บทที่ 163 ท่านหวยจินหายไปแล้ว

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ในสมองของเจ้านอกจากเรื่องสตรีแล้วยังมีเรื่องอื่นได้อีกหรือ?” จี้ฮ่วนไม่ใส่ใจกับคำพูดของกู่จิง ในใจรู้สึกว่าคำอธิบายของกู่หานนั้นค่อนข้างชัดเจน

“ท่านหวยจินเป็นคนพูดเองไม่ผิดแน่!” กู่จิงขมวดคิ้ว

“ฮ่า!” จี้ฮ่วนหัวเราะแผ่วเบา “ข้าขอร้องเจ้าล่ะ นอกเหนือจากคำสั่งแล้ว อย่าเชื่อคำพูดของท่านจะดีที่สุด”

แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่บางคราวจี้ฮ่วนเองก็ถูกซ่งชูอีลากลงคูน้ำโดยไม่รู้ตัว ทว่าอย่างน้อยเขาก็ยังไม่เหมือนกู่จิงที่ประหนึ่ง “เชื่อท่านแล้วจะมีชีวิตนิรันดร์”

“ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง” กู่หานกล่าวคำหนึ่งก่อนก้าวเท้ากลับไปพักผ่อนที่ห้อง เพิ่งจะเดินถึงเฉลียงจู่ๆ ก็ราวกับว่านึกถึงเรื่องสำคัญได้ “ท่านมีคำสั่งให้รีบเดินทาง เตรียมตัวออกเดินทางในอีกสองชั่วยาม”

“เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนใจรวดเร็วนัก” จี้ฮ่วนบ่นพึมพำ จี้ฮ่วนคุ้นเคยกับการเดินทัพ บางคราวในระหว่างการเดินทัพก็อาจมีการเปลี่ยนแผนเดิมในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งอาจทำให้กำลังใจเหล่าทหารไหวเอนซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม

กู่จิงเอ่ย “เมื่อครู่พี่จี๋ดูสภาพลม หรือว่าสภาพลมมีการเปลี่ยนแปลง?”

จี้ฮ่วนมองค้อนเขา ยิ้มเอ่ย “อะไรกัน เมื่อครู่ท่านมิได้หมายถึงของลับของผู้หญิงหรอกหรือ?”

“นี่มันแปลกตรงไหน! บางทีสิ่งที่ท่านพูดกับสิ่งที่พี่จี๋พูดอาจไม่เหมือนกันก็ได้!” กู่จิงอธิบาย ท่าทางคล้ายกับว่า “ท่านพูดถูกเสมอ”

จี้ฮ่วนไม่ได้พูดอะไร หากความคิดต่างสู้ไม่เสวนาจะดีกว่า เขาแอบเขยิบยืนไปด้านข้าง

ทั้งราตรีเงียบสงัด

ครั้นฟ้าใกล้สว่าง ในลานก็เริ่มมีความเคลื่นไหว เหล่ามือดาบต่างทยอยออกมานอกห้อง

จี๋อวี่เข้าไปในห้องของซ่งชูอีแล้วร้องตะโกนอยู่สองสามรอบก็ได้ยินเสียงเสียงตอบรับคลุมเครือ จึงหลบเลี่ยงผู้คน ม้วนนางไปพร้อมกับเสื่อและผ้านวม จากนั้นก็แบกออกจากห้องและลงเรือไป

กู่หานเตรียมการเดินทางโดยน้ำไว้แล้ว หลังจากทุกคนลงเรือ เตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพก็ออกเดินทางไปยังรัฐสู่อย่างราบรื่น

สายลมพัดโชยอ่อน แสงแดดสว่างสดใส

เดินทางมาทั้งวัน ขณะใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ กู่จิงวิ่งออกมาจากห้องโดยสารพร้อมตะโกนร้อง “ท่านหายไปแล้ว!”

“หายไปแล้ว?” กู่หานตื่นตกใจ ตั้งแต่ลงเรือก็ไม่เห็นซ่งชูอีเลยนี่นา! เขาสงบสติอารมณ์ หันไปถามจี๋อวี่ “เมื่อเช้าพี่จี๋วางท่านไว้ที่ใด?”

“เรือลำนี้มีห้องนอนเพียงห้องเดียวมิใช่หรือ?” จี๋อวี่เอ่ย

“ใช่ มีเพียงห้องเดียว ทว่าข้าหาแล้วท่านมิได้อยู่ข้างใน” กู่จิงเอ่ย

ซ่งชูอีคือหัวใจหลักของการเดินทางครั้งนี้ ไม่สามารถเกิดอุบัติภัยใดๆ กับนางได้โดยเด็ดขาด บัดนี้ทุกคนค่อนข้างกระวนกระวายใจ กู่หานเอ่ย “ไม่ต้องตื่นตระหนก พวกเราเข้าไปตามหา”

ครั้นพูดจบกู่หานก็ไอแห้งทีหนึ่ง เมื่อครู่กู่จิงโหวกเหวกโวยวายเพียงนี้ อย่าว่าแต่บนเรือเลย เกรงว่าทั้งสองฝั่งก็ได้ยินอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ

หลายคนเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ ค้นหารอบหนึ่ง กู่หานกระซิบถาม “พี่จี๋ ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมว่าคนที่เดินหมากกับท่านหวยจินเมื่อคืนจะลักพาตัวท่านไป? ข้าดูว่าเขามิได้มีจุดประสงค์ดี”

ในห้องโดยสารนั้นสามารถมองเห็นทุกอย่างในแวบเดียว ไม่มีสถานที่ให้หลบซ่อนได้ อีกทั้งแม้ว่าซ่งชูอีจะไม่ใช่คนจริงจังกระไร แต่ก็ไม่ไร้สาระจนเล่นตลกถึงขั้นนี้

จี๋อวี่ขมวดคิ้ว เอ่ยถามกู่จิง “หาที่อื่นแล้วหรือ?”

“ที่หาได้ก็หาหมดแล้ว” กู่จิงกุมศีรษะครุ่นคิดว่ายังมีที่ใดที่ยังมิได้ค้นหาบ้าง

“สั่งให้คนค้นเรือเถิด” จี๋อวี่มองไปยังกู่หาน เรือลำนี้ไม่ใหญ่ อีกทั้งไม่มีห้องลับหรือซอกหลืบใด คนทั้งคนอยู่บนเรือเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหาไม่เจอ

“คงทำได้แค่นี้เท่านั้น” กู่หานพยักหน้า ออกไปสั่งให้ตามหาคน

พระอาทิตย์กำลังตกดิน ทุกคนในเรือต่างกำลังวุ่นวาย

หลังจากผ่านไปสองถ้วยน้ำชา ทั้งสี่สิบกว่าคนก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ

ทุกคนต่างยิ่งร้อนใจขึ้นทุกที พวกกู่หานเป็นมือดาบที่รัฐฉินทุ่มเทแรงกายแรงใจฝึกฝน ทุกครั้งก็เพื่อปกป้องขุนนางชั้นสูงของต้าฉิน ด้วยเหตุนี้แม้ว่าซ่งชูอีจะเป็นเพียงจู่ซย่าสื่อที่มิได้มีอำนาจใหญ่โตกระไร พวกเขาก็มิกล้าสงสัยในความสำคัญของนางที่มีต่อต้าฉินเลยแม้แต่น้อย หากคนหายไปก็ใช้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาศีรษะแลกกลับมาได้?

“มีใครแตะต้องสิ่งของในห้องนอนหรือไม่?” จี๋อวี่ถาม

เงียบงันไม่นานก็มีมือดาบผู้หนึ่งก้าวออกมา “ก่อนจะลงเรือ หัวหน้าสั่งให้เก็บกวาดห้องนอน ข้าไปปล่อยเบาจึงไม่ทันได้เก็บกวาดล่วงหน้า ฉะนั้นเมื่อเรือออกแล้วจึงรีบเก็บกวาดทันที มิได้แตะต้องอย่างอื่นเลย เพียงแค่นำกองเสื่อและผ้านวมไปไว้ใต้ดาดฟ้าเพื่อเปลี่ยนผ้านวมใหม่ขอรับ”

ไม่กี่คนที่รู้เรื่องเหงื่อแตกอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่กู่จิงก็อุทานเสียงหนึ่ง

“เจ้าไม่รู้สึกว่าในผ้านวมนั่นมีความผิดปกติใดรึ?” กู่หานถามอย่างอ่อนแรง

ในใจของมือดาบเปี่ยมด้วยความงงงวย ทว่าก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา “หนักนิดหน่อยขอรับ”

เดิมทีจี๋อวี่มิใช่คนที่อ่อนโยนและพิถีพิถัน เขาม้วนผ้านวมออกมาอย่างไรก็ทิ้งไว้ในห้องโดยสารเรืออย่างนั้น หากซ่งชูอีเป็นคนนอนด้วยความเรียบร้อยและอยู่ท่าเดิมตลอด มือดาบจะไม่รู้ได้เยี่ยงไรว่าคนอยู่ข้างใน? ประเด็นสำคัญคือนางถูกผ้านวมห่ออย่างไร้ระเบียบ ขณะที่ลงเรือยามเช้ามีเพียงแสงสลัว มือดาบพยายามรักษาเวลาท่ามกลางความตื่นตระหนก จึงมัดทุกอย่างรวมกันลวกๆ แล้วทิ้งไว้ใต้ดาดฟ้า มิได้แบกมันไว้ดังที่จี๋อวี่ทำ

“ยังไม่รีบไปเอาผ้านวมใต้ดาดฟ้าลงมาอีก!” กู่หานเอ่ยโมโห

มือดาบเข้าใจสาเหตุทันใด สีหน้าซีดเผือก ตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วรีบวิ่งไปยังใต้ดาดฟ้า

ซ่งชูอีเป็นคนประเภทตราบใดที่ไม่เห็นแสงสว่างก็สามารถนอนได้ตลอดเวลา นางอยู่ข้างในก็ยังมิตื่นขึ้นมาเลย

ภายในห้องโดยสารเรือนั้นมืดเกินไป มือดาบจึงทำได้เพียงถือไฟลงไป

ทันทีที่เขาลงบันไดก็หยุดยืนอยู่บนกระดานเรือ หันไปเห็นมือข้างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากห่อสัมภาระด้านหน้า ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสิ่งที่มีขนปุกปุยสีดำทะมึนก็โผล่ออกมา

มือดาบก็นับว่าเห็นโลกมามาก ทว่าสีเลือดบนใบหน้าก็ยังจางหายไปบ้าง มือหนึ่งถือไฟ มืออีกข้างกดที่ด้ามดาบโดยไม่รู้ตัว เอ่ยเรียกอย่างไม่มั่นใจ “ท่าน?”

“อืม” เสียงอู้อี้ดังมาจากข้างใน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคำราม “เจ้าคนเฮงซวยที่ไหนที่มัดข้าไว้กับผ้านวมแน่นเยี่ยงนี้!”

มือดาบไม่ใส่ใจที่จะซับเหงื่อ รีบแก้สัมภาระโดยเร็ว

ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งอก ปีนออกมาจากด้านในด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง มองดูภายในเรือแล้วเอ่ยถาม “ฟ้ายังไม่สว่างรึ?”

“เรียนท่าน ฟ้าใกล้มืดแล้วขอรับ” มือดาบยกตะเกียงน้ำมันขึ้นพร้อมเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านต้องการจะขึ้นไปหรือไม่?”

ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง สมองก็ค่อยๆ ตื่นตัวขึ้น นางมองกองข้าวของที่อยู่โดยรอบแล้วมองอาการของมือดาบ รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ “เกิดอะไรขึ้น? อวี่กับหานเล่า?”

เหตุใดนางจึงซ่อนตัวอยู่ใต้ท้องเรือ? อีกทั้งไม่เห็นสองคนนั้นด้วย?

“พวกเขารอท่านอยู่ด้านบนขอรับ” มือดาบกล่าวอย่างขลาดกลัว

ซ่งชูอีสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง จำได้ว่าเขาคือมือดาบที่นางพามาจริงๆ อีกทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่ปกติแล้วเย้านางเล่นเป็นครั้งคราว จึงกล่าวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ไปเถิด”

ครั้นออกมาที่ชั้นดาดฟ้า ลมแม่น้ำพัดโชยมาอย่างแผ่วเบา อากาศสดชื่นจนทำให้ซ่งชูอีสำลัก นางจึงพบว่าเมื่อครู่ตนเกือบขาดอากาศหายใจตายอยู่เบื้องล่างแล้ว

“ท่าน!” กู่จิงก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหา

จี๋อวี่เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว กู่หานกระแอมไอ “บัดนี้สายมากแล้ว ท่านทานข้าวเถิด”

ซ่งชูอีหรี่ตา

จมูกที่เฉียบคมของกู่หานได้กลิ่นภยันตราย หมุนตัวกลับไป สองมือไพล่หลังมองท้องฟ้า พูดคุยกับจี๋อวี่ “วันนี้สภาพลมไม่เลวเลย!”

จี๋อวี่อึ้งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเย็นชา “เจ้ากำลังเย้าผู้ใด?!”

กู่หานหันไปก็เห็นจี๋อวี่จากไปด้วยความไม่พอใจ อดที่จะประหลาดใจมิได้ เขาเพียงพูดว่า ‘วันนี้ลมพัดอย่างราบรื่น สามารถเร่งเดินทางได้’ นี่นับว่าเย้าตรงไหน?

อย่างไรก็ดีกู่หานก็เข้าใจในทันที จี๋อวี่สมกับที่เคยเป็นนายพลจริงๆ สมองทำงานได้อย่างรวดเร็ว รีบหาข้ออ้างที่จะหลบหนี เพียงแต่ข้ออ้างนั้นดูแข็งฝืนไปหน่อยเท่านั้นเอง