“คารวะท่านอ๋อง” 

 

 

           ในห้องโถงดอกไม้ ครั้นเห็นบุรุษในชุดสีขาวเดินเรื่อยๆ ออกมา พวกชิงซวงจึงรีบเอ่ยทำความเคารพขึ้นพร้อมกัน  

 

 

สายตาราบเรียบของม่อซิวเหยากวาดตามองพวกนางทั้งสี่คน ก่อนถามขึ้นว่า “มีอันใดหรือ”  

 

 

ชิงอวี้เหลือบมองอีกสามคนที่เหลือ ก่อนก้าวขึ้นหน้ามาตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง ประมุขท่านใหม่แห่งตระกูลหาน คุณชายหานหมิงซีมาขอเข้าเฝ้าพระชายาเพคะ”  

 

 

พวกนางไม่เคยออกไปที่ใดกับพระชายามาก่อน จึงมิรู้ว่าพระชายากับคุณชายหานท่านนี้รู้จักกันได้อย่างไร มีเพียงองครักษ์ลับสองและสามเท่านั้นที่บอกว่าคุณชายหานท่านนี้เป็นสหายกับพระชายา ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าในยามนี้ท่านอ๋องคงไม่พอพระทัยนักที่มีคนมารบกวน แต่ทั้งสี่จำต้องทำใจกล้าเข้ามารายงาน 

 

 

           “หานหมิงซีหรือ” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว ส่งเสียงเหอะเรียบๆ “เขามาเร็วดีนัก พาเขาไปที่ห้องหนังสือ ข้าจะไปพบเขาเอง อาหลียังพักผ่อนอยู่ ไม่ต้องไปกวนนาง ให้คนจัดเตรียมอาหารไว้หน่อย ชิงอวี้ เจ้ามากับข้า” 

 

 

           ทั้งสี่ลอบสบตากัน ดูท่ายามนี้ท่านอ๋องจะอารมณ์ดีไม่น้อย 

 

 

           “เพคะ ท่านอ๋อง” 

 

 

           ภายในห้องหนังสือ หานหมิงซียืนเอามือไพล่หลังมองภาพเขียนอักษรบนกำแพงอย่างใจลอย ตัวอักษรที่เขียนว่าอดทน แม้ดูเผินๆ จะมีความนุ่มนวล แต่เมื่อได้พิจารณาโดยละเอียดแล้วกลับรับรู้ได้ถึงรังสีสังหารและประกายคมกล้าที่เย็นเยียบไปถึงกระดูก 

 

 

           กว่าครึ่งชีวิตของเขาอยู่โดยมีบิดามารดาและพี่ชายคอยปกป้อง จึงมิอาจคาดเดาได้ว่าต้องเป็นคนประเภทใดถึงจะสามารถเขียนตัวอักษรตัวหนึ่งออกมาได้อย่างนุ่มนวลแต่กลับแฝงไปด้วยรังสีสังหารเช่นนี้ นั่นเสมือนหนึ่งการนำห่อผ้าที่มีคมดาบอาบยาพิษเก็บไว้ข้างหัวใจซึ่งเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุด มีทั้งความอันตรายและความเจ็บปวด  

 

 

           สายตาของเขาค่อยๆ เลื่อนออกจากภาพภาพนั้น ก่อนหมุนตัวหันไปทางประตู ไม่รู้ม่อซิวเหยามาหยุดยืนที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใด เทียบกับคราที่แล้วที่ได้พบเขาในเมืองกว่างหลิงแล้ว ม่อซิวเหยาในยามนี้ดูผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย ถึงแม้หานหมิงซีจะไม่รู้จักม่อซิวเหยาดีนัก แต่ยังรับรู้ได้ว่าเขาในยามนี้อารมณ์ดีไม่น้อย 

 

 

           หานหมิงซีหันมองบุรษตรงหน้า ชุดขาวที่แสนเรียบง่าย ผมดกดำยาวเคลียบ่า ดูอ่อนแรงไม่มีพิษมีภัย เมื่อสายตาของหานหมิงซีปะทะเข้ากับรอยแดงจางๆ บนซอกคอเขา ก็ถึงกับชะงักไป มือที่ไพล่กันอยู่ด้านหลังกระชับเข้าหากันแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

 

 

           “ท่านอ๋อง” เขาเป็นคุณชายเจ้าเสน่ห์ จะว่าผ่านดอกไม้มาเป็นร้อยดอกก็ไม่เกินไปนัก ดังนั้น ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะปรากฏตัวในสภาพที่ไม่มีตรงใดเสียมารยาท แต่เขายังคงมองออกว่า ก่อนที่ม่อซิวเหยาจะมาปรากฏตัวที่หน้าห้องหนังสือนี้ เขาได้ทำสิ่งใดมาก่อน 

 

 

           “คุณชายหาน นั่งสิ” ม่อซิวเหยาก้าวเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมพยักหน้าน้อยๆ “อาหลีไม่ค่อยสบายนัก เกรงว่าวันนี้คงจะออกมาพบคุณชายหานไม่ได้ โปรดเข้าใจด้วย” 

 

 

           หานหมิงซีนั่งลงเงียบๆ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านอ๋องเกรงใจไปแล้ว ในเมื่อตระกูลหานเลือกที่จะจงรักภักดีต่อท่านอ๋องและพระชายา ย่อมรอให้พระชายามีเวลาว่างก่อนค่อยพูดคุยกันก็ยังได้” 

 

 

           ม่อซิวเหยาหันมองหานหมิงซีอย่างคาดไม่ถึง หานหมิงซีเป็นคนเช่นไร ม่อซิวเหยาย่อมรู้ดี หานหมิงเย่ว์ตามใจเขามาตั้งแต่เล็กๆ จนทำให้เขามีนิสัยเย่อหยิ่งเป็นที่สุด ทว่าหานหมิงซีที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนในเวลานี้กลับมีความอดทนและสุขุมอย่างหาได้ยาก ดูท่าการจากไปของหานหมิงเย่ว์ไม่ว่าจะกับตระกูลหานหรือหานหมิงซีคงทำให้สะเทือนใจไม่น้อย  

 

 

           ม่อซิวเหยานิ่งคิดพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากว่า “ในเมื่อข้าได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าให้ตระกูลหานทำตามที่อาหลีบอก เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอันใดกับคุณชายหานให้มากความ คุณชายหานเชิญไปพักผ่อนที่ห้องพักแขกก่อน หากต้องการสิ่งใดสามารถบอกกับหัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือองครักษ์ลับสองและสามได้ทันที เชื่อว่าพวกเขาน่าจะคุ้นเคยกับคุณชายหานเป็นอย่างดี” 

 

 

           หานหมิงซีพยักหน้าเล็กน้อย “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ข้าขอตัวก่อน” 

 

 

           เมื่อมองหานหมิงซีเดินออกไปแล้ว ชิงอวี้ที่หยุดรอที่หน้าประตูจึงได้เดินเข้ามาด้วยความระมัดระวัง “ท่านอ๋อง” 

 

 

           ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ชาถ้วยนั้นสืบได้ความแล้วหรือไม่”  

 

 

           ชิงอวี้พยักหน้า “บ่าวลองตรวจสอบดูแล้ว ในชามีเช่อเซียงและดอกหงฮวาอยู่ และยังมียาที่ให้ฤทธิ์เย็นอีกบางตัว เมื่อกลับมาบ่าวก็ได้ไปขอความรู้จากท่านหมอเสิ่น ท่านหมอเสิ่นบอกว่าชาถ้วยนั้น…มีผลทำให้มิอาจมีบุตรได้จริงๆ เพคะ เพียงแต่นั่นก็กับเพียงสนมทั้งหลายที่อยู่ในวังเท่านั้น สตรีในวังจำนวนมากใช้เช่อเซียง หลงหน่าวเซียงติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ซึ่งมีผลต่อร่างกายอยู่แล้ว หากยังรับประทานยาที่ให้ฤทธิ์เย็นในปริมาณมากเข้าไปอีก ก็จะมีผลทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้ เพียงแต่พระชายาไม่เคยใช้เครื่องหอมเหล่านั้นมาก่อน อีกทั้งสุขภาพยังแข็งแรงดี ดังนั้นท่านหมอเสิ่นจึงกล่าวว่า นอกเสียจากมีการใช้ของเหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานานแล้ว ต่อให้พระชายาดื่มชาถ้วยนั้นลงไปจริงๆ ก็มิได้มีอันตรายร้ายแรงอันใดเพคะ อีกอย่าง เช่อเซียงมีกลิ่นที่รุนแรงมาก กลิ่นชาไม่สามารถกลบกลิ่นของมันได้ จึงถูกคนพบเข้าได้ง่าย ดังนั้น ท่านหมอเสิ่นจึงเห็นว่า บางทีคนที่ใส่ยานั้นคงมิได้คิดที่จะให้พระชายาดื่มชาถ้วยนั้นลงไปจริงๆ …น่าจะเพียงเป็นการทดสอบเท่านั้นเพคะ” 

 

 

           “ทดสอบหรือ” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น 

 

 

           ชิงอวี้รีบพยักหน้า “ตัวยาเช่อเซียงนี้มีผลต่อคนทั่วไปไม่มากนัก เพียงครั้งหรือสองครั้งก็มิอาจทำให้คนไม่สามารถมีบุตรได้ เพียงแต่มีอันตรายกับคนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่มาก น้ำชาที่บ่าวนำกลับมา ท่านหมอเสิ่นได้ลองดูแล้ว บอกว่าหากพระชายากำลังตั้งครรภ์ และเพียงดื่มชาถ้วยนั้นลงไปเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้…ตกเลือดได้เพคะ” 

 

 

           ภายในห้องหนังสือนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ม่อซิวเหยาถึงได้โบกมือขึ้น “เจ้าออกไปเถิด ข้างกายอาหลีมีเพียงเจ้าที่รู้เรื่องการแพทย์ ระมัดระวังหน่อยก็แล้วกัน” 

 

 

           “บ่าวทูลลาเพคะ” ชิงอวี้ลอบถอนหายใจ โค้งตัวแล้วรีบถอยออกมาอย่างรวดเร็ว พอท่านอ๋องนึกโกรธขึ้นมา ถึงแม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่เพียงรังสีที่แผ่ออกมาก็ทำให้บ่าวเล็กๆ อย่างพวกนางทนไม่ไหวแล้ว 

 

 

           เมื่อชิงอวี้ถอยออกไป ภายในห้องหนังสือก็เงียบสนิท ดวงตาม่อซิวเหยาที่อบอุ่นและนิ่งลึกอยู่เป็นนิจ ยามนี้เต็มไปด้วยความมืดครึ้ม ม่อจิ่งฉีช่างไม่รู้จักการเตรียมการไว้ก่อนเอาเสียเลย สุขภาพเขาเพิ่งกลับมาแข็งแรงได้ไม่เท่าไร ก็อดรนทนไม่ได้คิดอยากทดสอบอาหลีเสียแล้ว บางทีอาจคิดอยากทดสอบว่าเขากลับมาแข็งแรงดีจริงๆ แล้วหรือยังก็เป็นได้ หรือเขาจะมั่นใจจริงๆ ว่าตนมิกล้าลงมือกับเขา 

 

 

           “ใครอยู่ข้างนอกบ้าง” 

 

 

           “ท่านอ๋อง” ชายในชุดสีเทาปรากฏตัวขึ้นในห้องหนังสือ “ท่านอ๋อง สืบได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นหวังเจาหรงที่ให้คนใส่ยาลงให้น้ำชาพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ช่วงที่ฮ่องเต้กำลังโปรดปรานหวังเจาหรงนั้น ได้เอ่ยถึงเรื่องทายาทของพระชายาขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจ หวังเจาหรงคิดอยากใช้โอกาสนี้เอาใจฝ่าบาท ถึงได้ใส่ยาลงในน้ำชาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น “แค่เจาหรงคนหนึ่ง นางมีความสามารถพอที่จะใส่ยาลงในน้ำชาถึงในตำหนักฮองเฮาเชียวหรือ”  

 

 

           ชายในชุดสีเทาย่อมมิกล้าเอ่ยตอบ และเขาย่อมรู้ดีว่าท่านอ๋องมิได้อยากฟังคำตอบของเขา จึงเพียงเอ่ยถามว่า “หวังเจาหรงตั้งใจทำร้ายทายาทของตำหนักติ้งอ๋อง ท่านอ๋อง พวกเราควรจะ…”  

 

 

           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า รอยยิ้มเยียบเย็นถึงกระดูก “ไม่ ในเมื่อนางชอบเติมอันใดลงในชานัก อีกเดี๋ยวให้ชิงอวี้ปรุงยาอย่างในชาถ้วยนั้น แล้วคอยดูให้นางดื่มมันติดต่อกันสามเดือน!” 

 

 

           “ท่านอ๋อง…หวังเจาหรงอาจกำลังตั้งครรภ์อยู่ก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “คำพูดของข้า เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ” 

 

 

           ชายในชุดสีเทาใจเสียขึ้นทันที รีบก้มหน้าลงกล่าวว่า “ข้าน้อยรับพระบัญชา!” 

 

 

            

 

 

           ภายในห้องนอน เยี่ยหลีค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ร่างกายที่ขยับเขยื้อนไม่สะดวกนักทำให้นางอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ภาพที่พวกเขาเกี่ยวกระหวัดกันอย่างเร่าร้อนวิ่งเข้ามาในหัว ใบหน้างดงามซับสีเลือดขึ้นทันที ได้แต่ยกมือขึ้นตบแก้มที่ร้อนประหนึ่งต้มไข่ได้ของตนเบาๆ 

 

 

           เยี่ยหลีห่อตัวเองอยู่ในผ้าห่ม พยายามสลัดภาพในหัวที่ทำให้ตนหน้าแดงออกไปด้วยการส่ายหน้าแรงๆ ร่างกายที่ไม่สบายตัวนักทำให้นางอดอุทานขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ เยี่ยหลีเธอนี่ช่างไม่เอาไหนเสียเลย น่าขายหน้าจริง… 

 

 

           เยี่ยหลีพลิกไปพลิกมาอยู่ในผ้าห่ม นึกถึงตาบ้าที่หายไปอยู่ที่ใดไม่รู้แล้วแต่กัดฟันกรอด หากยามนี้นางยังดูไม่ออกว่าเขาตั้งใจ นางก็คงซื่อบื้อเต็มที แต่คนซื่อบื้ออย่างนางนี้ยามนั้นกลับคิดว่าเป็นเรื่องจริงเสียได้ เพียงแค่เห็นเขานิ่งเงียบก็ร้อนใจจนทำอันใดไม่ถูก เอ่ยขอโทษขอโพยงอนง้ออยู่เป็นนานยังไม่สำเร็จ แล้วยังต้องเอาตัวเองไปขอโทษเขาด้วยเสียได้ ถึงแม้ตอนหลังไม่รู้ความใจกล้านั้นมาจากที่ใดทำให้นางก็มิได้ขัดขืน…