บทที่ 6 ปิดปาก (4) โดย Ink Stone_Romance

“ก่อนหน้านี้อิ้งจื่อบอกให้ข้าไปจับตามองดูชายชราที่ปั้นรูปปั้นคนนั้น บนถนนเส้นนี้คนพลุกพล่านนัก ไม่เหมาะแก่การลงไม้ลงมือ ข้าเลยรอให้เขาเก็บร้านเสร็จก่อน แล้วเดินตามเข้าไปในตรอกตรงหน้านั่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่ข้ากำลังจะลงมือ จู่ๆ ก็โดนคนที่สวมชุดสีฟ้าใช้มีดกรีดเข้าที่คอ เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะจัดการคนคนนั้นให้ได้ แต่ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา สุดท้ายเลยพ่ายแพ้ให้เขาไป” เจี๋ยหงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ข้าน้อยไม่รอบคอบนายท่านลงโทษได้เลยเจ้าค่ะ”

“เหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนั้น ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยขึ้น “อีกฝ่ายเป็นใคร? พอมองลักษณะรูปร่างใบหน้าของเขาได้หรือไม่?”

“เป็นคนคนหนึ่ง แต่ตอนนั้นแสงในตรอกนั้นมืดมาก ทั้งยังต่อสู้กันชุลมุน ข้าเลยมองได้ไม่ชัดเท่าไรนัก” เจี๋ยหงพยายามนึกย้อนเหตุการณ์นั้นขึ้น “อายุน่าจะไม่มากนัก รูปร่างผอม เตี้ยกว่าท่านประมาณครึ่งศีรษะได้”

เหยียนหลิงจวินลงจากรถม้า สบตามองฉู่สวินหยาง ทั้งสองคนอับจนหนทาง ไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดี

ฉู่สวินหยางนึกคิด แล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นเขาพูดอะไรออกมาหรือเปล่า?”

“ไม่เลยเจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงส่ายศีรษะ “ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นนักฆ่ามืออาชีพ วิธีการที่เขาใช้สังหารคนนั้นปราดเปรียวว่องไวมาก ตอนที่ข้าประมือกับเขาตอนนั้น ยังคิดว่าตัวเองจะไม่รอดชีวิตแล้วเลย คิดไม่ถึงว่า…”

พูดมาถึงตรงนี้ เจี๋ยหงเผลอแสดงสีหน้าออกมาอย่างมีความสุขที่ตนเองได้มีชีวิตรอด แต่จู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรออก เลยพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ แล้วทำไมข้าถึงได้ไม่เป็นอะไรล่ะ? พวกท่านหาข้าพบที่ไหนหรือเจ้าคะ?”

“เจอเจ้าอยู่ในเรือนร้างแห่งหนึ่งในตรอกที่เจ้าบอกนั่นแหละ” อิ้งจื่อตอบ

หากเป็นนักฆ่ามืออาชีพ ก็ไม่มีเหตุผลให้ฆ่าชายชราไร้เรี่ยวแรงต่อสู้แบบนั้น แล้วปล่อยคนที่เคยประชันฝีมือกับเขาอย่างเจี๋ยหงมีชีวิตอยู่ต่อแบบนี้เลยนี่

เพราะฉะนั้น…

คนคนนั้นตั้งใจไว้ชีวิตเจี๋ยหงงั้นรึ?

ในระหว่างที่ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง ซูอี้ที่หายไปนานก็กลับมาเสียที

เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างคร่าวๆ แล้ว แววตาของเขาพลันมืดมนลง เปล่งเสียงออกมาว่า “งั้นคงเป็นไปได้ว่าข้าเจอเข้ากับคนที่เจี๋ยหงพูดถึง”

ฉู่สวินหยางนึกขึ้นได้ “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าออกไปก็แสดงว่า…”

“ใช่!” ซูอี้พยักหน้า พูดพลางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเสียดาย “ข้าตามตัวคนคนนั้นไปเกือบครึ่งค่อนเมืองนี้แล้ว แต่วิทยายุทธของคนผู้นั้นช่างแกร่งกล้าเหลือเกิน ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ปะทะกับผู้นั้น แต่ฝีมือช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก หากข้ากับเจี๋ยหงเจอเข้ากับคนเดียวกันล่ะก็ สิ่งที่นางพูดมาไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ยากจะต่อกรด้วยแน่ๆ”

“แต่ผู้นั้นกลับปล่อยให้เจี๋ยหงมีชีวิตรอดมาได้!” เหยียนหลิงจวินพูดขึ้น กระตุกมุมปาก

“ไม่แน่ว่าอาจจะตั้งใจก็เป็นได้ หรือไม่แน่อาจจะแค่บังเอิญ!” ซูอี้ยักไหล่ ดูท่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก “ร่างกายคนผู้นั้นบาดเจ็บด้วย คงขยับตัวไม่ได้ตามอย่างที่ใจหวังก็ได้!”

“ใช่เจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงนึกคิด จู่ๆ ก็นิ่งสงบลงแล้วพูดขึ้น “พอคุณชายรองซูพูดขึ้น ข้าเลยนึกขึ้นได้ ตอนที่ข้ากำลังจะไปแย่งตัวชายชราผู้นั้นมา ข้อศอกของข้าไปโดนซี่โครงเข้าพอดี ตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าท่าทางผิดปกติ!”

หากเป็นนักฆ่ามืออาชีพจริงล่ะก็ คงไม่มีเหตุผลปล่อยให้คนอื่นมีชีวิตรอดไปได้หรอก

แต่ถ้าอีกฝ่ายไร้ความสามารถจริง พวกเราจะได้ข้อสรุปอีกแบบหนึ่ง ตอนนั้นพวกขุนนางตามมากันเร็วมาก เขาอาจจะรีบร้อนหนีจนเผลอปล่อยเจี๋ยหงไป

เมื่อได้ยินซูอี้พูดดังนั้น ใบหน้าแข็งตึงของเหยียนหลิงจวินถึงค่อยผ่อนคลายลงเป็นปกติ เขายิ้มพูดหยอกล้อเล่นขึ้นว่า “ไล่ตามไปครึ่งเมืองเชียวเหรอ? หรือว่าเจ้าเองก็ไม่เห็นหน้าตาเขาเหมือนกัน?”

วันนี้ ท่าทีซูอี้แปลกไปไม่ได้ทะเลาะกับเขาเหมือนปกติ แต่กลับหดหู่อย่างเสียดาย หัวเราะขมขื่นแล้วส่ายศีรษะ

ทุกคนนิ่งเงียบลง ไม่นานนักอิ้งจื่อก็พูดขึ้นเสียงเบา “นายท่าน เฉี่ยนลวี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

ทุกคนเก็บสีหน้าอารมณ์เอาไว้ หันไปมองตามเสียง เฉี่ยนลวี่วิ่งเข้ามาเหงื่อท่วมทั่วกาย บนหน้ามีรอยแผลเป็นทางยาว ดูแล้วรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก

“ปะทะกับคนอื่นมารึ?” อิ้งจื่อหาจังหวะเอ่ยถามขึ้น

“เปล่าหรอก!” เฉี่ยนลวี่ส่ายหน้า ยิ้มกว้างปลอบโยน “เจอเรื่องอะไรเข้านิดหน่อยน่ะ”

“เจ้าไปที่พักของชายชราผู้นั้นพบเจออะไรบ้างหรือไม่?” อิ้งจื่อเห็นนางปกติดีไม่มีแผลที่ไหนอีกก็วางใจ จึงเอ่ยปากถามขึ้น

“เจอเจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่พยักหน้า นางฝืนกลั้นเสียงหอบรุนแรงนั่นเอาไว้ สีหน้ายังคงไม่ผ่อนคลายดี “ชายชราผู้นั้นพักอยู่คนเดียว ไม่มีญาติมิตรเจ้าค่ะ ข้าไปถามเพื่อนบ้านของเขามาแล้ว บอกกันว่านิสัยของเขาประหลาดมาก เวลาปกติก็ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น เขาอยู่ที่นั่นมานานสิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเขามาจากไหนมีอดีตอย่างไร หลังจากนั้นข้ายังตามไปที่โรงเก็บศพชั่วคราวต่อ เดิมทีอยากจะชันสูตรศพของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนชิงตัดหน้ามาถึงก่อน เผาโรงเก็บศพนั้นไหม้จนไม่เหลือซากเลยเจ้าค่ะ”

“ทำการใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? เผาศพเพื่อทำลายหลักฐานทิ้งงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

“ใช่เจ้าค่ะ ดูท่าคงเผาศพเพื่อทำลายหลักฐาน!” เฉี่ยนลวี่ตอบ “ตอนนั้นทหารที่นำตัวศพมากับคนชันสูตรศพอยู่ด้วย แต่โดนคนขังเอาไว้ด้านในสุดของโรงเก็บศพนั้น ข้าฝ่ากองเพลิงเข้าไปช่วยคนชันสูตรศพคนนั้นออกมาได้ ก่อนที่เขาจะตายเขาบอกข้าไว้ว่า ไม่เจอสิ่งของใดที่เป็นต้นกำเนิดเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้จากตัวชายชราคนนั้นได้เลย แต่เขาคนนั้น…เป็นขันทีเก่ามานานหลายปีแล้วด้วยเจ้าค่ะ!”

“ขันทีงั้นรึ?” ซูอี้หัวเราะออกมาอย่างประหลาดใจ “หรือว่าหนีออกมาจากวัง?”

แคว้นซีเยว่เพิ่งสถาปนาได้แค่สิบสี่ปีเอง ขุนนางในวังอายุมากกว่าหลี่รุ่ยเสียงไม่กี่ปีเท่านั้น นอกเสียจากว่า…

จะเป็นคนของราชวงศ์ก่อนที่หลงเหลืออยู่

แต่ตอนนั้นฮ่องเต้เซี่ยนจงสั่งฆ่าล้างบางจนหมดสิ้นแล้วนี่ แล้วเมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเข้ายึดพระราชวังไว้ได้ ก็สั่งเผาทำลายพระราชวังจนไหม้เป็นจุล ส่วนพวกนางในขันทีที่อยู่ในวังตอนนั้นก็ได้สังเวยชีวิตอยู่ท่ามกลางกองเพลิงไปหมดเหลือชีวิตรอดไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำไป อีกอย่างพระราชวังมีกฎหนึ่งข้อที่ไม่ได้สลักเป็นลายลักษณ์อักษร นั่นก็คือเมื่อนางกำนัลข้ารับใช้อายุครบยี่สิบห้าปี ก็จะมีโอกาสได้รับการปล่อยตัวออกจากวัง แต่สำหรับพวกขันทีแล้วหาได้มีกฎเกณฑ์เยี่ยงนี้ไม่ เมื่อตัดตอนชำระร่างกายจนสะอาดถวายตัวเข้ามาในวังแล้ว ก็มีจุดจบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…

นั่นก็คืออยู่ในวังจนแก่ตาย

เพราะฉะนั้นคำพูดของซูอี้ไม่ต้องอธิบาย ทุกคนก็เข้าใจดี

ชายชราผู้นี้โชคดีหนีออกจากเหตุการณ์ฆ่าล้างบางเมื่อสี่สิบปีก่อนมาได้แน่นอน

เพราะฉะนั้นรูปปั้นที่เขาปั้นออกมาถึงได้เหมือนตัวเองแบบนั้น หรือว่า…

แท้จริงแล้วคนที่เขากำลังปั้นอยู่นั้นคือเหลียงซี?

จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกผวา ความคิดปนเปสับสนไปหมด ภาพในหัวของตนค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น…

การตายของชายชราผู้นั้นไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ รูปปั้นที่ชายชราคนนั้นปั้นขึ้นมานั่นแหละที่เป็นต้นเหตุการตายของเขา มีคนต้องการปิดปากเขา ส่วนเหตุผลนั้น…

จู่ๆ ฉู่สวินหยางไม่อยากจะคิดต่อไปแล้ว

“เลิกสืบเรื่องนี้ต่อได้แล้ว!” นางพูด ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย มองหน้าเหยียนหลิงจวินด้วยสีหน้านิ่งเฉย

เหยียนหลิงจวินและซูอี้เป็นคนฉลาดมองปราดเดียวก็เข้าใจ ถึงแม้ต่างคนจะยังรู้สึกสงสัยอยู่นั้น แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของนาง ทั้งสองคนก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งต่ออีก

“ได้ คิดเสียว่าก็แค่ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ตายไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร พวกเราเองจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเปล่าด้วย” เหยียนหลิงจวินเอ่ยพลางยิ้ม

ซูอี้เงยหน้ามองท้องฟ้า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ตะลอนไปเกือบครึ่งเมือง ข้าเองก็ควรกลับแล้วเหมือนกัน พวกเจ้า…”

“เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าไปส่งท่านหญิงก่อน!” เหยียนหลิงจวินพูดตอบเขา

“งั้นก็ตามนั้น!” ซูอี้หยักหน้า พูดอำลาทั้งสองคนแล้วขึ้นม้าจากออกไป

“พวกเราไปกันเถอะ!” เหยียนหลิงจวินพูดพลางจูงมือฉู่สวินหยางขึ้นรถม้าไป

ในระหว่างทางกลับฉู่สวินหยางนั่งนิ่งเงียบมาตลอด นางไม่แม้แต่จะเอ่ยปาก เหยียนหลิงจวินเองก็ไม่คิดถาม จนกระทั่งถึงเวลาลงจากรถแล้ว นางถึงเพิ่งจะรู้สึกตัว ถึงรู้การมีอยู่ของเหยียนหลิงจวิน เลยหันไปยิ้มให้เขา “ขากลับระวังด้วยล่ะ”

“อืม!” เหยียนหลิงจวินยิ้มให้นาง “เข้าจวนเถอะ!”

“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า หันหลังกลับมาสายตาพลันเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างขึ้นทันที…

หรือว่าเรื่องนี้ เป็นฝีมือของท่านพ่องั้นหรือ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก ยิ่งคิดก็ยิ่งผวา จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่อยากคิดต่อไปมากกว่านี้อีกแล้ว

———————————-