บทที่ 6 ปิดปาก (3) โดย Ink Stone_Romance

จางอวิ๋นอี้อยู่ในกลุ่มคนของเจิ้งเหวินคังพวกนั้นด้วย เมื่อเขาเห็นฉู่หลิงอวิ้นถูกกลั่นแกล้งเยาะเย้ยเยี่ยงนั้น และเรื่องนั้นยังเกี่ยวข้องกับสกุลจางของพวกเขา ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงเช่นกัน เดิมทีอยากจะตามฉู่หลิงอวิ้นไป แต่เรือลำนั้นเป็นของเหยียนหลิงจวิน หากเขาตามไปมันจะดูไม่ดีเท่าไร จึงได้แค่พยายามยับยั้งความรู้สึกนั้นไว้

เจี่ยงลิ่วเดินเข้ามาพร้อมกับทหารองครักษ์พาตัวเหยาจิ่นเซวียนออกไป ส่วนเหยียนหลิงจวินก็ไปบอกให้นายเรือบังคับเรือกลับทางเดิม

ฉู่หลิงอวิ้นอับอายขายขี้หน้า เดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องโดยสารอย่างโมโห

ฉู่เยว่หนิงยังโกรธอยู่ แต่ยังคงทำหน้านิ่งเฉยเย็นชา

ฉู่สวินหยางเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่คิดที่จะปลอบโยนนางด้วย หลังจากที่นางพาตัวเหยาจิ่นเซวียนข้ามมาแล้ว ก็เอาแต่คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้จนปวดหัว คิดแล้วก็ว่าจะเอ่ยปากคุยกับเหยียนหลิงจวิน “เหยียนหลิง…”

เดิมทีเหยียนหลิงจวินไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ของคนอื่นอยู่แล้ว เมื่อเห็นนางเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว ก็เดินเข้าไปในห้องโดยสารที่เหยาจิ่นเซวียนอยู่ จากนั้นตรวจชีพจรให้เขาอย่างช่วยไม่ได้

“เขาโดนวางยา!” เมื่อเขาตรวจชีพจรเสร็จ เหยียนหลิงจวินเอ่ยขึ้น

ฉู่สวินหยางเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว แต่เมื่อฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ สองตาเบิกโพลง

ฉู่เยว่หนิงโมโหขึ้นอีกครั้ง เอ่ยถามอย่างร้อนรนว่า “อาการของท่านพี่สาหัสมากหรือไม่เจ้าคะ?”

“เพื่อทำให้ละครฉากนี้ออกมาสมจริงที่สุด ปริมาณยาที่พวกเขาใช้จึงมีจำกัด ในเมื่อตอนนี้เขาเมาขนาดนี้ ก็ปล่อยให้เขานอนต่อเถอะ พรุ่งนี้ตื่นมาก็หายดีแล้ว” เหยียนหลิงจวินตอบ สะบัดชุดให้เรียบแล้วลุกขึ้นยืน

ฉู่สวินหยางได้ยินเขาพูดดังนั้นก็โล่งใจได้เสียที เดินออกจากห้องโดยสารไปคุยกับเจี่ยงลิ่วที่อยู่ด้านนอก “ไปสืบมาเดี๋ยวนี้ว่าเป็นความคิดของใคร”

มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดีที่พวกเขาบังเอิญเจอกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบนั้น หากบอกว่ามันไม่มีลับลมคมในเลย มันคงไม่ใช่เรื่องจริง!

“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วขานตอบ แล้วเดินออกไป

ระหว่างทางกลับเรือแล่นขนาบข้างตลิ่ง เจี่ยงลิ่วไม่รอให้เรือจอดเทียบท่า เขากระโดดขึ้นฝั่งไปทันที

ฉู่เยว่หนิงเดินตามออกมาเช่นเดียวกัน นางมองแล้วเรียกฉู่สวินหยางด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านพี่สาม!”

ปกติแล้วฮูหยินใหญ่คอยดูแลประคบประหงมนางเป็นอย่างดี ครั้งนี้ถือว่าฟาดเคราะห์ไป นางพยายามอดกลั้นไม่ร้องไห้ออกมา นางแข็งแกร่งกว่าที่ฉู่สวินหยางคิดไว้นัก

“อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ!” ฉู่สวินหยางยิ้ม เอื้อมมือตบบ่านางเบาๆ

ฉู่เยว่หนิงกะพริบตา จู่ๆ หยาดน้ำตาก็เอ่อล้นไหลรินออกมา นางรีบยกมือขึ้นเช็ด ยิ้มกว้างออกมา “ร้องไห้อะไรกันเจ้าคะ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสียหน่อย!”

นางต้องมาพบเจอกับเรื่องเลวร้ายมากเกินไป ฉู่สวินหยางรู้สึกกังวล จึงเดินผ่านตัวนางมองเข้าไปในห้องโดยสารนั้น แล้วพูดขึ้นว่า “ยังโกรธอยู่เหรอ?”

ฉู่เยว่หนิงนิ่งอึ้ง เมื่อรู้สึกตัวว่าโดนถามว่าอะไรแล้ว สายตานั้นพลันมืดมนลง ก้มศีรษะลงไม่เอ่ยคำใดออกมา

ฉู่สวินหยางพูดว่า “ข้ารู้ว่าเหตุการณ์วันนี้ทำให้เจ้าเสียหน้ามาก อีกอย่างฮูหยินใหญ่เองก็เป็นคนจัดการเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้า ข้าเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าหากเจ้ารับไม่ได้ล่ะก็…”

“ท่านพี่เหยาแค่ทำผิดไปโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น!” ผิดคาด ฉู่เยว่หนิงตอบฉะฉานต่างจากปกติ แววตาของนางมุ่งมั่นขึ้นกว่าเก่า “ข้ารู้และเข้าใจดี ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม คนที่จัดฉากเหตุการณ์วันนี้ขึ้น มันก็แค่ต้องการทำให้ข้าโมโห แล้วรอดูวันที่วังบูรพาของพวกเราและท่านพ่ออับอาย หากพวกมันต้องการแบบนั้น ข้าจะไม่มีทางทำให้มันสมหวังเป็นแน่ และท่านแม่ไม่มีวันทำร้ายข้า อีกอย่างข้ารู้จักกับท่านพี่เหยามานาน ท่านพี่สามวางใจเถอะเจ้าค่ะ เรื่องแบบนี้ข้ามองออก!”

เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หากบอกว่าไม่น้อยใจเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า…นางพออ่านสถานการณ์ตรงหน้าออก เพราะฉะนั้นนางเลยเอาชนะจิตใจตัวเองได้ภายในเวลาอันสั้น

ฉู่สวินหยางยิ้ม ไม่ออกความคิดเห็นอะไรมาก พูดเพียงแค่ว่า “เจ้าตัดสินใจได้แล้วก็ดี!”

ฉู่เยว่หนิงฝืนยิ้มออกมา ผงกศีรษะอย่างหนักแน่น

เมื่อเรือจอดเทียบท่าแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับกันไป

ฉู่หลิงอวิ้นพาข้ารับใช้ของตนจากออกไปก่อน เหยียนหลิงจวินสั่งคนไปส่งเหยาจิ่นเซวียนกลับจวน ส่วนฉู่เยว่ซินยังมีอาการเมาเรืออยู่ เดิมทีฉู่สวินหยางจะกลับไปพร้อมกับพวกฉู่เยว่หนิง แต่เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วกำลังจะเอ่ยลาเหยียนหลิงจวินตอนนั้น ก็มองเห็นสายตาของอิ้งจื่อส่งสายตามองมาที่ตนอยู่ไกลๆ

ฉู่สวินหยางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เหยียนหลิงจวินสั่งให้คนไปตรวจสอบผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้นไปนี่ ลังเลอยู่สักพักก็หันกลับไปคุยกับคนในรถม้า “เมื่อกี้นี้ข้าสั่งให้เจี่ยงลิ่วไปทำธุระให้ ข้าอยู่รอเขาก่อนแล้วกัน เดี๋ยวตามกลับไปทีหลัง”

“เจ้าค่ะ!” ฉู่เยว่หนิงพยักหน้า ไม่ว่าคำพูดของนางจะจริงหรือเท็จก็ตาม นางพูดขึ้นเพียงแค่ “งั้นท่านพี่สามให้คนคอยตามไปอารักขาหน่อยนะเจ้าคะ ยามนี้ดึกมากแล้ว มันอันตราย!”

“ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังมีชิงหลัวอยู่ทั้งคน อีกสักพักเจี่ยงลิ่วก็กลับมาแล้ว พวกเจ้ามีของสำคัญเยอะแยะ ให้พวกองครักษ์กลับไปพร้อมกันเถอะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวกำชับกับพวกองครักษ์ว่า “ไปจวนสกุลฮั่ว พาองค์หญิงฮั่วไปส่งก่อน”

ปกติแล้วเจี่ยงลิ่วสืบหาคนร้ายเจอครู่เดียวเขาก็ไปบอกนางที่วังบูรพาอยู่ดี เพราะฉะนั้นนี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น

ฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์มองเหยียนหลิงจวินที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่มีใครพูดอันใดออกมา ปิดประตูรถแล้วกลับเข้าไปด้านใน

เมื่ออิ้งจื่อเห็น ก็รีบเดินเข้ามา กล่าวว่า “นายท่าน ท่านหญิง เกิดเรื่องขึ้นกับเจี๋ยหงแล้วเจ้าค่ะ!”

แววตาของเหยียนหลิงจวินชะงักลง เขาไม่ถามแต่รอให้นางเล่าต่อ

อิ้งจื่ออดไม่ได้ที่เผยสีหน้าว้าวุ่นออกมา นางอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็กระทืบเท้าแล้วพูดอย่างลำบากใจ

“เฮ้อ รายละเอียดเบื้องลึกข้าไม่รู้เลย แต่คนที่ท่านสั่งให้นางไปจับตามองคนนั้นโดนฆ่าตายแล้วเจ้าค่ะ!”

“ตายแล้วงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางกลั้นหายใจ เดินหน้าขึ้นไปอย่างไม่รู้ตัว

เขาเป็นแค่ชายชราที่ปั้นดินเผาคนหนึ่งเท่านั้น ใครหน้าไหนกล้าลงมือฆ่าเขาได้ลง?

“เจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อพยักหน้า “เสียงโหวกเหวกโวยวายที่พวกเราได้ยินก่อนที่จะขึ้นเรือกันนั่นแหละเจ้าค่ะ เรื่องเกิดขึ้นในตรอกด้านหน้าถนนไฉ่ถัง ตอนนี้ขุนนางทั้งหลายตามไปถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว เคลื่อนย้ายศพไปยังโรงเก็บศพชั่วคราวแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ตอนที่ข้ากับเฉี่ยนลวี่ไปตามหา เห็นเจี๋ยหงสลบไปในเรือนร้างที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่นเจ้าค่ะ หากต้องการรู้อะไรเพิ่มเติมอาจจะต้องรอให้นางตื่นก่อน แล้วค่อยถามนางอีกที”

“เจี๋ยหงเป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บสาหัสหรือไม่?” ฉู่สวินหยางเอ่ยถาม

“มีแผลสองแห่งเจ้าค่ะ แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต แค่มีเลือดออกนิดหน่อย ตอนนี้นางสลบไป ดูท่าน่าจะถูกคนวางยาเจ้าค่ะ” อิ้งจื่อตอบด้วยสีหน้าร้อนรน

เดิมทีคิดว่าจับตาดูชายชรานั้นคงไม่ได้อะไร แต่ครั้งนี้จะปล่อยไปไม่สนใจคงไม่ได้แล้ว

“พาข้าไปดูหน่อย!” เหยียนหลิงจวินสูดหายใจเข้าลึก มุ่งหน้าเดินตรงไปยังถนนไฉ่ถัง

ฉู่สวินหยางเองก็ไม่รอช้า รีบเดินตามไปอย่างว่องไว

เจี๋ยหงถูกพาตัวไปไว้อยู่บนรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ในตรอกตรงนั้น โดยมีเชินหลานคอยเฝ้าอยู่

“นายท่าน!” เชินหลานตาเป็นประกาย เมื่อเห็นเหยียนหลิงจวินเดินเข้ามาแต่ไกลๆ จึงรีบกระโดดลงจากรถม้า “นายท่านรีบมาดูเร็วเจ้าค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพี่เจี๋ยหงจะเป็นอะไรมากหรือไม่”

เหยียนหลิงจวินไม่เอ่ยเสียงตอบ เขาถลกชุดขึ้นแล้วเดินขึ้นรถม้าไป ตรวจชีพจรให้เจี๋ยหงแล้วดูบาดแผลของนาง สุดท้ายยกหัวนางขึ้นลูบท้ายทอยเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า “โดนฟาดเข้าอย่างแรงเลยสลบไป!”

พูดจบก็ยื่นมือออกไป “ขอเข็มด้วย”

เชินหลานปีนข้ามไป หยิบชุดเข็มโลหะออกมาจากตู้แล้วส่งให้เขา

เหยียนหลิงจวินฝังเข็มลงบนร่างกายของเจี๋ยหงอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานนักก็เห็นผล เจี๋ยหงส่งเสียงขึ้นเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นมา

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เหยียนหลิงจวินถาม

เจี๋ยหงเพิ่งฟื้นเลยยังรู้สึกไม่ตื่นเต็มตานัก เมื่อมองเห็นเขาชัดเจนแล้ว ก็รีบก้มศีรษะลงด้วยความมึนงง

“นายท่าน?”

แล้วสอดสายตามองไปทั่วทิศ พลางขมวดคิ้วขึ้น “ทำไมข้าถึงได้…”

“อิ้งจื่อบอกว่าเจ้าบาดเจ็บ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เหยียนหลิงจวินถามต่อ เก็บเข็มลงในห่อแล้วยื่นไปให้เชินหลาน

——————————–