหมองคล้ำ เอ่ยตอบด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ไม่มี…ไม่มีงานละคร แล้วก็โฆษณาด้วย”

คำตอบนี้ตรงกันกับสิ่งที่เธอเข้าใจ

เยี่ยหวันหวั่นถาม “งานส่วนตัวล่ะ?”

ลั่วเฉินส่ายศีรษะ “ไม่มีครับ บริษัทไม่อนุญาต”

เยี่ยหวันหวั่นถามต่อไป “มีแฟนหรือยัง? คบใครอยู่ไหม? รวมถึงที่ผ่านไปแล้วด้วย”

ลั่วเฉินตะลึงไปเล็กน้อย ร่างกายดูเครียดเขม็งขึ้นมาเพราะคำถามนี้ เขาเม้มปากตอบ “ไม่มี…ที่ผ่านมาก็ไม่มี…”

เยี่ยหวันหวั่นได้ยินดังนั้นก็แปลกใจเล็กน้อย เคาะปากกาในมือ แม้ว่าอายุขอลั่วเฉินจะยังไม่มาก แต่ยี่สิบเอ็ดปีก็นับว่าไม่เด็กแล้ว บวกกับหน้าตาของเขาที่อยู่ตรงหน้านี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่เคยมีความรักเลยสักครั้ง?

อย่าบริสุทธิ์ขนาดนี้จะได้ไหม…

……………………………………………………

บทที่ 296 ทำไมถึงต้องเป็นเขา

“คู่นอนล่ะ? กิ๊ก? คู่นอนวันไนต์สแตนด์?” เยี่ยหวันหวั่นถามต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ถ้าไม่มีเป็นดีที่สุด ถ้ามี เธอจำเป็นต้องจัดการอดีตดำมืดทุกอย่างของเขาก่อน

น่าจะเป็นเพราะเยี่ยหวันหวั่นถามตรงเกินไป แผ่นหลังของลั่วเฉินเกร็งและยิ่งเหยียดตรง “ไม่มี…”

สีหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยหวันหวั่นค่อยผ่อนคลายลง “ดีมาก”

พูดจบก็ถามเป็นการเป็นงานต่อ “ตอนนี้เวยป๋อของเธอใครดูแล อยู่ในมือตัวเองหรือเปล่า?”

“อยู่ที่พี่ปิน” ลั่วเฉินตอบ

ถึงว่าสามปีมานี้ความเคลื่อนไหวในเวยป๋อน้อยนิดจนน่าสงสาร…

เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้ว แล้วพูดต่อ “ได้ ฉันจะทำต่อ หลังกลับไปแล้วจะเอาบัญชีโซเชียลมีเดียของเธอทุกอันมาตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้ามีเนื้อหาอันไหนไม่เหมาะสมฉันจะลบ”

ลั่วเฉินยินยอมให้ฝ่ายตรงข้ามจัดการให้ทันใด “ครับ”

“ใช่แล้ว ที่บริษัทให้เงินเดือนขั้นต่ำเธอหรือเปล่า?” เยี่ยหวันหวั่นถาม

ลั่วเฉินสีหน้าขมขื่น “ไม่ได้ให้มาครึ่งปีแล้ว…”

“แล้วช่วงนี้เธอทำอะไร?” เยี่ยหวันหวั่นถาม

สีหน้าลั่วเฉินดูลำบากใจ “ผม…ทำงานพาร์ทไทม์…”

ไม่สามารถทำงานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงได้ และไม่อาจรับงานเองได้ ไม่อยากนั้นจะถูกบริษัทฟ้องร้อง จึงทำได้แค่งานพาร์ทไทม์

เยี่ยหวันหวั่นได้ยินแล้วสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย

ศิลปินที่เซ็นสัญญามีเงินเดือนขั้นต่ำให้ แต่โจวเหวินปินไม่จัดหาโฆษณาและไม่หางานให้ ทั้งยังกำสัญญาเขาไว้แน่นไม่ปล่อยเขาไป แม้แต่เงินเดือนขั้นต่ำยังจะหักอีก เห็นได้ชัดว่าบีบให้เขาหมดหนทาง

เงินเดือนขั้นต่ำที่ให้น้อยจนน่าสงสารนั้น ศิลปินคนอื่นถ่ายภาพกับนิตยสารไม่กี่ภาพก็ได้กลับมาแล้ว แต่สำหรับลั่วเฉินกลับได้รับรายได้ทางเดียวจากบริษัท

แค่คิดอย่างเดียวก็พอรู้แล้วว่าสามปีนี้เขาผ่านมายังไง เห็นได้ชัดว่าเขาทั้งมีพรสวรรค์และออร่า เดิมทีควรเติบโตอยู่ในแวดวงการแสดงมาก แต่ทุกวันกลับทำงานชั้นต่ำสุดซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับงานเลยเพื่อหาเงิน

ลั่วเฉินน่าจะคิดว่าทนต่ออีกสองปีแล้วไปเซ็นสัญญากับบริษัทอื่น แต่อย่าว่าแต่เวลาห้าปีที่ล้ำค่าที่สุดของเขาต้องเสียไปเลย ถึงแม้สัญญาเขาจะครบกำหนดแล้ว ด้วยวิธีของโจวเหวินปิน ต้องไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสโด่งดังแน่

ไม่มีใครอยากได้ศิลปินที่ตกยุคและมีปัญหา

ก่อนหน้านี้ในห้องทำงานของโจวเหวินปิน เหมือนเธอได้ยินว่าแม้แต่ค่ารักษาพยาบาลลั่วเฉินยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย…

เยี่ยหวันหวั่นคิดๆ จากนั้นพูดขึ้นมา “ฝั่งบริษัทติดจ่ายเงินเดือนเธอ ฉันจะให้คนจ่ายให้เธอก้อนเดียวเลย เธอเอาไปใช้จ่ายก่อน”

เยี่ยหวันหวั่นพูดพลางก็โทรหาฝ่ายบัญชี

ฉู่หงกวงเพิ่งระเบิดอารมณ์มา โจวเหวินปินไม่กล้าทำให้เธอลำบากด้วยเรื่องพวกนี้อีก เรื่องเล็กแบบนี้เธอสามารถตัดสินใจได้

เป็นอย่างที่คาดไว้ ฝ่ายบัญชีขอโทษไม่กี่คำ บอกว่าบริษัทต้องเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายไม่เลี้ยงคนว่างงานอะไรพวกนี้ แต่สุดท้ายก็ยอมจ่ายคืนให้เขา

“ได้แล้ว กลับไปเธอก็ไปรับเงินที่ฝ่ายบัญชีได้เลย”

ลั่วเฉินเห็นเยี่ยหวันหวั่นโทรศัพท์ช่วยให้เขาเอาเงินเดือนครึ่งปีนั้นกลับมาต่อหน้าเลย แววตาวูบไหว พูดเสียงแหบแห้งว่า “ขอบคุณครับ”

ถึงแม้รวมเงินเดือนขั้นต่ำแล้วจะได้มาแค่หนึ่งหมื่นกว่า แต่ก็ยังช่วยเขาแก้ปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนได้

แต่ว่า หลังจากนี้ล่ะ…เขาไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง…

ผู้ชายคนนี้…ต้องการช่วยเขาจริงๆ ใช่ไหม?

ทว่าทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย?

ทำไมโจวเหวินปินเอาหลินเฮ่ามาเปลี่ยนกับเขา เขาถึงไม่เห็นด้วย?

เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรค่าแก่การที่อีกฝ่ายเสียแรงไปมากขนาดนี้หรือเปล่า กระทั่งไม่สนใจจะเป็นศัตรูกับโจวเหวินปินด้วยซ้ำ

…………………………………………