บทที่ 191 ไม่หัวเราะ (9)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 191 ไม่หัวเราะ (9)
ลู่เซิ่งปัดโคลนบนป้ายหินออกเบาๆ แล้วยกมันขึ้นมา เสียบฟุ่บเมื่อถอนป้ายหินออกจากพื้น

เศษดินโคลนจำนวนมากร่วงตกจากป้ายหินสีดำซึ่งสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ

ด้านล่างสุดของป้ายหินยังมีตัวหนังสืออีกหลายแถว แม้พร่ามัวแต่ก็พอจะอ่านได้

‘เดินสู่ความเดียวดายของตน มุ่งสู่ความเจ็บปวดอันสิ้นหวัง ความยินดี ชีวิต ความตาย ความหวัง…’

ด้านล่างประโยคนี้เป็นเนื้อหาที่เหมือนคำอธิบายอย่างละเอียด ลู่เซิ่งหยีตากวาดอ่าน ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมตนจึงหาเจ้าบ้านไม่หัวเราะที่ว่าไม่เจอ

‘นี่คืออะไร เกมประหลาดน่าเบื่อหรือไง’ เขาวางป้ายหินลง แล้วมองดูรอบๆ

“ทุกคนกลับไปเมืองชาใส การค้นหาในครั้งนี้จบลงเท่านี้”

พอกล่าวจบ พลพรรควาฬแดงต่างงุนงง ทว่าคำสั่งของประมุขพรรคไม่อาจไม่ทำตาม ไม่มีคนกล้าไต่ถาม ก้มหน้าขานรับอย่างเชื่อฟัง

สวีชุยกับนิ่งซานพิจารณาป้ายหิน พวกเขาไม่รู้จักตัวอักษรซ่งโบราณ และไม่รู้ว่าประมุขพรรคเห็นสิ่งใด ยิ่งไม่เข้าใจว่าตัวอักษรด้านบนมีความหมายว่าอะไร กระนั้นพวกเขารู้ว่า จะต้องเป็นเพราะเนื้อหาของป้ายหินนี้ที่ทำให้ประมุขพรรคเปลี่ยนความตั้งใจ

ทุกคนล่าถอย ทิ้งคนจำนวนน้อยไว้ที่นี่เพื่อคอยนำทาง

ลู่เซิ่งให้คนที่เหลือเฝ้าอยู่ที่ประตูหมู่บ้าน ย้ำว่าห้ามเข้าไปเด็ดขาด พลพรรควาฬแดงหลายคนมีประสบการณ์ปราบความประหลาดลี้ลับและภูตผีมาแล้ว โดยเฉพาะองครักษ์ใกล้ชิดที่อยู่ข้างกายลู่เซิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขารู้ว่าสมควรทำอย่างไร นอกจากไม่วิตก ยังพกพาผงยาที่ต้านทานอาการประสานหลอนที่ห้องโอสถปรุงขึ้นอีกไม่น้อย ภาพหลอนทั่วไปไม่มีผลต่อพวกเขา

ลู่เซิ่งพาพวกเหยียนไคกลับถึงเมืองชาใสโดยไม่หยุดพัก ทั้งสามแม้เคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ทราบว่าพรรควาฬแดงจะต้องเคลื่อนไหวโดยมีเหตุผลของพวกเขา ถึงอย่างไรพรรควาฬแดงก็มียอดฝีมือระดับผู้อาวุโสเสียท่าแก่ความประหลาดลี้ลับ ไม่ทราบเป็นหรือตาย ไม่มีทางปล่อยคดีนี้ไปง่ายๆ

“เป็นอย่างที่เฉาหลงพูด สถานที่นั่นต้องไปในเวลาที่แน่นอน จึงจะพบเห็นสิ่งที่อยากจะเห็น”

ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลังในห้องหนังสือของพรรคชา กล่าวกับพวกสวีชุยและเหยียนไคที่อยู่ด้านข้างอย่างราบเรียบ

“เวลาที่แน่นอนหรือ จะว่าไป เรื่องเล่าของเจ้าบ้านไม่หัวเราะก่อนหน้านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นตอนกลางดึก หรือว่ามีแต่เวลานี้เจ้าบ้านไม่หัวเราะจึงจะปรากฏตัว” เหยียนไคกล่าวเบาๆ

“ท่านเหยียนไคสนใจในเรื่องเล่านี้มากหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มพลางมองเขา

“เอ่อ…นิดหน่อย แต่ในเมื่อประมุขพรรคลู่ออกโรงเอง เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา” เหยียนไคกล่าวอย่างเกรงใจ

“แต่ว่ามังกรท่องบูรพาเฉาหลงนั่นถึงกับเดินทางไกลมาเป็นหมื่นลี้เพื่อตามหาเจ้าบ้านไม่หัวเราะในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ในนี้จะต้องซ่อนเลศนัยไว้แน่” ต้วนหรงหรงกระซิบเตือน

“ไม่เป็นไร ตอนดึกข้าจะหาไปด้วยตัวเอง สถานที่นั่นไปกี่คนก็ไม่มีความหมาย ไม่ว่าจะมีกี่คนสิ่งที่ต้องเผชิญก็เหมือนกันหมด” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเอ่ย

“ต้องการให้ข้าร่วมทางกับเจ้าด้วยหรือไม่” สตรีกางร่มตัวน้อยไม่รู้โผล่มาจากไหน อยู่ๆ ก็เดินออกมาจากด้านหลังชั้นหนังสือของห้องหนังสือ

“ไม่ต้อง อีกไม่นานก็จัดการได้” ลู่เซิ่งยิ้มเอ่ย “เที่ยวนี้พวกเราลดจำนวนคนก่อนค่อยไป แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นวันนี้”

คนที่เหลือไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร กระนั้นเมื่อลู่เซิ่งที่เป็นระดับประมุขพรรคเอ่ยเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่กล้ากล่าวมากความ

ทุกคนพักผ่อนในพรรคชาระยะหนึ่ง พรรคชาก็ตามหาคนที่กระจายเรื่องเล่านั้นจนเจอ

ไม่เหนือความคาดหมาย คนผู้นั้นตายมาหลายวันแล้ว ศพส่งกลิ่นเหม็นในบ้านจึงค่อยถูกคนพบ ตอนคนของพรรคชาเจอ เพื่อนบ้านไม่รู้ว่าเขาตายมากี่วันแล้ว

เบาะแสขาดสะบั้น ทุกอย่างยุ่งเหยิง

เวลาเหมือนติดปีก พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายวัน

พวกเหยียนไคพบว่าลู่เซิ่งไม่คิดเคลื่อนไหวอีก และไม่เห็นร่องรอยของเฉาหลงในเมือง จึงทราบว่าเขาจะต้องอยู่ที่นั่น พากันร้อนรน

ตอนเจอหน้า เหยียนไคทดลองถามลู่เซิ่งหลายหน แต่ไม่ได้รับคำตอบว่าจะเคลื่อนไหว รออีกหลายวัน ด้วยความจนปัญญา เขาได้แต่พาศิษย์พี่ว่านเหอจื่อกับต้วนหรงหรงไปยังหมู่บ้านหินแห่งนั้นอย่างเงียบๆ

หมอกกระจายในป่า ทุกที่เป็นหมอกขาวขมุกขมัว

เหยียนไค ว่านเหอจื่อ กับต้วนหรงหรงกลับมาถึงหน้าหมู่บ้านหินอย่างคุ้นชินทาง

ป่าในไอหมอกเงียบสงัด รอบๆ ไม่ได้ยินเสียงคน เงียบงันจนน่าพรั่นพรึง

เหยียนไคยืนก้มมองรอบๆ อยู่ที่ประตูหมู่บ้าน

“คนอยู่ไหน คนของพรรควาฬแดงที่เฝ้าอยู่ ยังมีคนของสมาคมหทัยร่อนเร่ ไม่ใช่อยู่นี่หมดหรอกหรือ เหตุใดจึงไม่เห็นใครเลย”

คิดจะทำภารกิจตรวจสอบเฉาหลงให้สำเร็จ จะต้องติดตามขบวนของเฉาหลงทุกเวลา ก่อนหน้านี้เขาต้องการยืมแรง ติดต่อกับลู่เซิ่งสำเร็จแล้ว ทว่าทิศทางในภายหลังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ พรรควาฬแดงพาคนส่วนใหญ่ถอนกำลังไป จากนั้นก็ไม่เคลื่อนไหวอีก

หลังจากเห็นป้ายหินแผ่นนั้น ลู่เซิ่งก็สะกดทัพไม่เคลื่อนไหวคล้ายรอสิ่งใด

พวกเหยียนไคจนใจ ประกาศรางวัลของตระกูลตู๋กูมีการจำกัดเวลา ถ้ายังไม่ทำอะไร คนที่ลำบากที่สุดคือว่านเหอจื่อ

ด้วยความจนปัญญา ทั้งสามได้แต่เคลื่อนไหวด้วยตนเอง

เหยียนไคยืนหน้าประตูหมู่บ้าน หันไปสบตากับต้วนหรงหรง

“ศิษย์พี่ ท่านอย่าได้เข้าไป รอตกดึกข้ากับหรงหรงจะเข้าไปเอง ท่านใช้ความสามารถแอบมองด้านนอก ขอแค่เจอคนก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องห่วง” เหยียนไคกล่าวเบาๆ

“จะได้อย่างไร!” ว่านเหอจื่อส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ข้าเป็นคนก่อเรื่อง ประกาศรางวัลก็เป็นข้ารับเอง ไม่เกี่ยวกับศิษย์น้องและหรงหรง เรื่องนี้ข้าจัดการเองก็พอ พูดถึงการเล่าเรื่องตลก ศิษย์พี่ยังมั่นใจอยู่บ้าง” เขายิ้มอย่างฝืนๆ

“ศิษย์พี่…” เหยียนไคเห็นความแน่วแน่ของว่านเหอจื่อ คนอย่างเขาบางครั้งก็เหลาะแหละยิ่ง แต่ยามจริงจัง ก็แน่วแน่และเชื่อถือได้ การตัดสินใจในเวลาที่เขาจริงจังไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่าพวกศิษย์น้องหวังดีต่อข้า แต่เรื่องนี้กล้าทำก็กล้ารับ ข้าหาเรื่องเอง ข้าต้องรับเอง” ว่านเหอจื่อกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ว่าแล้ว ก็ก้าวเข้าไปในหมู่บ้านหินอย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็สาบสูญไปในหมอกหนา

“ศิษย์พี่!” พวกเหยียนไคตั้งตัวไม่ทัน รีบไล่ตามไป แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือ ว่านเหอจื่อที่เพิ่งผละจากพวกเขาไปเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หายไปแล้ว

เวลานี้มืดมิดสงัดเงียบ หมอกขาวมัวซัว รอบๆ ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแม้แต่น้อย

เหยียนไคฉุดดึงต้วนหรงหรงคลำกำแพงเดินเข้าไปด้านใน มือกดบนกำแพงหินของหมู่บ้านที่หยาบเย็นยะเยือก บางครั้งคลำเจอตะไคร่น้ำที่เรียบลื่น มือก็ไถลไปอย่างไม่ตั้งใจ

ทั้งสองคนร้อนใจอยู่บ้าง ที่นี่เป็นสถานที่ยุ่งยากซึ่งยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสของพรรควาฬแดงเสียท่า ต่อให้พวกเขาทั้งสองคนมีประสบการณ์โชกโชน ก็ต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ คลำทางไปด้านหน้า การพุ่งเข้าไปเหมือนว่านเหอจื่ออันตรายเกินไป

“หรงหรง อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้!”

“ทราบแล้ว!”

เหยียนไคได้ยินคำตอบจากทางด้านหลัง จิตใจสงบลงเล็กน้อย พวกเขาสองคนเดินไปตามทางทุกที่โดยปลอดภัยไร้อันตราย อาศัยสายเลือดในร่างตอบสนองอันตรายและการคุกคามอย่างฉับไว ตอนนี้ในร่างไม่มีปฏิกิริยา ทุกอย่างยังดีอยู่

ขณะฉุดหรงหรงไปด้วย เหยียนไคค่อยๆ คลำกำแพงเข้าไป สองตาสองหูจดจ่อกับสภาพรอบๆ อย่างระมัดระวัง

ฟุ่บ

ทันใดนั้นด้านหน้ามีเงาคนผ่านแวบไปอย่างพร่ามัว คล้ายเป็นศิษย์พี่ว่านเหอจื่อ

“ศิษย์พี่!” เหยียนไคร้องขึ้น ลากต้วนหรงหรงไล่ตามไป

เงาคนกลับไม่หยุด หมุนรอบหนึ่ง ก่อนพุ่งขึ้นบันไดหิน จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในบ้านหินหลังหนึ่ง

เหยียนไคหยุดลง เพ่งมองด้านหน้า เห็นเป็นชายเสื้อของว่านเหอจื่อจริงๆ

เขาลังเลอีกรอบ กัดฟันแล้วปล่อยมือต้วนหรงหรง

“หรงหรงเจ้ารออยู่ด้านนอกประตู ข้าจะไปตามศิษย์พี่!”

“เจ้าค่ะ!”

เสียงของต้วนหรงหรงดังมาเบาๆ

เหยียนไคไม่คิดมาก ผลักประตูพุ่งตามเข้าไปในบ้านหิน

ด้านในเป็นลานว่างเปล่า ไร้เงาของว่านเหอจื่อ ไม่ทราบว่าวิ่งไปที่ไหนแล้ว

เหยียนไคชักกระบี่ออกจากด้านหลังช้าๆ จับจ้องรอบๆ อย่างระมัดระวัง เดินไปยังเรือนหลักของบ้านทีละก้าวๆ

แหมะ…

แหมะๆๆ…

ทันใดนั้นหยดฝนเท่าเม็ดถั่วตกลงมา

หมอกหนาเริ่มสลายหายไปด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้คล้ายถูกลมพัด ไม่กี่อึดใจ หมอกทั้งหมดก็หายไปโดยสิ้นเชิง

ครืน

สายฟ้าสายหนึ่งแลบขึ้นบนท้องฟ้า เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง ฝนเทกระหน่ำลงมา

เหยียนไคค่อยเห็นสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่

เขากำลังยืนกลางลานว่างในบ้านหิน ด้านหน้าเป็นโถงหลักของบ้านหินที่มีแสงสว่าง ประตูบ้านหินปิดอยู่ เห็นคนคนหนึ่งนั่งอยู่ มองเห็นได้รางๆ ผ่านกระดาษหน้าต่าง

เขาหรี่ตาถอยหลังช้าๆ ไอหมอกหายไปเร็วเกินไป ออกจะขัดหลักธรรมชาติอยู่บ้าง

ภาพต่างๆ ที่ปรากฏตรงหน้า วิธีที่คนในเรือนหลักปรากฏคล้ายกันมากกับเจ้าบ้านไม่หัวเราะในเรื่องเล่า

เขายังไม่ได้เตรียมตัวเผชิญกับเรื่องเล่าของที่นี่ตรงๆ

“เฮ้ย ที่นี่มีแสงไฟ ที่นี่ๆ! รีบมา!” ท่ามกลางสายฝน เงาคนอายุน้อยสวมเสื้อคลุมสามคนรีบวิ่งมาทางบ้านหิน

บ้านหินที่สว่างไสวเป็นเหมือนกับประภาคารในสภาพอาการที่มืดครึ้มมีฝนเทกระหน่ำ บ่งบอกว่ามีที่ให้หลบฝนและมีชาร้อนๆ ให้ดื่ม

เฉินจื่อกวงกับสวีเผย เดิมจะไปพักผ่อนในตัวเมืองที่อยู่ไม่ไกล แต่ดึกเกินไปยังไปไม่ถึง ระหว่างทางก็เสียเวลาโดยไม่คาดคิด จนป่านนี้ยังไปไม่ถึงตัวเมืองก็เจอฝนเข้าเสียก่อน ได้แต่วิ่งมาหลบฝนด้วยความจนปัญญา

รอจนถึงใต้ชายคาของบ้านหิน เสื้อคลุมยาวบนตัวเขาก็เปียกชุ่มแล้ว

“หวังว่าเสื้อผ้าในตะกร้าสะพายจะไม่เปียก ใครจะไปคิดว่าเกวียนเทียมวัวจะเพลาหัก เฮ้อ ครั้งนี้โชคร้ายจริงๆ” เฉินจื่อกวงถอนใจกล่าว

“นั่นน่ะสิ ข้าสอบมาสามครั้งแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ทุลักทุเลเช่นนี้” สวีเผยกล่าวอย่างอับจนปัญญาเช่นกัน

ทั้งสองคนพาเด็กรับใช้คนหนึ่งมาด้วย เป็นบัณฑิตที่เดินทางไปสอบในเมือง เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะเจอฝนกลางทางอย่างประจวบเหมาะแบบนี้

“ไปขอน้ำร้อนกับเจ้าบ้านของที่นี่มาดื่มกันเถอะ” เฉินจื่อกวงเสนอ

ก๊อกๆๆ

เด็กรับใช้รีบไปเคาะประตู

เสียงแอ๊ด ประตูเปิดออก มีคนด้านในเปิดออกมา

เหยียนไคมองคนทั้งสามนอกประตูอย่างประหลาดใจ เวลานี้ยังมีคนมา

“พวกท่าน…”

“บังอาจถามท่านเป็นเจ้าบ้านใช่หรือไม่” สวีเผยรีบเข้ามาถามด้วยมารยาท

“ไม่…ข้าเพียงแค่มาหลบฝนเท่านั้น” เหยียนไคไม่ทราบที่มาของคนทั้งสาม จึงกล่าวปิดบัง

“พอดีเลย พวกเราก็มาหลบฝนเหมือนกัน” พวกเฉินจื่อกวงตาเป็นประกาย

“ผู้มาด้านนอกเป็นใคร” ทันใดนั้นในบ้านแว่วเสียงกระจ่างชัด ประตูไม้เรือนหลักของบ้านหินถูกดึงออก ชายฉกรรจ์หน้าบากร่างล่ำ แบกดาบเหล็กสาวเท้าออกมา

“พวกท่านก็มาหลบฝนเหมือนกันหรือ” เขาจ้องพวกเหยียนไคอย่างระวังตัว

“เอ่อ…” เหยียนไคคิดไม่ถึงว่าคนที่นั่งด้านในจะเป็นชายฉกรรจ์หน้าบาก พลันสับสน

“ศิษย์น้อง! ข้าอยู่ที่นี่!” เวลานี้ในบ้านมีคนคนหนึ่งเดินออกมา เป็นว่านเหอจื่อ เขาประคองเศษกระเบื้องแตกอยู่ที่ปาก คล้ายกำลังดื่มน้ำ

“เหตุใดเจ้ามาคนเดียว หรงหรงเล่า” ว่านเหอจื่อถามอย่างสงสัย “เมื่อครู่หมอกหายไปหมด ข้าเข้าประตูมาเห็นพี่ชายท่านนี้กำลังดื่มน้ำพักผ่อนอยู่ในบ้าน จึงขอเขามาหน่อยหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังจากด้านนอก”

“ที่แท้ทุกคนมาหลบฝนนี่เอง” ชายฉกรรจ์กระจ่างแจ้ง “ถ้าไม่รังเกียจ ก็เข้ามาพักผ่อนเถอะ บ้านนี้แม้จะไม่เป็นระเบียบ แต่อย่างไรก็กันฝนได้”

……………………………………….