บทที่ 293 เอากงซวี่มาเปลี่ยนสิ / บทที่ 294 มั่นใจหรือว่าจะอยู่กับเขา?

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 293 เอากงซวี่มาเปลี่ยนสิ / บทที่ 294 มั่นใจหรือว่าจะอยู่กับเขา? โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 293 เอากงซวี่มาเปลี่ยนสิ

คนหนึ่งคือหลินเฮ่าที่มีอนาคตเป็นดาวดวงใหม่ คนหนึ่งคือเขาที่ไม่มีผลงานมาสามปีเต็มๆ จนผู้คนลืมเลือนอยู่ที่มุมหนึ่ง…

ไม่ว่าเป็นใครก็ล้วนรู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร…

เขารู้อยู่แล้ว…รู้อยู่แล้ว…

โจวเหวินปิดพูดถูก…ทั้งโกลบอล…ใครจะกล้าเลือกเขา…ใครจะต้องการเขา…

ชีวิตนี้ของเขา…จบเห่ตั้งนานแล้ว…

โจวเหวินปินเห็นว่าอีกฝ่ายยอมตกลง จึงลอบเผยสีหน้าน่ารังเกียจ จิ๊ๆ แค่นักแสดงระดับสามก็ยอมตกลงแต่โดยดีแล้ว เจ้าเยี่ยไป๋ก็มีประสบการณ์แค่นี้เอง

โจวเหวินปินทำน้ำเสียงจองหอง พูดจาเหมือนทำทาน “ในเมื่อผู้จัดการเยี่ยไม่มีความเห็นอื่น ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน ฉันจะให้คนไปหยิบสัญญาของหลินเฮ่ามาแก้ไขให้!”

“เดี๋ยวก่อน!” เยี่ยหวันหวั่นกลับเอ่ยขัดคำพูดของโจวเหวินปิน

โจวเหวินปินขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ “มีอะไร? นายยังต้องการอะไรอีกเหรอ?”

เยี่ยหวันหวั่นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มปรายตามองไปทางโจวเหวินปิน นัยน์ตาสดใสฉายแววดูถูกและจริงจังอย่างจองหอง “เปลี่ยนคนได้อยู่แล้ว เพียงแต่หัวหน้าโจว เกรงว่าหลินเฮ่าคงจะมีคุณสมบัติไม่พอละมั้ง? ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยน…ก็เอากงซวี่มาเปลี่ยนสิครับ!”

ได้ยินคำนี้ โจวเหวินปินตะลึงอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สติว่าเขาพูดว่าอะไร สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ระเบิดอารมณ์ตรงนั้นเลย “เยี่ยไป๋! แกพูดจาอวดดีนักนะ! คิดจริงๆ เหรอว่าฉันไม่กล้าทำอะไรแก? ประธานฉู่คุณได้ยินแล้วใช่ไหม? ไอ้หนุ่มนี่ตั้งใจจะหาเรื่อง!”

กล้าเอานักแสดงระดับสิบแปดที่ไม่มีใครรู้จักชื่อ มาเทียบกับนักแสดงระดับหนึ่งที่ฮอตที่สุดในมือเขาได้ยังไง!

เหลวไหลที่สุด!

ไม่ต้องพูดถึงโจวเหวินปิน แม้แต่ตัวลั่วเฉินเองได้ยินคำพูดนี้ยังอึ้งไป นัยน์ตาสดใสโชติช่วงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ…

สีหน้าของเยี่ยหวันหวั่นกลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ผมหาเรื่องอย่างนั้นเหรอ? ใครกันแน่ที่กำลังหาเรื่อง? ประธานฉู่ คุณเป็นคนสั่งเองว่าให้ทุกคนที่กวงเย่าให้ความร่วมมือกับการทำงานของผม…”

พูดมาถึงตรงนี้ ความไม่สนใจในนัยน์ตาของเยี่ยหวันหวั่นหายไปทันที แววตาเยียบเย็นยิงไปทางโจวเหวินปินทันที พูดเสียงกร้าวว่า “แต่ว่าหัวหน้าโจว คุณล่ะ? หรือว่าคุณไม่ใช่คนของกวงเย่ามีเดีย ไม่ใช่ลูกน้องของประธานฉู่อย่างนั้นเหรอ? หรือว่าหัวหน้าโจวคิดว่ากวงเย่าเป็นแผ่นดินของคุณ คุณถึงคัดค้านการตัดสินใจของประธานฉู่ได้ แม้แต่คำสั่งของประธานฉู่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา เอาแต่คอยขัดคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า!”

เยี่ยหวันหวั่นไม่มีทางพูดเรื่องโจวเหวินปินใช้กำลังบีบบังคับลั่วเฉินอยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์

คนหนึ่งคือผู้จัดการมือทอง คนหนึ่งคือนักแสดงตกกระป๋องไร้ค่า ฉู่หงกวงจะเลือกยืนข้างไหนชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ในวงการบันเทิงเป็นเรื่องธรรมดามาก ดีไม่ดีอาจจะถูกโจวเหวินปินโต้กลับบอกว่าลั่วเฉินเป็นคนให้ท่าเขาก่อนเสียอีก

ถ้าอย่างนั้น คนอย่างฉู่หงกวงใส่ใจอะไรที่สุด?

มีแค่อำนาจและตำแหน่งของเขาเท่านั้น

ท่าทางของโจวเหวินปินตอนนี้ก็เหมือนเจ้าเมืองที่ห่างไกลเมืองหลวง นั่งครองที่ดินศักดินา เหิมเกริมอำนาจทหาร

ส่วนในวงการบันเทิง สิ่งที่เป็นของต้องห้ามที่สุดคือผู้จัดการคนหนึ่งถือดี มีบริษัทในวงการมากมายเท่าไรที่ล่มจมในเวลาเพียงข้ามคืนเพราะผู้จัดการลาออก แล้วพานักแสดงในสังกัดออกไปด้วย…

ได้ยินเสียงเค้นของฝ่ายตรงข้าม นัยน์ตาโจวเหวินปินเผยความร้อนรน ตวาดอย่างมาดร้าย “เยี่ยไป๋! แกอย่ามายุแยงให้คนที่นี่เขาแตกคอกัน! ฉันเคยพูดอะไรแบบนั้นเมื่อไหร่?”

ต้องรู้ว่าเรื่องต้องห้ามที่สุดของฉู่หงกวงก็คือมีคนท้าทายอำนาจของเขาและอยู่เหนือการควบคุม

เป็นอย่างที่คิดไว้ สีหน้าของฉู่หงกวงในวิดีโอคอลเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

………………………………………

บทที่ 294 มั่นใจหรือว่าจะอยู่กับเขา?

แม้ว่าฉู่หงกวงจะรู้ดีว่าเยี่ยไป๋กำลังจงใจยุให้แตกคอกัน แต่คำพูดของเยี่ยไป๋เขาก็ยังคงฟังเข้าหูไปแล้ว

ช่วงนี้โจวเหวินปินเหิมเกริมมากเกินไปหน่อยจริงๆ ไม่เห็นประธานอย่างเขาคนนี้อยู่ในสายตาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาถึงขั้นได้ยินว่าโจวเหวินปินแอบติดต่อกับคนของเยี่ยกรุ๊ปเป็นการส่วนตัวอีกด้วย…

คิดถึงตรงนี้ สุดท้ายฉู่หวงกวงก็เอ่ยขึ้นว่า “เหวินปิน นายทำขั้นตอนโอนย้ายงานกับโอนสัญญาให้เรียบร้อย เรื่องนี้ฉันตัดสินใจแล้ว”

“แต่ว่า ประธานฉู่…”

สีหน้าของฉู่หงกวงมืดคล้ำลงทันที “ทำไม? ตอนนี้แม้แต่นักแสดงฉันก็ย้ายไม่ได้แล้วอย่างนั้นเหรอ? ถ้านายไม่ยอม ก็ยกกงซวี่ให้เขาไปซะ!”

ถึงขั้นพูดแบบนี้ออกมา เห็นได้ว่าฉู่หงกวงโมโหจริงๆ เข้าแล้ว

“จะเป็นไปได้อย่างไรครับ…ประธานฉู่ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น…ผม…ผมจะจัดการเดี๋ยวนี้…” เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการยั่วโมโหฉู่หงกวงอีก โจวเหวินปินทำได้แค่ยอมถอย

ฉู่หงกวงแค่นเสียงเฮอะครั้งหนึ่ง แล้วตัดสายวิดีโอคอลไป

ดูท่าส่งเยี่ยไป๋ไปทางนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ให้โจวเหวินปินมีอำนาจที่กวงเย่าอยู่คนเดียวต่อไปไม่ใช่สัญญาณที่ดี หากโจวเหวินปินเกิดปันใจ ทั้งกวงเย่าคงแทบถูกล้วงเป็นโพรง

แต่ว่าเยี่ยไป๋คนนี้ยังอายุน้อยเลือดร้อนเกินไป วู่วามไร้สติ ดันทุรังจะเอานักแสดงที่ชื่อลั่วเฉินคนนั้นให้ได้เพื่อเอาชนะ มาเทียบกับโจวเหวินปินแล้วดูไม่ได้จริงๆ จะต่อกรกับโจวเหวินปินได้จริงเหรอ?

หลังจากวิดีโอคอลจบลง โจวเหวินปินโทรให้ผู้ช่วยและทนายมาจัดการเรื่องที่เกี่ยวกับการโอนย้ายนักแสดงอย่างกราดเกรี้ยว

ตอนเซ็นชื่อ สายตาที่จ้องเยี่ยหวันหวั่นนั้นแทบจะฉีกเป็นชิ้นๆ กินทั้งเป็น

สมควรตาย เป็ดที่จะเข้าปากอยู่แล้วกลับบินหนีไปทั้งอย่างนี้!

หลังจากจัดการโอนย้ายลั่วเฉินมาอยู่ในสังกัดเธอเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหวันหวั่นหยิบสัญญาโบกไปมา ริมฝีปากยกยิ้มแล้วยืนขึ้น “หัวหน้าโจว ขอบคุณมากครับ!”

เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนกระทั่งเซ็นชื่อตัวเองลงบนสัญญาผู้จัดการใหม่ ลั่วเฉินยังคงไม่ได้สติกลับมา เห็นเยี่ยไป๋หันตัวเดินออกไปแล้วถึงรู้ตัว รีบตามไปทันที

เพิ่งจะขยับเท้า เสียงข่มขู่ของโจวเหวินปินก็ลอยมาจากทางด้านหลัง “ลั่วเฉิน นายคิดให้ดีนะ! อยากจะติดตามผู้จัดการไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไร้ซึ่งเส้นสายคนนี้ไปจริงเหรอ?”

ลั่วเฉินชะงักฝีเท้า แต่เพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น ก็เดินตามทิศทางที่เยี่ยไป๋จากไป…

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น เสียงโจวเหวินปินทำลายข้าวของในห้องทำงานลอยออกมา

ในบริษัทมีเด็กที่มีคุณสมบัติและมีไหวพริบถมเถไป เขาอยากจะเล่นแบบไหนมีหรือจะไม่มี?

ลั่วเฉินคนนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว ไม่เหมือนตอนนั้นอีก ก็แค่เพราะเขาไม่ได้มาเลยคิดอยากจะเอามาให้ได้ ใครจะรู้ว่าไอ้หมอนี่กลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว!

ดี! ดีมาก! เขาอยากจะดูนักว่าติดตามเยี่ยไป๋และจะมีจุดจบที่ดีได้เหรอ!

สำนักงานชั้นสอง

ในเมื่อเป็นคนที่ฉู่หงกวงส่งมาด้วยตัวเอง เรื่องการให้เกียรติโดยผิวเผินก็ยังต้องทำให้เหมาะสม แม้ว่าห้องทำงานของเยี่ยหวันหวั่นไม่ได้กว้างขวางหรือหรูหราเหมือนของโจวเหวินปิน ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่เลว โอ่อ่าเรียบง่าย แสงไฟเพียงพอ

“จัดการตัวเองสักหน่อยเถอะ” เยี่ยหวันหวั่นหากล่องพยาบาลออกมาจากลิ้นชักสักอัน

ลั่วเฉินก้มศีรษะ ล้างแผลให้ตัวเองโดยไม่ร้องสักแอะ จากนั้นทำแผลอย่างง่ายๆ

เยี่ยหวันหวั่นดึงเก้าอี้ออกมา นั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าเงียบๆ

จะเรียกว่าผู้ชาย เธอกลับรู้สึกว่าเรียกว่าหนุ่มน้อยจะใกล้เคียงกว่า

เพราะว่าลั่วเฉินในเวลานี้กับหนุ่มน้อยในรูปเมื่อสามปีก่อนที่เธอเห็นคนนั้นแทบจะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

……………………………………….