บทที่ 190 ไม่หัวเราะ (8)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 190 ไม่หัวเราะ (8)
เทียบกับการแต่งคำโกหก เหยียนไคยังคงตัดสินใจพูดความจริง ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ให้คนรู้ไม่ได้

พอเขาเห็นลู่เซิ่งมีสีหน้าฉงน ก็พูดต่อ “พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ ได้เจอคุณชายเซิ่งโดยบังเอิญ จึงรีบมาเตือน คนผู้นั้นน่ากลัวและอันตรายมาก ถ้าเจอเข้า อย่าได้ขัดแย้งกับเขา ต้องระวังให้ดี”

“อ้อ?” ลู่เซิ่งมองเขาอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

คำพูดนี้แม้ว่ากำลังเตือนเขาถึงอันตราย แต่ในฐานะประมุขพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ทั้งยังเป็นราชาดาบแดนเหนือผู้เป็นประมุขพรรควาฬแดง การกล่าวคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าคนแบบนี้ไม่เหมือนคำเตือน แต่เป็นคำยั่วยุมากกว่า

เหยียนไคไม่สนว่าเขาจะฟังความหมายออกหรือไม่ กล่าวอีกว่า “คนผู้นั้นคือรองประมุขสมาคมหทัยร่อนเร่ ขุมกำลังของตะวันออก ผู้คนเรียกว่ามังกรท่องบูรพา เฉาหลง”

“เฉาหลงหรือ” ลู่เซิ่งเอะใจ สมาคมหทัยร่อนเร่ เฉาหลง เฉาหู่ สามชื่อนี้พอเชื่อมโยงกัน พลันกระจ่างแจ้ง

“น่าสนใจ” เขาแสยะยิ้ม ลู่เซิ่งมองความคิดของคนทั้งสามออก พวกเขาคงจะอาศัยการคุ้มครองของตัวเองเพื่อรับมือเฉาหลง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านทั้งสามหากสะดวกจะร่วมทางกับข้าก็ได้ พรรควาฬแดงพอมีอิทธพลในแดนเหนืออยู่บ้าง” เขาไม่เปิดโปง เพียงเออออตามอีกฝ่าย

เหยียนไคพลันโล่งอก ทราบว่าก้าวแรกสำเร็จแล้ว

การตรวจสอบเฉาหลง โดยเฉพาะการสะกดรอยตามในสถานที่ที่มีคนน้อยๆ แบบนี้ มีโอกาสถูกพบมากเกินไป ถ้าพวกเขาเซ่อซ่าติดตามว่านเหอจื่อเข้าไปในหุบเขา ผลลัพธ์สุดท้ายแน่นอนว่าต้องถูกเฉาหลงจับได้ เป็นตายแล้วแต่เขา

ตอนนี้ปะปนไปในขบวนพรรควาฬแดงได้ ก็ปลอดภัยมากขึ้นแล้ว

คุยกันสักพัก ขบวนก็เดินทางอีกครั้ง ลู่เซิ่งได้ทราบจากปากของพวกเหยียนไคว่า เฉาหลงมาเพราะเจ้าบ้านไม่หัวเราะเช่นกัน

นี่ประหลาดอยู่บ้าง เดินทางเป็นหมื่นลี้จากทางตะวันออกมาเพื่อเจ้าบ้านไม่หัวเราะหรือ หรือว่าในนี้จะซุกซ่อนความลับบางอย่างที่เขาไม่รู้

ขบวนเดินทางช้าๆ กลางป่าเขา ฟันพุ่มไม้ใบหญ้าเพื่อเปิดเส้นทางให้เกี้ยว

ไม่ทันไร การเคลื่อนไหวของพลพรรคที่เบิกทางพลันหยุดชะงัก

ด้านหน้าพลพรรควาฬแดงปรากฏคนกลุ่มหนึ่งอยู่ไกลๆ

คนกลุ่มนี้สวมชุดเข้ารูปสีฟ้า มัดผ้าขาวไว้ที่ศอกข้างขวา ดวงตาเป็นประกาย คึกคักฮึกเหิม สิ่งที่บังเอิญก็คือ ขบวนของพวกเขาก็แบกเกี้ยวหลังหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นสีขาวต่างจากเกี้ยวสีดำของพรรควาฬแดง

สวีชุยวางมือบนด้ามกระบี่ที่เอว มองอีกฝ่ายเงียบๆ

ชายฉกรรจ์เปลือยอกคนหนึ่งในขบวนฝั่งตรงข้ามก็มองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นกัน

ขบวนทั้งสองขบวนไม่ใช่ผู้อ่อนแอ เพียงแต่พริบตาที่พบกันก็สัมผัสจุดที่ดูถูกไม่ได้ของอีกฝ่าย พรรควาฬแดงเหนือกว่าที่จำนวนคน อีกฝ่ายมีคนน้อยกว่า ทว่าสภาวะเหนือกว่า

ทั้งสองขบวนไม่มีความคิดจะสร้างความขัดแย้ง กริ่งเกรงกันเอง ต่างคนต่างถอย แยกไปคนละทาง

“ประมุขสมาคม เป็นคนของพรรควาฬแดง” ชายฉกรรจ์ข้างเกี้ยวสีขาวรายงานเบาๆ

“อย่าให้เกิดเหตุแทรกซ้อน หาเจ้าไม่หัวเราะนั่นให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นค่อยกลับ พวกเราไม่มีเวลามาอยู่ที่นี่” เสียงบุรุษทุ้มต่ำดังออกมาจากเกี้ยว

“ขอรับ” ชายฉกรรจ์ก้มหน้าขานรับ

ลู่เซิ่งมองเกี้ยวสีขาวที่ตัดผ่านกัน ผ่านรอยแยกของม่านภายในเกี้ยว แม้ทั้งสองฝ่ายจะห่างกันค่อนข้างไกล แต่สำหรับผู้เข้มแข็งระดับเขาต่อให้อยู่ห่างเป็นหลายร้อยหมี่ก็ใช้เวลาไม่กี่พริบตา เขาได้กลิ่นที่คุ้นเคยจากในเกี้ยว

‘สมาคมหทัยร่อนเร่…’ คนของสมาคมหทัยร่อนเร่เคยติดต่อกับเขา อีกฝ่ายมีความสามารถซ่อนเร้นที่ร้ายกาจสุดขีด แต่ก็เพียงเท่านี้ เฉาหู่เป็นรองประมุขสมาคมแต่ก็ถูกหงฟางไป๋สังหารซึ่งหน้า หนำซ้ำยังใช้คนมากกลุ้มรุมอีก

“พวกเขาก็มาตรวจสอบเรื่องเจ้าบ้านไม่หัวเราะเช่นกัน” เหยียนไคเดินอยู่ข้างเกี้ยว พลันกล่าวเบาๆ

“ปล่อยพวกเขาไป ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ภายหลังคงได้เจอกันอีก” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงราบเรียบ

ไม่นาน ก่อนที่ขบวนทั้งสองจะสวนกัน ต่างฝ่ายต่างหยุด

ทั้งสองฝ่ายหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ต่างก็จ้องมองคนของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังและกดดัน ก่อนถ่ายทอดคำสั่งลับหลัง ทั้งสองขบวนเฉียดผ่านกัน น้ำบ่อไม่ก้าวก่ายน้ำคลอง หายเข้าไปในป่า

เวลาผ่านไป พลพรรควาฬแดงวนอ้อมอยู่ในป่าอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็มาถึงด้านหน้าหมู่บ้านที่คล้ายเป็นซากแล้ว

“ตรงนี้นี่เอง!” พลพรรคที่นำทางกล่าวเสียงดัง “รายงานผู้อาวุโส ตอนนั้นพวกเราเห็นผู้อาวุโสสวีพาคนเข้ามาที่นี่ ภายหลังไม่ออกมาอีก”

สวีชุยเขม้นมองหมู่บ้านแห่งนั้น โดยเฉพาะบ้านหินหลังน้อยตรงประตูหมู่บ้าน ปรากฏกลิ่นอายที่ทำให้เขาอึดอัด

เขาหันกลับไปมองลู่เซิ่งในเกี้ยว

ลู่เซิ่งเลิกม่านเกี้ยวออก กลับไม่ได้มองเขา แต่สายตาข้ามผ่านทุกคนไปยังที่ว่างฝั่งขวาของขบวน

สวีชุยมองตามสายตาลู่เซิ่ง พบคบเพลิงที่ถูกทิ้งไว้ส่วนหนึ่งบนพื้นตรงนั้น

พลพรรคคนหนึ่งเดินเข้าไปเก็บคบเพลิงอันหนึ่งขึ้นมาดูด้ามจับ เป็นตราสัญลักษณ์ของพรรควาฬแดงอย่างที่คิดไว้

“เป็นที่นี่” สวีชุยแน่ใจ หันไปมองลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

“ค้นหา!” คนของพรรควาฬแดงกระจายกำลังเข้าสู่หมู่บ้าน เริ่มไล่ค้นเบาะแสทีละหลัง

พวกเหยียนไคสบตากัน เดินถึงประตูหมู่บ้าน นั่งยองๆ ลงเริ่มตรวจสอบร่องรอยบนพื้นและกำแพง

ลู่เซิ่งลงจากเกี้ยว เงยหน้ามองขึ้นไป ในหมู่บ้านปรากฏขบวนที่หลีกทางให้กันเมื่อก่อนหน้า

เกี้ยวสีขาวกลางขบวนถูกวางลงบนพื้นอย่างช้าๆ

“ไม่มีประโยชน์ เจ้าบ้านไม่หัวเราะไม่เคยโผล่มาตอนกลางวัน มีแต่ตอนกลางคืนถึงอาจจะเจอ” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากในเกี้ยวสีขาว

“มีแต่ตอนกลางคืนค่อยโผล่มาหรือ ท่านเป็นใคร” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วพลางถาม

“พวกเราไม่มีเจตนาร้าย” เสียงในเกี้ยวพูดต่อ “เมื่อเจอสถานที่แล้ว ตอนกลางคืนพวกเราค่อยมาอีกรอบ”

เกี้ยวสีขาวถูกยกขึ้นช้าๆ แล้วผละไปยังที่ไกล

ไม่ทราบว่าคิดไปเองหรือไม่ ว่านเหอจื่อที่อยู่ไม่ไกลพลันรู้สึกว่าร่างเย็นเฉียบ เงยหน้าเห็นชายฉกรรจ์ข้างเกี้ยวสีขาวจ้องตนอยู่ไกลๆ ดวงตาคมกริบเย็นเยียบเหมือนกับคมมีด

สิ่งที่มาพร้อมกับสายตายังมีแรงกดดันที่ล้ำลึกและยิ่งใหญ่ เหมือนกับมือยักษ์ฉุดดึงหัวใจของเขาไว้

ว่านเหอจื่อตัวสั่นสะท้าน เหงื่อเริ่มหลั่งไหล ใบหน้าซีดขาว หายใจกระชั้น สองตาไร้ประกาย มือจับคอตนโดยไม่รู้ตัว แล้วออกแรง

เช้ง

เสียงหนึ่งดังเบาๆ

สวีชุยขวางด้านหน้าของเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มองชายฉกรรจ์ผู้นั้น ด้ามดาบในมือเขาค่อยๆ ถูกชักออกมาเป็นรอยแยกจากฝัก

ว่านเหอจื่อค่อยเหมือนคนจมน้ำได้รับการช่วยเหลือ อ้าปากหายใจ เหยียนไคกับต้วนหรงหรงเวลานี้ค่อยพบความผิดปกติของเขา

“ศิษย์พี่!”

“ว่านเหอจื่อ ท่านไม่เป็นไรกระมัง!?”

“หึ!”

เสียงเย็นชาดังมาแต่ไกล ว่านเหอจื่อรู้ว่านี่เป็นการเตือนตนว่า ถ้ากล้าสะกดรอยอีก จะฆ่าเขาทิ้ง

เขาโชคดีเหลือแสนเพราะการตัดสินใจของศิษย์น้อง ถ้าไม่ได้เข้าร่วมขบวนพรรควาฬแดง เมื่อครู่นี้อาจถูกอีกฝ่ายใช้จิตสังหารข่มขู่จนตายไปแล้ว

ความรู้สึกนั้นไม่อาจหลบหลีก ไม่อาจซ่อนตัว ร่างกายไม่ฟังคำสั่ง แม้แต่วิ่งหนียังทำไม่ได้

“เป็นจิตสังหารที่รุนแรงยิ่ง” นิ่งซานเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึม

ลู่เซิ่งถ่ายทอดปราณภายในแปดสิบปีให้กับเขา ตอนนี้พลังเทียบเคียงได้กับขั้นผนึกจิต ขอบเขตแม้ยังเป็นแค่สำนึกปลอดโปร่ง แต่พลังที่แสดงออกมากลับแข็งแกร่งกว่าสวีชุย

ถึงอย่างไรสวีชุยก็แค่จุดสูงสุดของพลังปลอดโปร่ง

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงพลังในสภาพปกติของทั้งสอง ถ้าลงมือสุดกำลังจริงๆ สภาพเหมือนกึ่งมารปีศาจนั้นจึงเป็นไพ่ตายที่แท้จริง นั่นเป็นไพ่ตายที่ต้องถึงที่สุดจริงๆ ค่อยเลือกเปิดเผย

ลู่เซิ่งมองว่านเหอจื่อ คนผู้นี้ไม่น่าเป็นศิษย์พี่ของเหยียนไค เทียบกับศิษย์น้องของเขาแล้ว พลังอ่อนแอเกินไปกระมัง

เกี้ยวสีขาวออกไปไกลแล้ว ไม่ทันไรก็หายไปในส่วนลึกของป่า

ลู่เซิ่งละสายตากลับมา พยักเพยิดให้สวีชุยกับนิ่งซาน พวกเขาเดินเข้าไปค้นหาร่องรอยในหมู่บ้านพร้อมกับพลพรรควาฬแดงเหล่านั้น

ลู่เซิ่งเดินเอื่อยๆ เข้าหมู่บ้าน เข้าไปในบ้านหินที่ถูกพังประตูไปแล้วหลังหนึ่ง หยากไย่หนาเกาะเต็มอยู่ด้านใน เต็มไปด้วยไถเสี่ยน(มอสส์)ที่เปียกชื้นและคราบแมลงกึ่งโปร่งแสง ใบไม้แห้งที่ลอยเข้ามากองสุมอยู่บนหน้าต่างที่ผุพัง บางส่วนก็เน่าแล้ว คล้ายกลายเป็นราเพราะเปียกฝน

ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าเตียงของบ้านหิน แล้วกดลงเบาๆ

โครม

เตียงหลังนี้ถึงกับถล่มลงมุมหนึ่ง

“ไม้ผุแล้ว ที่นี่ไม่มีร่องรอยผู้คน” นิ่งซานติดตามอยู่ด้านหลัง เอ่ยเบาๆ “ข้าน้อยเคยศึกษาของแบบนี้มาก่อน ปกติไม้ที่ใช้ทำขาเตียงจะเป็นไม้หงส์แขวน ไม้ชนิดนี้ป้องกันความชื้นและการผุได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผุถึงขั้นนี้ได้ อย่างน้อยก็มีอายุมากกว่าสิบปีขึ้น”

“เจ้าแน่ใจหรือ” ลู่เซิ่งลูบหัวเตียง ไม้ยังแข็งแรงอยู่

“ข้าน้อยเคยศึกษาจากอาจารย์ช่างไม้ คำตอบที่ได้ใกล้เคียงกัน” นิ่งซานกล่าวเบาๆ

“ออกไปเถอะ” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงราบเรียบ ตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของคนในเกี้ยวสีขาวบ้างแล้ว

ค้นหาสักพัก พลพรรควาฬแดงไม่ได้รับข้อมูลใด บ้านหินทั้งหมดต่างก็พังถล่ม ไม่เหมือนมีคนเข้าออก

ร่องรอยที่พวกผู้อาวุโสสวีทิ้งไว้ก็หาไม่เจอเช่นกัน

ลู่เซิ่งหยีตามองหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้อยู่หน้าประตูหมู่บ้าน

“ประมุขพรรค ที่นี่มีตัวหนังสือ!” ทันใดนั้นมีพลพรรคตะโกนขึ้น

ลู่เซิ่งรีบรุดไป พลพรรคคนหนึ่งชี้บอก ที่ประตูหมู่บ้านค้นพบป้ายหินที่โผล่มาด้านนอกส่วนเล็กๆ ในพื้นโคลน

พวกเขาขุดเอาป้ายหินออกมา ด้านบนเขียนตัวหนังสือไว้อย่างชัดเจนหลายแถว

‘หมู่บ้านสุขสม ทุกๆ คนต่างหาความสุขของตนได้…’ ตัวหนังสือด้านล่างถูกของบางอย่างขัดทิ้งจนอ่านไม่ออก

ลู่เซิ่งนั่งลงลูบตัวหนังสือด้านบน

“อักษรซ่งโบราณ” เขาลดเสียงกล่าว

“ประมุขพรรค ด้านบนนี้เขียนสิ่งใดไว้หรือ” สวีชุยถามเบาๆ

นิ่งซานก็มองลู่เซิ่งอย่างใคร่รู้เช่นกัน เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ประมุขพรรคเป็นบัณฑิตในสถานศึกษาตัวจริง บวกกับเห็นท่าทางของเขาเมื่อครู่ สมควรรู้จักตัวอักษรนี้

“นี่คือ…ตัวอักษรโบราณของต้าซ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุครุ่งเรืองเมื่อพันปีก่อน” ลู่เซิ่งลุกขึ้นกล่าวอย่างราบเรียบ “แต่ตัวโบราณนี้ ใช้ตัวเต็ม… มีแต่ตอนทำพิธีจึงจะใช้ตัวเต็ม ปกติไม่ควรใช้ตัวอักษรแบบนี้…” เขาแสดงสีหน้าสงสัย

หมู่บ้านสุขสมนี้คล้ายไม่ได้มีแค่เจ้าบ้านไม่หัวเราะเป็นความประหลาดลี้ลับตัวเดียว

“หรือหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ให้คนอยู่” นิ่งซานพึมพำ

ลู่เซิ่งพอได้ยิน ความเป็นไปได้หนึ่งก็แวบโผล่ขึ้นมาในห้วงสมอง

……………………………………….