บทที่ 181: พิธีศพ (1)

ฉินเย่ยืนอยู่ในจุดที่มีคนอยู่น้อยที่สุดหน้าประตูทางเข้าสำนัก สายลมยามเช้าพัดเบา ๆ จนผมด้านหน้าของเขายุ่งเหยิง เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง

นี่คือความสงบก่อนที่พายุจะเข้า เขาเริ่มรู้สึกถึงกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากใต้ผิวน้ำแล้ว แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าทุกฝ่ายต่างกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะรักษาความสงบของสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้

“ทำไมเราถึงรู้สึกอึดอัดขนาดนี้? พวกเขาจะกล้ามาก่อเรื่องอะไรในหอบรรพบุรุษกัน?”

ฉินเย่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมกระโจนเข้าไปในการต่อสู้อย่างไม่สนชีวิตโดยที่รู้ว่าอาณาเขตเวทของตนถูกทำลายจนหมดแล้ว ด้วยความคิดนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดหากยมทูตพวกนั้นจะทดสอบสถานการณ์โดยรอบและจากไปทันทีที่ตระหนักว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

จากสัญชาตญาณของเขา

สายตาหลายคู่ที่มองไม่เห็นทำให้เขาขนลุกไปทั้งตัว ซ้ำร้ายเขายังสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความบ้าคลั่งที่เล็ดลอดออกมาจากสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสำนักอีกด้วย

“ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเจ้าไม่เข้าใจยมทูตพวกนี้เลยสักนิด” อาร์ทิสที่แปลงเป็นนกกระเรียนกระดาษบินมาเกาะไหล่ของเด็กหนุ่มเงียบ ๆ ขณะที่กระซิบเสียงเบาว่า “คนอย่างเจ้าไม่มีทางเข้าใจความคิดของพวกมันหรอก…เจ้าไม่มีทางเข้าใจความปรารถนาอันแรงกล้าและสำนึกต่อหน้าที่ของยมทูตที่ใช้ชีวิตอยู่ในยมโลกมาหลายร้อยปี”

“พวกมันไม่ยอมถอยแน่ พวกมันมีแต่ทุ่มสุดกำลังเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เจ้าจะไม่มีทางเข้าใจได้ในอนาคตอันใกล้ ระวังตัวให้ดี คืนนี้…ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เจ้าคิด”

ฉินเย่มองขึ้นไปบนฟ้าที่ดำมืด “ทำไม?”

เงียบ

หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ อาร์ทิสก็เอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนลง “หากข้าจำเป็นจะต้องตอบ ข้าก็คงตอบว่าเพราะ ‘เกียรติและศักดิ์ศรี’”

“พวกเขาจะยอมตายเพื่อศักดิ์ศรีจริง ๆ น่ะหรือ?”

“อาจจะ…” นกกระเรียนกระดาษก้มหน้าลง “มันอาจจะดูโง่ แต่น่าเสียดาย เพราะข้าเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน”

ในขณะนั้นเอง เสียงคำสั่งก็ดังขึ้น “ทำความเคารพ!” คนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นหมดรีบยกกำปั้นขวาของตนทาบบนอกและนิ่งเงียบ

ฟึ่บ…เงินกระดาษสีขาวหิมะกระจัดกระจายไปทั่ว และในที่สุดฉินเย่ก็ได้เห็น รถยนต์สามคันขับนำขบวนมาพร้อมกับดอกไม้สีขาวที่ผูกติดอยู่เหนือโลโก้รถและผ้าสีขาวผูกไว้บริเวณที่จับประตู

ขบวนรถที่รับมานั้นยาวมาก มีรถอีกหลายคันที่ขับตามหลังมา ก่อนที่รถ SUV ที่สะดุดตาจะปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางของขบวน

มันใหญ่มาก และความยาวตั้งแต่หน้ารถไปถึงหลังรถน่าจะประมาณสามเมตรครึ่ง บนหลังคาของรถมีรูปเคารพกู่ชิงตั้งอยู่ ล้อมรอบด้วยดอกเบญจมาศสีทองและขาว นอกจากนี้ยังมีพวงหรีดจำนวนมากที่ถูกส่งมาจากบุคคลสำคัญแขวนอยู่ที่ด้านข้างของรถอีกด้วย ป้ายสีขาวที่มีชื่อของผู้ส่งพัดปลิวไปตามสายลม

ทว่าสิ่งที่ทำให้รูม่านตาของฉินเย่หดลงก็คือเขาเห็นว่ามีโซ่ขนาดใหญ่ห้าเส้นจาง ๆ มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางมองเห็น ทะลุผ่านเข้าไปในประตูรถ โซ่แต่ละเส้นถูกสลักด้วยอักขระที่ไม่สามารถเข้าใจได้ มีทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาอาร์โกส และอื่น ๆ นอกจากนี้ โซ่พวกนี้โยงมาจากหอพักทั้งห้าภายในสำนักฝึกตนแห่งแรกอีกด้วย!

“พวกเราควรดึงวิญญาณของกู่ชิงไปที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณเลยดีหรือไม่?” ฉินเย่กระซิบกลับ ‘จะเกิดอะไรขึ้นหากโจวเซียนหลงตรวจพบการมีอยู่ของพวกเขาตอนนี้?“

“ช้าก่อน” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเย็น “หากเราลงมือตอนนี้ มันมีโอกาสที่พวกมันบางตนจะหนีไปได้ ซึ่งเราจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เจ้าอาจจะเห็นว่าศัตรูมีเพียงห้ากลุ่มเท่านั้น แต่เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าจะมียมทูตมาที่นี่อีกจำนวนเท่าไหร่ หากเราจะฆ่าพวกมัน…เราก็ห้ามปล่อยพวกมันตนใดรอดชีวิตไปได้เป็นอันขาด”

เคร้ง เคร้ง….เสียงโซ่สั่นไปตามแรงลมเบา ๆ น่าเสียดายที่ฉินเย่เป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินเสียงนั้นดังเป็นพื้นหลังประกอบการมาถึงของโลงศพท่ามกลางเงินกระดาษที่ปลิวว่อน เด็กหนุ่มจับจ้องสายตาไปยังรถคันหลังขณะที่มันขับตรงไปที่หอบรรพบุรุษก่อนจะเดินจากมาและกลับไปที่ห้องพักของตน

หอพักอาคารในเวลานี้เงียบอย่างไม่น่าเชื่อ

เงียบราวกับอยู่ในโลงศพ

อาจารย์ผู้สอนและนักเรียนทั้งหมดต่างไปเข้าร่วมการพิธีศพซึ่งจะถูกถ่ายทอดตลอดทั้งวันทางสถานีโทรทัศน์ที่เพิ่งเปิดใหม่ของเมืองเป่าอัน อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้เปิดโทรทัศน์ดูบรรยากาศทั้งหมดแต่อย่างใด เขาเพียงกลับไปที่เตียงเพื่อนอนพัก และตื่นขึ้นมาอีกทีในเวลาบ่ายสามโมง

ครื้น…ตอนนี้บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆดำ ซ้ำร้ายยังมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นให้ได้ยินเป็นพัก ๆ อีกด้วย ดวงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบจนไม่ต่างอะไรกับก้นหม้อ

เขาเปลี่ยนเป็นชุดลายพราง ผูกเชือกรองเท้าจนแน่น จากนั้นจึงทานอาหารแล้วถึงเดินมานั่งที่ห้องโทรทัศน์และเปิดดูการถ่ายทอดสด

“…ตอนนี้เป็นเวลา 03.04 น. ดิฉันจางเซียง ผู้ประกาศข่าวจากช่องพิเศษของเมืองเป่าอันค่ะ ตอนนี้นายเยดิการ์ เลขานุการคนแรกของท่านผู้พิพากษาอาวุโสกำลังเดินเข้าไปในโถงทำพิธีค่ะ นายเยดิการ์เดินทางมาจากมาโคเมีย เมืองคาโบเดลกาโด ประเทศโมซัมบิก ทวีปแอฟริกาเพื่อกล่าวแสดงความเสียใจในนามของท่านผู้พิพากษาอาวุโสโรเวลล์….”

กลุ่มชาวต่างชาติในชุดคลุมยาวเดินเข้าไปในหอบรรพบุรุษ ฉินเย่ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายนัก กลับกัน เขาเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นเมื่อมุมกล้องเริ่มถ่ายบรรยากาศรอบห้องโถง

มันคือมุมมองทั้งหมดของโถงไว้อาลัย

และมันก็ใหญ่มาก

หอบรรพบุรุษไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่มันคือลานขนาดใหญ่ด้านนอกซึ่งเป็นที่ตั้งของโถงไว้อาลัยชั่วคราว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หอบรรพบุรุษนั้นดูโอ่อ่าไว้ทันที ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของฉินเย่ก็คืออาคารพวกนี้ได้รับการปรับปรุงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เขาทำการลาดตระเวนในตอนกลางคืน สนามหญ้าด้านนอกยังไม่มีอะไรมาตั้งอยู่เลยสักนิด

พวงหรีดที่มีโคลงสีดำขาวถูกแขวนไปทั่ว หัวหน้าหน่วยงานระดับต่าง ๆ ยืนรวมกันอยู่ด้านนอก ในขณะที่สมาชิกครอบครัวหรือญาติของผู้ตายนั่งอยู่ด้านใน คุกเข่านั่งบนเสื้อต่อหน้ารูปภาพของกู่ชิง โลงศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องพร้อมกับประดับด้วยดอกไม้ที่สดใหม่ มันเป็นโลงศพสีน้ำตาลแดงที่ได้รับการออกแบบมาอย่างประณีต เผยให้เห็นรูปสลักที่เป็นรูปของกลุ่มดาวหมีใหญ่

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือโซ่ยาวห้าเส้นที่มนุษย์มองไม่เห็น และตอนนี้โซ่ทั้งห้าก็ตรงมาจากที่ด้านนอกทางเข้าของโถงไว้อาลัยอีกด้วย!

ทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว…

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ มันเป็นอย่างที่อาร์ทิสบอก ทั้งห้ากลุ่มต่างมีความกล้าพอที่จะปรากฏตัวขึ้นที่โถงไว้อาลัยพร้อมกันจริง ๆ ด้วย!

พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มนักเรียนด้านนอก พวกเขามาที่นี่ แม้ว่าจะมีผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกและขั้นยมทูตขาวดำอยู่ก็ตาม!

และมันเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังรอเวลา

รอเวลาเที่ยงคืน เวลาที่พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยความสามารถของตนเองได้ถึงขีดสุด

ฉินเย่กวาดตามองไปรอบ ๆ เพียงเพื่อที่จะพบว่าโจวเซียนหลงไม่ได้อยู่แถวโถงไว้อาลัย แต่เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องอยู่ใกล้ ๆ นี้แน่ เพราะอย่างไรแล้ว ช่วงนี้ทางสำนักก็กำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แปลกประหลาดติดต่อกัน และมันก็จะเป็นการเสียหน้าอย่างมากหากเขายังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์อะไรได้ในวันนี้

คนที่อยู่ที่โถงไว้อาลัยตอนนี้มีศาสตราจารย์เถาหรานจากสาขาการต่อสู้และรองศาสตราจารย์ผู้หญิงที่ฉินเย่ไม่คุ้นหน้า ศาสตราจารย์เฉินจื้อลี่จากสาขาทฤษฎีและรองศาสตราจารย์อีกสองท่าน ศาสตราจารย์โหลวชวนจากสาขาช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพและรองศาสตราจารย์อีกสองท่าน…รวมถึงศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ทั้งหมดของสาขาอื่น ๆ ทั้งหมดคือผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำ! การปรากฏตัวของคนกลุ่มนี้อาจจะดูบังเอิญ​แต่ความจริงของเรื่องนี้คือพวกเขาได้ยืนประจำที่ของตนรอบ ๆ โถงไว้อาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้านนอกของโถงไว้อาลัย อาจารย์ผู้สอนจำนวนมากอยู่ที่ด้านหน้า ใกล้กับทางเข้าของโถงไว้อาลัย ในขณะที่นักเรียนคนอื่นๆยืนอยู่ด้านหลัง คนทั้งหมดติดดอกไม้ขาวอยู่ที่เสื้อขณะที่ไว้อาลัยให้กับการจากไปของกู่ชิงอย่างเงียบ ๆ

ฉินเย่นั่งนิ่งอยู่หน้าโทรทัศน์ราวกับรูปปั้น วิเคราะห์รายละเอียดทั้งหมดที่กล้องจับได้ เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ 16.00 น. … 17.00 น. … 19.00 น. … 22.00 น. …

23.00 น.!

23.20 น.… 23.40 น.… 23.50 น.…

จังหวะการหายใจของเขาถี่รัว ขณะที่เลื่อนมือไปที่เอวของตัวเองก่อนจะกลับไปนั่งท่าเดิมอีกครั้ง มันกำลังจะเริ่ม…ฟิวส์สว่างขึ้นแล้ว และทุกอย่างก็กำลังจะระเบิดในไม่ช้า……มีชั่วครู่หนึ่งที่เขากลับคิดขึ้นมาว่าหรือว่าเขาจะถูกอาร์ทิสล้างสมองไปแล้ว?

ถ้าเป็นตัวเขาคนก่อนคงจะหนีไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?

แต่ทำไมตอนนี้…เราถึงรู้สึกเหมือนกำลังคาดหวังบางอย่าง?

23.51 น.… 23.52 น.… ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า เคร้ง เคร้ง….เสียงโซ่สั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อถึงเวลา 23.55 น. อักขระโบราณที่ถูกสลักไว้บนโซ่แต่ละเส้นเริ่มเปล่งแสงสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ และดวงวิญญาณของกู่ชิงก็เริ่มเกิดการผันผวน ราวกับว่าเขากำลังจะถูกลากออกมาจากร่างในอีกไม่ช้านี้!

จากนั้นเสียงกระแทกก็ดังขึ้นเบา ๆ จากในโลง บางทียมทูตบางตนอาจจะร้อนใจจนเผลอกระตุกโซ่แรงจนเกิดไปก็เป็นได้ ทั่วทั้งโถงไว้อาลัยตกอยู่ในความเงียบทันที

ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำความเคารพผู้ตายอีกต่อไป

ศาสตราจารย์ทั้งหมดหันไปมองทางโลงศพทันที พวกเขาแน่ใจว่าเสียงที่ตนได้ยินเมื่อครู่นั้นมาจากด้านในของโลงศพอย่างแน่นอน!

พรึ่บ! เสื้อสูทของศาสตราจารย์โหลวชวนจากสาขาช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพกระพืออย่างรุนแรงและเส้นไหมที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ยื่นออกมาจากแขนเสื้อของเขา พุ่งลงไปที่พื้น สายตาที่มองไปยังโลงศพของเขาเย็นยะเยือกขณะที่กระซิบกับรองศาสตราจารย์ที่ยืนอยู่ข้างตน “จับตาดู”

“ครับ!” ทว่าทันทีที่รองศาสตราจารย์ตอบ เสียงที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เปรี้ยง! ซ่าาาาาาา…..แทบจะในเวลาเดียวกัน สายฝนก็เทลงมาจากท้องฟ้าที่ดำมืดก่อนหน้านี้ กระทบลงกับพื้นราวกับกลองสงคราม สายฟ้าผ่าลงมาราวกับมังกรพุ่งตรงลงมายังพื้นดิน

เคร้ง เคร้ง….เสียงแปลกประหลาดของโซ่ดังรุนแรงยิ่งขึ้น และสายตาของศาสตราจารย์ทั้งหมดที่อยู่โดยรอบก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เถาหรานเอื้อมมือทั้งสองข้างเข้าไปในเสื้อ พลังปราณของเขาเริ่มก่อตัวอยู่รอบ ๆ มือที่เหี่ยวย่น และอักขระโบราณก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ

“ทุกคนอย่าขยับ!!” ศาสตราจารย์ทั้งห้าตะโกนออกมาแทบจะทันที ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นว่าสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ แต่ประสบการณ์ในการรับมือกับวิญญาณมาหลายสิบปีของพวกเขาก็บอกพวกเขาว่ามีบางอย่างอยู่ที่นี่!

“อาจารย์ผู้สอนทุกคนดูแลนักเรียนของตน! ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโถงไว้อาลัยทั้งนั้น!”

“ใครก็ตามที่กล้าละจากตำแหน่งของตัวเอง ไม่ว่าจะอาจารย์หรือนักเรียน จะต้องถูกไล่ออกทันที!”

“อาจารย์โย่ว ไปรายงานให้ผู้อำนวยการทราบ! และนำอุปกรณ์วัดค่าพลังหยินมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

“นี่มัน…” หนึ่งในเลขานุการจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึงขณะที่ศาสตราจารย์เฉินจื้อลี่จากสาขาทฤษฎีเอ่ยสั่ง “รองศาสตราจารย์หม่า อพยพผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องและเคลียร์ที่เกิดเหตุซะ!!”

ใครกันที่มันกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าต่อตาตุลาการนรกและยมทูตขาวดำจำนวนมาก?!

ฉินเย่นั่งอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ กัดริมฝีปากของตัวเองขณะที่กำมือแน่น

มีเพียงเขาเท่านั้นที่เห็นว่าโซ่ทั้งห้าเส้นนั้นรัดตึงดวงวิญญาณภายในนั้นแค่ไหนและอักขระโบราณที่ถูกสลักไว้ก็เปล่งแสงสว่างราวกับดวงดาว!

กล้ามาก!

ทันใดนั้นเอง คลื่นความโกรธที่หายไปนานก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที ที่นี่คืออาณาเขตของเขา ยมโลกของเขา! แล้วเขาจะทนยืนอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้ยมทูตพวกนี้เดินเข้าออกได้อย่างอิสระอย่างนั้นหรือ?!

เขาเป็นอะไร?

รูปปั้นดินเผาหรือ?!

โง่เง่ายิ่งนัก! พวกเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าตนเองจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ?!

23.58 น.

กึก กึก กึก…นักเรียนคนหนึ่งหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นข้างตัวและถามอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้น? จะให้ฉันไปเรียกอาจารย์หรือเปล่า?”

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับไม่มีใครละจากตำแหน่งของตัวเอง พวกเขาทั้งหมดเปียกโชกไปทั่วทั้งร่าง

“ไม่จำเป็น…” นักเรียนคนที่อยู่ข้างๆดูเหมือนจะถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย แต่ใบหน้าเยาว์วัยกลับปรากฏรอยยิ้มน่ากลัวท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ “ฉันแค่…ตื่นเต้นเท่านั้น…”

เต้ง…

ทันใดนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังขึ้น

เสียงระฆัง 12 ครั้งดังก้องไปทั่วทั้งวิทยาเขตของสำนัก

เต้ง เต้ง เต้ง… เต้ง เต้ง เต้ง!

และมันก็น่าจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่เงาดำนับสิบเงาพุ่งออกมาจากร่างของเหล่านักเรียนและตรงไปที่โถงไว้อาลัยด้วยความเร็วเต็มกำลัง ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเร็วจนเหล่าอาจารย์ไม่ทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ

“นี่มัน…ขั้นนักล่าวิญญาณ?!” หลินฮั่นตกตะลึง แต่เขาก็ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตะโกนสุดเสียงว่า “คุ้มกันโถงไว้อาลัย!”

“ไป!!” เงาดำสุดท้ายที่พุ่งออกมาจากร่างของนักเรียนหัวเราะเสียงดังอย่างน่ากลัว ซึ่งดูไม่เหมาะกับรูปลักษณ์เด็กวัยรุ่นเลยสักนิด จากนั้นเขาก็กางแขนออก “なのか、前らの地府がをかばう力はない!/ หากต้องการจะโทษ ก็จงโทษความจริงที่ว่ายมโลกของพวกเจ้าไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องวิญญาณของตัวเองอีกต่อไปเสียเถอะ!”

“で人を持って、然として退避する!!”“negatiivinen ero ottaa pois, sir!”“γiν δiaφop φλe, πσw πσw!!”

ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!

ทันใดนั้นเอง คลื่นพลังหยินจำนวนมากก็พุ่งตรงไปที่โลงศพ!

ที่ด้านบนของอาคาร โจวเซียนหลงลุกยืนขึ้นอย่างกะทันหันขณะที่ระเบิดความโกรธเกรี้ยวของตนออกมา “มันจะหยามหน้ากันเกินไปแล้ว!!!”