ไม่นาน ก็เห็นม่อซิวเหยาเดินเรื่อยๆ เข้ามา ก่อนหยุดยืนที่ด้านนอกศาลาพร้อมกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ด้านใน เขายิ้มน้อยๆ พร้อมกล่าวว่า “รบกวนฮองเฮาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           ฮองเฮาแย้มยิ้ม ”นี่ติ้งอ๋องมาเพื่อรับตัวพระชายากลับแล้วหรือ”

 

 

           ม่อซิวเหยาพยักหน้าน้อยๆ อมยิ้มพร้อมเหลือบมองเยี่ยหลี “กระหม่อมกับอาลียังมีธุระต้องขอตัวกลับตำหนัก จึงจำต้องมารบกวนเวลาสำราญของฮองเฮา ขอฮองเฮาได้โปรดอภัยด้วย”

 

 

           ฮองเฮาโบกมือพร้อมยิ้ม “เอาเถิด ติ้งอ๋องกับพระชายาเพิ่งได้พบหน้าหลังจากต้องแยกจากกันมานาน ไม่แปลกที่จะคิดถึงกันเช่นนี้ วันนี้ข้าเพียงแค่อยากเห็นว่าชายาติ้งอ๋องที่ไม่ได้พบเสียนานยังสบายดีอยู่หรือไม่เท่านั้น ยามนี้เมื่อได้เจอตัวแล้ว ก็เชิญติ้งอ๋องพาพระชายากลับไปเถิด”

 

 

           ม่อซิวเหยาเอ่ยขอบพระทัยเบาๆ ยื่นมือมาให้เยี่ยหลีจับ ก่อนหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้องค์หญิงเจาหยาง แล้วจึงได้เอ่ยขอตัวกลับ

 

 

           ทั้งสองคนจับมือกันเดินเรื่อยๆ อยู่ภายในอุทยาน บรรดาคุณหญิงที่ชื่นชมดอกไม้อยู่ในอุทยานต่างล่าถอยกันไปอย่างรู้งาน ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว แต่ใบหน้าข้างหนึ่งที่มีหน้ากากสวมปิดอยู่ ก็ยังคงทำให้คนจำนวนไม่น้อยนึกกลัว เพราะถึงอย่างไรก็เคยมีข่าวลือว่า ใบหน้าด้านที่เสียโฉมนี้เคยทำให้คู่หมั้นของเขาคนหนึ่งตกใจตายมาแล้ว อีกทั้งยามนี้สถานการณ์ภายในราชสำนักไม่ค่อยดีนัก ต่อให้มีคนที่ชื่นชมในความสามารถของติ้งอ๋อง ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาสนทนาพูดคุยกับเขาในอุทยานนี้

 

 

           เมื่อได้ออกมาจากวังหลวงก่อนเวลา ทำให้เยี่ยหลีอารมณ์ดีไม่น้อย ภายในอุทยานมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ลอยมาให้ได้กลิ่น เยี่ยหลีเดินอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างกายม่อซิวเหยา ดื่มด่ำกับความสงบภายใต้แสงอาทิตย์ แต่ก็ยังไม่ลืมเป็นห่วงสภาพจิตใจของม่อซิวเหยา “เป็นอันใดหรือ ฝ่าบาทมีรับสั่งอันใด ดูท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย”

 

 

ม่อซิวเหยาเอียงหน้ามามองเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยถามว่า “เมื่อครู่ในน้ำชานั้นคืออันใดหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีหันมองเขาด้วยความตกใจ เขารู้เรื่องที่พบในศาลารับลมเมื่อครู่ได้รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

           “น่าจะมีเช่อเซียงหรือหงฮวาอยู่กระมัง ชิงอวี้เอาไปตรวจดูแล้ว กลับไปก็น่าจะรู้ว่าคืออันใด” เมื่อเห็นเขาสีหน้าไม่ดีนัก เยี่ยหลีจึงได้บอกทุกอย่างที่ตนเองรู้แก่เขา นางนึกสงสัยเช่นเดียวกันว่ามีผู้ใดใส่อันใดลงไปในถ้วยชาของนาง สิ่งเหล่านั้นย่อมมีผลต่อร่างกายของนาง แต่ด้วยนางในตอนนี้ ผลของมันคงมีจำกัด นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า คนเหล่านั้นยอมเสี่ยงใส่ของพวกนั้นลงในชาของนางจะมีประโยชน์อันใด ใส่ยาระบายยังน่าจะมีประโยชน์กว่าใส่ของพวกนั้นด้วยซ้ำ

 

 

           ม่อซิวเหยาหยุดฝีเท้าลง ก่อนหันมาพูดกับเยี่ยหลีว่า “อาหลีไม่รู้หรือว่ายาพวกนั้นส่งผลเช่นไร”

 

 

           “กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต…ระงับอาการปวด…”

 

 

           “อาหลี กลับตำหนักไปนี่เจ้าไปเรียนเรื่องตัวยากับท่านเสิ่นสักเดือนหนึ่งนะ” ม่อซิวเหยาพูดขึ้น หลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่

 

 

           ตัวยาหรือ มุมปากเยี่ยหลีกระตุกเล็กน้อย เอาเถิด ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่ายาทั้งสองประเภทนี้ ว่ากันว่ายังมีอีกสรรพคุณหนึ่ง เพียงแต่…เรื่องที่ว่ากันว่านี้ก็ยังเชื่อถือไม่ได้มิใช่หรือ อีกอย่าง…นั้นไม่มีผลต่อพวกเขาสักหน่อย

 

 

           ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะนึกโกรธ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเยี่ยหลี จูงนางให้เดินออกจากอุทยานไป ม่อซิวเหยามิได้เอ่ยอันใดกับนางอีก เพียงเดินต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย นางไม่เคยเห็นม่อซิวเหยาโกรธมาก่อน ที่ถูกคือนางไม่เคยเห็นม่อซิวเหยาโกรธตนมาก่อน นางกระตุกมือที่ม่อซิวเหยาจับอยู่เบาๆ “ซิวเหยา…” ม่อซิวเหยาหันมามองนาง แต่ยังคงไม่ยอมพูดอันใด เยี่ยหลีจึงได้แต่ถอนใจ เอาเถิด นางผิดเอง นางไม่ควรแสดงท่าทีไม่ใส่ใจเช่นนี้

 

 

           “ท่านโกรธจริงๆ หรือ มิใช่ว่าข้าไม่ใส่ใจ เพียงแต่ว่า…ยาพวกนั้นไม่ได้มีผลอันใดกับพวกเรา จึงไม่ได้ร้อนใจ…” เยี่ยหลีอดนึกดูหมิ่นตนเองในใจไม่ได้ เพียงแค่ม่อซิวเหยาไม่พูดกับนางเท่านั้น นี่นางกำลังอธิบายเรื่องอันใดกัน

 

 

           เรื่องที่ถูกคนวางยาในวังหลวงนางย่อมโกรธเป็นธรรมดา อีกทั้งนางยังพอเดาได้ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ แม้แต่ของขวัญตอบกลับนางยังคิดไว้ประมาณหนึ่งแล้ว เพียงแต่ยาที่อีกฝ่ายใส่ให้นางนั้นเกินกว่าที่นางคาดคิดไว้ ถึงได้มีท่าทีไม่ใส่ใจเท่าที่ควร เหตุใดม่อซิวเหยาถึงไม่นึกโกรธคนที่ใส่ยาให้นาง แต่กลับมาโกรธนางแทนเสียได้นี่ ซ้ำร้ายเหตุใดนางถึงรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายผิดจนต้องมาอธิบายให้เขาฟังด้วยนี่

 

 

           “ไม่มีผลอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาเชยคางเยี่ยหลีให้ขึ้นมาสบตาเขา แววตาลึกล้ำคู่นั้นสบตาเยี่ยหลีด้วยความเสียใจ

 

 

เยี่ยหลีไม่คุ้นชินกับการตกเป็นรองเช่นนี้ จึงเอ่ยแย้งขึ้นว่า “ใช่สิเพคะ ข้ารู้ว่ายานั่นมีผลทำให้เป็นเช่นนั้น…เพียงแต่พวกเราไม่ได้…อีกทั้งที่เขาว่ากันนั่นก็ไม่ได้เชื่อถือได้มากนัก แล้วข้าก็ยังไม่ได้ดื่มลงไปเสียหน่อย”

 

 

           ม่อซิวเหยาคงมิได้เป็นกังวลไปจริงๆ ว่าหากนางถูกยานั้นทำให้…แล้วต่อไปจะมีลูกไม่ได้กระมัง เมื่อเห็นม่อซิวเหยายังคงอารมณ์ขุ่นมัว เยี่ยหลีจึงอดคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้

 

 

           “อาหลี…”

 

 

           “ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋องมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ขณะที่ม่อซิวเหยากำลังจะเอ่ยปากนั้น เสียงเยียบเย็นของสตรีนางหนึ่งลอยดังขึ้นกลบเสียงของเขา ทั้งสองหันไปมองพร้อมๆ กัน ใต้ต้นไป๋ไฮ่ถังที่อยู่ห่างไปไม่ไกล หลิ่วกุ้ยเฟยในชุดสีขาวบริสุทธิ์ประหนึ่งเซียนหิมะสาวยืนนิ่งอยู่

 

 

           สายตานิ่งเรียบของหลิ่วกุ้ยเฟยกวาดตามองเยี่ยหลี ก่อนเลื่อนสายตามองม่อซิวเหยาครู่หนึ่ง แล้วหยุดมองมือของทั้งคู่ที่จับจูงกันอยู่ สายตาของม่อซิวเหยาที่มองหลิ่วกุ้ยเฟยดูไม่สื่อความหมายใดๆ เพียงพยักหน้าน้อยๆ “หลิ่วกุ้ยเฟย ข้ากับอาหลีกำลังจะกลับแล้ว ลาก่อน”

 

 

           ใบหน้าที่เรียบเย็นอยู่เป็นนิจของหลิ่วกุ้ยเฟย ปรากฏแววซับซ้อนและอ่านยากขึ้นชั่วแวบหนึ่ง นางกัดริมฝีปากรูปกระจับของตนพร้อมมองม่อซิวเหยานิ่งอยู่พักใหญ่ ถึงได้หันไปขมวดคิ้วพูดกับเยี่ยหลีว่า “ชายาติ้งอ๋อง ข้ามีเรื่องอยากคุยกับติ้งอ๋องเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ต้องการพูดคุยกับม่อซิวเหยาเป็นการส่วนตัว มิใช่ควรถามม่อซิวเหยาหรอกหรือ หลิ่วกุ้ยเฟยหวังให้นางเป็นฝ่ายหลบฉากออกไปให้อย่างนั้นหรือ มิเสียแรงที่เป็นกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังหลวง เพียงแค่บารมีในเรื่องนี้ก็ห่างชั้นจากสนมคนอื่นๆ ในวังอย่างไม่เห็นฝุ่นแล้ว

 

 

           ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังจะเปิดปากนั้น ม่อซิวเหยากระชับมือที่จับนางไว้ เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นสบตาม่อซิวเหยาที่ดูมีแววโกรธ จึงทำได้เพียงหันไปพูดกับหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดว่า “ขออภัยด้วยจริงๆ เพคะ หม่อมฉันกับท่านอ๋องมีธุระด่วนต้องรีบไปจัดการ วันนี้เกรงว่าคงจะไม่มีเวลาสนทนากับหลิ่วกุ้ยเฟยเพคะ”

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วมองม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ลาก่อน”

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าซีดลงทันที มือใต้แขนเสื้อนั้นกำแน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยหลี ก่อนหมุนตัวเดินจากไปโดยมิได้พูดอันใดสักคำ

 

 

           ครั้นเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยหมุนตัวเดินจากไปเช่นนั้น เยี่ยหลีจึงเหลือบมองม่อซิวเหยาด้วยความเป็นห่วง “นาง…คงไม่เป็นอันใดกระมัง” ความรู้สึกที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อม่อซิวเหยาเยี่ยหลีย่อมเคยได้ยินมาบ้าง ถึงแม้เท่าที่เยี่ยหลีรู้ ทั้งสองคนจะไม่เคยพบหน้ากันตามลำพังมาก่อน แต่นางมิอาจปฏิเสธว่า การที่ม่อซิวเหยาเอ่ยปฏิเสธนางอย่างไร้เยื่อใยเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมากโขทีเดียว

 

 

           “กลับตำหนัก” ม่อซิวเหยาทำประหนึ่งมิได้ยินคำถามของนาง จับมือนางหมุนตัวเดินต่อไปทันที

 

 

           เมื่อออกพ้นประตูวัง เยี่ยหลีได้แต่มองม่อซิวเหยาที่ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดยอมจาแล้วทอดถอนใจ “ท่านยังโกรธอยู่หรือ” คนที่ปกติไม่ค่อยโกรธ ริจะโกรธขึ้นมาที จัดการยากเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

เขาไม่ยอมพูดอันใดเลยตลอดทาง นางเคยชินกับรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่นของม่อซิวเหยาเสียแล้ว เพียงแค่เขานิ่งเงียบและเอาแต่ทำหน้านิ่งไม่ส่งยิ้มให้นางเช่นนี้ เยี่ยหลีถึงได้เพิ่งรู้ว่าสึกตนเองไม่คุ้นชินกับเขาในตอนนี้เอาเสียเลย

 

 

           “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า ข้าผิดเองข้าไม่ควรมีท่าทีไม่ใส่ใจเช่นนั้น” เยี่ยหลีนึกเกลี้ยกล่อมตนเองในใจ เขากำลังไม่พอใจ ตนจะเอาอย่างคนที่กำลังแง่งอนไม่ได้ สวรรค์รู้ดีว่านางมิได้ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จริงๆ เสียหน่อย ม่อจิ่งฉี ท่านจำไว้ให้ดี!

 

 

           ม่อซิวเหยาเหลือบมองนางเรียบๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปนั่งลง

 

 

           เยี่ยหลีรู้สึกเพียงเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ เคยได้ยินแต่ผู้ชายง้องอนผู้หญิง พอถึงคราวนางเหตุใดจึงสลับกันเสียได้ ม่อซิวเหยาท่านอย่าทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้เลย เอาเถิด เยี่ยหลีเจ้าต้องใจกว้าง!

 

 

           “ซิวเหยา…ท่านยังไม่หายโกรธหรือ เช่นนั้น…ข้าไปจัดการเรื่องวันนี้ที่ห้องหนังสือก่อนนะเพคะ ไว้ท่านหายโกรธแล้วเราค่อยคุยกันแล้วกัน”

 

 

           คนที่ปกติง้องอนใครมิค่อยเป็นอย่างเยี่ยหลี ตัดสินใจที่จะล่าถอยไปก่อน มิใช่ว่านางไม่มีความอดทนและมิใช่ว่านางใจไม่กล้าพอ เพียงแต่ม่อซิวเหยาโกรธเช่นนี้ทำให้นางอยู่ไม่สุขนัก

 

 

           ใบหน้าหล่อเหล่าที่ดูอบอุ่นและสง่างามอยู่เป็นนิจ ยามนี้นิ่งเรียบไร้อารมณ์ ดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกรธแต่เหมือนคนที่กำลังเสียใจเสียมากกว่า จนทำให้เยี่ยหลีอดนึกสงสัยมิได้ว่าตนได้ทำความผิดร้ายแรงเข้าแล้วจริงๆ หรือ หากอยู่ต่อไปไม่แน่ว่านางคงต้องเอ่ยปากขอให้เขายกโทษให้เพื่อแหย่ให้เขาหายโกรธเสีย ดังนั้น…เมื่อรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย เยี่ยหลีจึงตัดสินใจถอยหนีไปด้วยความรวดเร็ว

 

 

           “อาหลี…” มือข้างหนึ่งของนางถูกจับไว้ ม่อซิวเหยาออกแรงเพียงเล็กน้อย ก็ดึงให้หญิงสาวที่กำลังคิดหลบหนีกลับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทันที เยี่ยหลีรู้สึกเขินอายที่ค้นพบว่า สถานการณ์ในยามนี้มีความอบอุ่นแฝงอยู่

 

 

ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนเก้าอึ้ เมื่อนางถูกดึงเข้ามาจึงจำต้องนั่งลงบนตักเขาอย่างไม่มีทางเลือก ถึงแม้จะนอนร่วมหมอนกันมาแล้วเป็นเวลาพอสมควร แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้เยี่ยหลีอดทำตัวไม่ถูกขึ้นมาไม่ได้

 

 

           “เอ่อ…ม่อซิวเหยา ท่าน…ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” เยี่ยหลีกลืนน้ำลายลงคอ อยากร้องไห้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางเองก็ไม่อยากทำท่าทางไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ใด นางสามารถรับมือได้อย่างชาญฉลาดเสมอ แต่คราใดที่ต้องเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยานางมักนึกสงสัยในสติปัญญาของตนขึ้นติดหมัด

 

 

           ม่อซิวเหยาจ้องมองนางนิ่ง แววตาลึกล้ำและนิ่งสงบ “อาหลี เจ้าเห็นข้าเป็นอันใดกับเจ้าหรือ”

 

 

           “เป็น…เป็นอันใดหรือ” เยี่ยหลีได้แต่นึกร้องไห้ในใจ นางคงเสียสติไปแล้วถึงได้รู้สึกว่าม่อซิวเหยากำลังเสียใจ ตอนนี้สิ่งที่นางควรทำคือรีบปลีกตัวออกจากม่อซิวเหยาและหนีไปให้เร็วที่สุด สัญชาตญาณทหารหน่วยพิเศษบอกนางว่า หากยังอยู่เช่นนี้ต่อไปคงเกิดเรื่องที่ไม่ดีนักขึ้นเป็นแน่

 

 

           “เรื่องนั้น…พวกเราแต่งงานกันมาก็นานแล้วมิใช่หรือ ข้าย่อมเห็นท่านเป็นสามีของข้า…”

 

 

           ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นกะพริบน้อยๆ “เช่นนั้น…พวกเราลืมเรื่องหนึ่งไปหรือเปล่า”

 

 

           “ลืม…อันใดหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความมึนงง ม่อซิวเหยายื่นหน้าเข้ามาใกล้ลำคอของนาง ลมหายใจอุ่นๆ รดลงบนต้นคอที่ไร้อาภรณ์บดบัง ลมหายใจสะอาดทำให้เยี่ยหลีรู้สึกร้อนวูบวาบและไร้เรี่ยวแรงขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           “ร่วมหอ” ม่อซิวเหยากระซิบคำสองคำที่ข้างหูนาง

 

 

           ตูม!

 

 

           ประหนึ่งเกิดระเบิดลูกใหญ่ขึ้นในหัวของเยี่ยหลี จนว่างเปล่าไปหมด แต่ดูเหมือนม่อซิวเหยาไม่คิดจะให้เวลานางได้คิดใคร่ครวญใดๆ เขายื่นมือมาเชยคางเรียวเล็กของนางขึ้นเบาๆ ก่อนก้มลงประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของนาง

 

 

           “ม่อ…ม่อซิวเหยา…” เทียบกับจูบที่หน้าด่านซุ่ยเสวี่ยเมื่อคราที่แล้ว ครานี้ม่อซิวเหยามีความนุ่มนวลขึ้นมาก แต่ด้วยเพราะความนุ่มนวลนี้เองที่ทำให้เยี่ยหลีไม่รู้สึกต่อต้าน

 

 

คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมาเป็นปีแล้วยังมิได้ร่วมหอ คงจะมีแต่พวกนางสองคนนี้เอง ในใจเยี่ยหลีรู้ดีกว่า ม่อซิวเหยาเว้นช่วงเวลาเพื่อให้นางได้เตรียมตัวเตรียมใจ เพียงแต่ตนเอง…เยี่ยหลีไม่รู้ว่าตนเองพร้อมที่จะยอมรับม่อซิวเหยาแล้วหรือยัง หรือจะพูดอีกอย่างคือ นาง…รักม่อซิวเหยาหรือไม่…

 

 

“อาหลี…” เขาคลอเคลียอยู่ที่ริบฝีปากของเยี่ยหลี แก้มของเขาแนบชิดเข้ากับใบหูและลำคอของนาง ”อาหลี…”

 

 

           บางทีอาจเพราะบรรยากาศอันแสนหวานที่อบอวลอยู่ภายในห้อง บางทีอาจเพราะน้ำเสียงแหบพร่าของม่อซิวเหยา หรือบางทีอาจเพราะจูบเบาๆ ที่คลอเคลียอยู่ไม่ห่าง

 

 

           เยี่ยหลีนึกรังเกียจตนเองที่ทุกคราเมื่อต้องเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยา นางมักตกเป็นรองอยู่เสมอ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจทำสิ่งที่กล้าหาญ นางลุกขึ้นนั่งหลังตรง ก่อนยื่นมือไปคล้องคอม่อซิวเหยา จากนั้นจึงไปฝ่ายยื่นริมฝีปากรูปกระจับของตนเข้าหาเขา “ม่อซิวเหยา…ท่านชอบข้าหรือ”

 

 

           ม่อซิวเหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มอย่างเยือกเย็น “ใช่สิ อาหลีมิได้รู้นานแล้วหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีเอียงคอมองเขา แล้วระบายยิ้มหวานพร้อมดวงตาเป็นประกาย “ถ้าเช่นนั้น ข้าอนุญาตให้ท่านชอบข้า”

 

 

           โลกหมุนเพียงชั่วขณะ เยี่ยหลีที่ยังอยู่ในอาการมึนงงก็พบว่า ตนได้ย้ายจากเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือมาอยู่ที่เตียงนอนเสียแล้ว

 

 

ม่อซิวเหยาก้มหน้าหัวเราะเสียงต่ำอยู่กับไหล่ของเยี่ยหลี พักใหญ่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี “อาหลี เพียงแค่ชอบยังไม่พอหรอกนะ”

 

 

เยี่ยหลีใจสั่นขึ้นทันที ริมฝีปากยกขึ้นมีแววขบขันเล็กน้อย ก่อนยกมือขึ้นจับไหล่ของม่อซิวเหยา “เช่นนั้น ข้าอนุญาตให้ท่านรักข้า”

 

 

“หากต้องแลกกับการที่เจ้าจะไปจากข้าไม่ได้อีกตลอดกาล เจ้าจะยังอนุญาตหรือไม่ อาหลี” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงต่ำ

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป “ตลอดกาล…อาจเป็นได้ เช่นเดียวกัน แล้วท่านเองจะเป็นของข้าเพียงคนเดียวได้หรือไม่” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม

 

 

“เช่นนั้น…ข้ารักเจ้า อาหลี…ตามที่เจ้าต้องการ ชีวิตนี้มีอาหลีเพียงคนเดียว…” เขาก้มลงครอบครองริมฝีปากที่เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวอีกครั้ง ความเร่าร้อนประหนึ่งถูกจุดขึ้นในทันใด คลื่นอารมณ์ซัดสาดอยู่ภายในม่านอันโปร่งบาง เสียงครวญครางแหลมเล็กและเสียงหอบหายใจดังลอดออกมาจากผ้าม่านที่หนาหนัก สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูปิดประตูให้นายของพวกตนก่อนอมยิ้มเดินจากไปอย่างรู้งาน

 

 

พักใหญ่หลังจากนั้น เมฆฝนจึงได้สงบลง

 

 

ม่อซิวเหยานอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง มองหญิงสาวที่ยังคงหลับสนิท หัวไหล่ที่โผล่พ้นผ้าห่มขึ้นมามีรอยแดงจางๆ ปรากฏให้เห็น ใบหน้างดงามที่บ้างอ่อนหวานบ้างสง่างามยังคงแดงระเรื่อ ดูสงบนิ่งและเย้ายวนเป็นพิเศษ

 

 

ม่อซิวเหยายกมือขึ้นไล้แก้มที่เรียวเล็กของนาง ก่อนก้มหน้าลงจูบเบาๆ ความเป็นกังวลและความสงบเงียบที่เคยมีบนใบหน้าดูจะหายไปจนสิ้น ความอบอุ่นที่ปรากฏบนใบหน้าของม่อซิวเหยาแสดงให้เห็นถึงความสุขใจของเขาในยามนี้

 

 

“อาหลี…อาหลี…” ย้อนนึกถึงความวาบหวามที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ม่อซิวเหยาอดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบหญิงสาวที่กำลังอยู่ในห้วงความฝันอีกครั้ง อาหลีของเขา ในที่สุด…ก็เป็นของเขาเสียที กี่วันกี่คืนที่พ้นผ่าน กี่คราที่ต้องเจ็บแค้นจากความไม่ยุติธรรมของโลกใบนี้ เจ็บแค้นทุกคนที่เป็นอริกับเขา ร่างกายที่พิกลพิการทำให้เขามิกล้าที่จะออกไปจากโลกที่มีเขาเพียงคนเดียว ยามนี้ ในที่สุดเขาได้ครอบครองนางอย่างเต็มตัว เพื่อสิ่งนี้ เขายินดีทุ่มเททุกอย่าง…

 

 

“อืม…ซิวเหยา…” เยี่ยหลีลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย ความรักใคร่เมื่อครู่กินพลังร่างกายนางมากเหลือเกิน นางสลึมสลือมองชายตรงหน้าพร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น

 

 

ม่อซิวเหยาก้มลงจูบเบาๆ ที่ข้างริมฝีปากของนาง “ไม่เป็นไร นอนต่อเถิด มีเรื่องอันใดไว้ตื่นแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

“อืม” เยี่ยหลีพยักหน้าไปเรื่อยเปื่อย ซุกตัวเข้ากับอกที่เย็นน้อยๆ ของเขา ก่อนกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครา

 

 

“อาหลี ชีวิตนี้สำหรับเจ้าเพียงผู้เดียว…”