บทที่ 189 ไม่หัวเราะ (7)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 189 ไม่หัวเราะ (7)
“อย่างนั้นปัญหาในตอนนี้ก็คือ จะตามหาคนที่ปล่อยข่าวลือนั้นอย่างไร ในเมื่อเขาเจอเจ้าบ้านไม่หัวเราะและไม่ตาย จะต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่านี้แน่” ลู่เซิ่งหยีตากล่าว

“เรื่องนี้เราพรรคชาใสช่วยได้อีกแรง” ต่งฉีรีบเสนอ

“ไม่ผิด พรรคชาใสหยั่งรากลึกที่นี่ เส้นสายและเครือข่ายข่าวสารย่อมดีกว่าพวกเรา มีประมุขต่งอยู่ สมควรเจอคนผู้นั้นโดยเร็ว” หลี่ฉยงกล่าวยืนยัน

“อย่างนั้นให้เจ้าจัดการ พวกเราพักผ่อนคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยไปดูว่าเจ้าบ้านไม่หัวเราะที่ว่านี้เป็นตัวอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งกล่าว

“ขอรับ” ทุกคนพากันขานรับ

ภายใต้การจัดการของพรรคชา ทุกคนหาที่พักผ่อนของใครของมัน ต่งฉีจัดงานเลี้ยงหรูหราสิ้นเปลือง อาหารแต่ละอย่างถูกยกมาโดยมีชาเป็นหลัก คนของพรรควาฬแดงกินอย่างเอร็ดอร่อย

ลู่เซิ่งกับสตรีกางร่มตัวน้อยไม่สนใจ กลับห้องพักผ่อนก่อน

ในห้องนอนวิจิตรเลิศหรู ลู่เซิ่งกึ่งเอนบนเตียง เล่นโลหะขนาดเท่ากำปั้นที่ไร้แบบแผนชิ้นหนึ่งในมือ โลหะนี้คล้ายกับเป็นชิ้นส่วนที่หลุดจากของบางอย่าง ทั้งยังมีลวดลายเล็กละเอียดไม่สมบูรณ์

โลหะพลิกหมุนในมือลู่เซิ่ง สะท้อนแสงสีแดงอ่อนๆ

‘แตกต่างจากเศษโลหะครั้งก่อน เศษภัยพิบัติมังกรสีชาดชิ้นนี้ไม่มีปราณหยิน…’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย

ไม่มีปราณหยิน สำหรับเขาเศษโลหะชิ้นนี้ก็เป็นโครงไก่

ขณะเล่นชิ้นส่วนชิ้นนี้ เขายังจดจำพลังอันน่าพรั่นพรึงที่หงฟางไป๋ใช้มันระเบิดออกมาในตอนสุดท้ายได้

ยามกำมันไว้ในมือ ให้ความรู้สึกเหมือนกำเนื้อก้อนหนึ่ง ด้านในมีเสียงพึมพำลี้ลับมุ่งร้ายที่อธิบายไม่ได้

เสียงนั้นสะท้อนอยู่ข้างหู ลำบากมากกว่าจะฟังออก ลู่เซิ่งเล่นอยู่สักพัก ไม่ได้พบอะไร ก็ใช้เชือกแขวนมันไว้กับคอของตัวเอง

ชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาด เขาได้ทดลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ว่าไม่อาจกระตุ้นพลังด้านในได้ เช่นถ่ายปราณภายในเข้าไป หรือว่าวางมันในอุณหูภูมิสูงหรือความเย็นจัด แต่ก็ไม่มีผลใดๆ

มันให้ความรู้สึกเหมือนหินธรรมดา ยามลูบคลำกลับเป็นวัสดุทำจากโลหะ

หนึ่งคืนผ่านไปไร้คำสนทนา เช้าตรู่วันที่สอง พลพรรควาฬแดงอารักขาลู่เซิ่งไปยังป่าเขาที่เฉินจงเทากับผู้อาวุโสสวีเคยไปถึง

ภูมิประเทศลาดชัน ลงจากรถม้าเปลี่ยนเป็นการเดินทางด้วยเกี้ยว ลู่เซิ่งทิ้งสตรีกางร่มไว้ที่พรรคชา ตนพาพวกสวีชุยติดตามเฉินจงเทาเข้าสู่หุบเขาลึก

พวกเขาพอออกจากเมืองชาใส ก็เจอตำแหน่งในหุบเขาที่พวกเฉินจงเทาเคยหยุดพักอย่างรวดเร็ว

แสงอาทิตย์เป็นสีขาว เงาไม้โยกไหว

คนจากพรรควาฬแดงมุ่งไปตามเนินลาดเอียงเหมือนเดินบนพื้นราบ ไม่นานก็ขึ้นไปอยู่บนพื้นหญ้าราบเรียบผืนหนึ่ง

“ตรงนี้!” พลพรรคคนหนึ่งที่เป็นบริวารของเฉินจงเทากระหืดกระหอบ ร้องเสียงดัง “ก่อนหน้านี้พวกเราทำสัญลักษณ์ไว้บนเปลือกไม้ตรงนี้เพื่อป้องกันไม่ให้หลงทางตอนกลางคืน!”

คนผู้นี้วิ่งเหยาะๆ ไปถึงหน้าต้นไม้ใหญ่ ยื่นมือไปเปิดเปลือกไม้แผ่นหนึ่งออก ด้านใต้เปลือกไม้มีรอยบากรูปปลา เป็นสัญลักษณ์ลับของพรรควาฬแดง

กร๊อบ

ใกล้ๆ พลันแว่วเสียงกิ่งไม้ถูกเหยียบหัก

“มีคน!” มีพลพรรคตะโกนขึ้นอย่างกระทันหัน “ผู้ใด!?” มือดีที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าถามเสียงดัง

สวีชุยกับนิ่งซานแยกกันคุ้มครองเกี้ยว หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ได้ยินดังนั้นก็ช้อนตามองทิศทางหนึ่งของป่าพร้อมกัน

พลพรรคสิบกว่าคนที่อยู่รอบนอกกระจายกันสำรวจค้นหา

ฉัวะ!

พลพรรคคนหนึ่งใช้ดาบฟันพุ่มไม้ พลันมีเงาคนโผล่พรวดออกมา

“อย่า! ไม่ต้องห่วง พวกเราเพียงแค่ผ่านทางมา เพียงผ่านทางมา!” นักพรตเครายาวหน้าตาไม่เลวคนหนึ่งรีบกระโดดออกมาจากในพุ่มหญ้าข้างเนิน

ด้านหลังเขา มีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่สวมชุดนักพรตเดินออกมาด้วย

บุรุษผู้นั้นมีใบหน้าจริงจัง ท่าทางขึงขังหนักแน่น เป็นเหยียนไคที่เพิ่งมาถึงที่นี่

สตรีงามสง่า ย่อมเป็นต้วนหรงหรงที่ติดตามอยู่ข้างกายเขา

เหยียนไคมองสัญลักษณ์พรรควาฬแดงใต้เปลือกไม้ รวมถึงพลพรรคที่กระจายตัวอยู่รอบๆ

ลมปราณของคนสองคนที่อารักขาอยู่ด้านข้างเกี้ยว ถึงขั้นแม้แต่พวกเขายังสยองพองขน ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

กล่าวในใจ สมกับเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งของแดนเหนือ แค่คนสองคนที่โผล่หน้ามาก็ทำให้ตนเกิดความกลัวเกรงแล้ว

เขาสลัดความคิด ก้าวขึ้นหน้าไปประสานมือเอ่ยว่า

“ข้าเหยียนไค เคยรู้จักกับประมุขพรรคลู่ มีเรื่องราวสำคัญ หวังว่าจะได้พบกับประมุขพรรคลู่เพื่อแจ้งข่าว”

ทั้งสามคนยืนอยู่ที่เดิม องครักษ์ใกล้ชิดในพรรคสองสามคนแลกเปลี่ยนสายตากัน เปลี่ยนย่างก้าวอย่างเงียบงัน ล้อมทั้งสามคนไว้ จากนั้นคนหนึ่งแยกตัวเดินไปทางเกี้ยว

เหยียนไคเห็นองครักษ์ใกล้ชิดคนนั้นพูดกระซิบกับคนคนหนึ่งข้างเกี้ยว คนข้างเกี้ยวใคร่ครวญครู่หนึ่ง ค่อยเดินไปถึงหน้าต่างเกี้ยว กระซิบกระซาบไปยังด้านในสองสามประโยค

จากนั้นเขาค่อยชี้มือสั่งพลพรรคสองสามคำ

“เข้ามา” พลพรรคคนหนึ่งตะโกน

ด้านหน้าพวกเหยียนไคเปิดออกเป็นช่องว่าง

ทั้งสามกวาดตามอง เห็นคนของพรรควาฬแดงตีหน้าขรึม ยืนตัวตรง เปี่ยมกำลังวังชา แค่กวาดตามองดู ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้านทานสมาชิกค่ายพรรคธรรมดาแห่งอื่นได้สิบกว่าคน

ตอนทั้งสามเดินผ่านช่องว่างก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาระมัดระวังมากมายกวาดตามองมา เหมือนกับเข็มทิ่มแทงบนร่าง

‘ชนชั้นหมาป่าพยัคฆ์!’ เหยียนไควิจารณ์ในใจ อุทานกับตัวเอง ไม่ทันไรเขาก็หยุดลงด้านหน้าเกี้ยว

ม่านเกี้ยวถูกเปิดออก เผยให้เห็นเงาร่างอ่อนเยาว์ที่คุ้นเคย แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นคุณชายลู่ ลู่เซิ่งแห่งตระกูลลู่ที่เคยพบมาก่อน

ลู่เซิ่งเหมือนกับคุณชายบ้านรวยธรรมดา นั่งในเกี้ยว สีหน้าซีดอยู่บ้าง คล้ายไม่ค่อยพบแสงแดด เสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ปกคลุมร่าง ตรงทรวงอกเป็นลายกระเรียนต้นสนที่กำลังกระพือปีกบิน

“ที่แท้เป็นท่านเหยียนไคนี่เอง” ลู่เซิ่งยิ้มพลางมองคนทั้งสาม “ตั้งแต่วันนั้น ก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอกันอีกครั้งที่นี่ บังเอิญจริงๆ”

เหยียนไคหยีตามองลู่เซิ่งที่คล้ายคนธรรมดาเบื้องหน้า อีกฝ่ายเหมือนกับไม่มีพลังยุทธ์ดั่งตอนแรก ยังคงเป็นคุณชายอ่อนแอที่ถูกภูตผีรบกวน

ทว่าไม่ทราบเพราะเหตุใด แวบแรกที่เขาเห็นลู่เซิ่ง จิตใจพลันหนักอึ้ง เสียวสันหลังวาบ

ทั้งๆ ที่สัมผัสอะไรไม่ได้ กระนั้นตอนอยู่ต่อหน้าลู่เซิ่ง เหยียนไคยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล แรงกดดันนี้ทำให้เขาหายใจไม่ออก ถึงขั้นร่างกายเริ่มชาดิก

เขาได้ยินเสียงหอบของต้วนหรงหรง นางมีลางสังหรณ์ต่ออันตรายดีกว่าเขา ตอนนี้ได้รับแรงกดดันมากกว่าเขา

ความกดดันที่รุนแรงและไม่อาจบรรยายนั้นทำให้ทั้งสามพูดไม่ออกชั่วขณะ แค่ยืนอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง ก็ต้องการความกล้ามหาศาลแล้ว

“เป็นสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมาก” ตอนที่พวกเหยียนไคหัวใจเริ่มเต้นรัว เหงื่อเริ่มไหลทั่วร่าง ลู่เซิ่งก็ชมเชยอย่างคาดไม่ถึง ในที่สุดความรู้สึกกดดันนั้นก็พลันสลายหายไป

ฟู่ว!

ต้วนหรงหรงเกือบทรุดฮวบลงพื้น แต่เหยียนไคลอบประคองไว้ได้

ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ในใจโล่งอก ทราบว่าครั้งนี้ตัดสินใจถูกแล้ว!

หลังจากรู้ว่าว่านเหอจื่อผู้เป็นศิษย์พี่รับประกาศรางวัลของตระกูลตู๋กู เหยียนไคก็ไตร่ตรองว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร

ตระกูลตู๋กูเป็นขุมกำลังที่ไม่ควรท้าทาย เทียบกับพลังของผู้กำจัดวิญญาณเช่นพวกเขา อีกฝ่ายใช้เวลาครู่เดียวก็ทำลายคนระดับพวกเขาได้หลายสิบหลายร้อย

หรือก็คือ ศิษย์พี่ว่านเหอจื่อในเมื่อรับประกาศรางวัล จะต้องทำการตรวจสอบให้สำเร็จ

เนื้อหาของประกาศรางวัลมีเพียงหนึ่งเดียวคือการตรวจสอบเป้าหมายของเฉาหลง รองประมุขสมาคมหทัยร่อนเร่

ตระกูลตู๋กูกับสมาคมหทัยร่อนเร่คือขุมกำลังใหญ่สองขุมที่เป็นศัตรูกัน มีประกาศรางวัลนี้ก็ถือว่าปกติ เดิมความคิดของว่านเหอจื่อคือใช้ความสามารถทางสายเลือดของตนติดตามเฉาหลง จากนั้นแอบมองในเวลาที่เหมาะสม หลังทราบสถานการณ์สมควรรับมือได้พอประมาณ

แต่เหยียนไคปฏิเสธความคิดนี้ ตระกูลตู๋กูให้รางวัลมากมายปานนั้น ย่อมไม่สำเร็จง่ายๆ

เขาให้ว่านเหอจื่อเล่าเนื้อหาของประกาศรางวัล เป็นอย่างที่คาด สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่แค่การทราบเป้าหมายของเฉาหลงเท่านั้น ยังมีรายละเอียดจำนวนคนที่เขาพามาในการเดินทางครั้งนี้ สภาพของเขาในตอนนี้ รวมถึงเป้าหมายและแผนการของเขา

เมื่อเป็นแบบนี้ความยากจึงสูงถึงขีดสุด ถ้าหากคิดจะลวงประกาศรางวัล ผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวคือศิษย์พี่ว่านเหอจื่อถูกนำไปโยนใส่เตาไฟกลายเป็นเชื้อเพลิง

เหยียนไคใคร่ครวญแผนการ ไตร่ตรองอย่างหนัก ในที่สุดก็คิดได้วิธีหนึ่งซึ่งตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนได้มากพอ

วิธีการนี้คือการยืมพลัง!

เวลานี้ขุมกำลังเพียงหนึ่งเดียวที่เทียบเคียงได้กับเฉาหลงในเมืองชาใส มีแค่พรรควาฬแดง

พรรควาฬแดงกางธงวางกองกำลังอย่างชัดเจน แตกต่างจากการลอบเข้ามาของเฉาหลง ว่านเหอจื่อติดตามมาตลอดทาง ทราบแค่ว่าเฉาหลงมาเพราะเรื่องเล่าของเจ้าบ้านไม่หัวเราะ

พรรควาฬแดงมียอดฝีมือหายตัวไปเพราะเรื่องเล่านี้ ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเจอกัน และมีพื้นที่ให้พลิกสถานการณ์

“ไม่ทราบท่านเหยียนไคมากลางป่ากลางเขาเพราะเรื่องใดหรือ” ลู่เซิ่งพิจารณาเหยียนไคกับต้วนหรงหรงในตอนนี้

เทียบกับตอนอยู่ในเมืองเก้าประสาน สองคนในตอนนี้สุกงอมกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ส่วนอีกคนหนึ่งถูกเขาเมินไปแล้ว

“คุณชายเซิ่งมาเพราะอะไร พวกเราก็เหมือนกัน” เหยียนไคเอ่ยเสียงกระจ่าง “ทว่าพวกเรามาถึงที่นี่ก่อนคุณชายเซิ่งเล็กน้อย” เขาจงใจใช้คำเรียกลู่เซิ่งก่อนหน้า คิดจะกระชับระยะห่าง ถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็เคยช่วยลู่เซิ่งไม่น้อย ถ้าหากไม่ใช่เขาเหยียนไค ไม่แน่ว่าจะหาลู่ชิงชิงน้องสาวของลู่เซิ่งเจอ แล้วช่วยชีวิตไว้ได้

“อ้อ?” ลู่เซิ่งงงงัน “หรือว่าท่านเหยียนไคก็มีเบาะแสอย่างอื่น ถ้าบอกผู้แซ่ลู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งใด ท่านเสนอได้เต็มที่”

เหยียนไคส่ายหน้า มองต้วนหรงหรงกับว่านเหอจื่อ สองคนนี้เป็นเพราะมีการรับรู้ยอดเยี่ยมเกินไป ตอนนี้จึงซ่อนอยู่ด้านหลังเขาไม่กล้าขยับ นอกจากนี้ยังร่างสั่นตัวเย็น จิตใจขลาดกลัว พึ่งพาไม่ได้ เขาต้องจัดการเองแล้ว

เขามองออกว่าลู่เซิ่งยังปฏิบัติกับเขาอย่างเป็นมิตร นึกถึงน้ำใจเก่า อย่างนั้นเรื่องนี้มีโอกาสพลิกสถานการณ์แล้ว

“ไม่ปิดบังคุณชายลู่ พวกเรามาถึงที่นี่เพราะติดตามคนอันตรายคนหนึ่งที่เดินทางจากภายนอกมาที่แห่งนี้” เหยียนไคเอ่ยอย่างจริงจัง “ว่านเหอจื่อศิษย์พี่ของข้ารับรางวัลตรวจสอบคนผู้นี้ ติดตามมาจากทางตะวันออก กลับนึกไม่ถึงว่าพวกเราก็ตั้งใจมายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้เพราะเรื่องไม่หัวเราะนั่นเช่นกัน”

……………………………………….