บทที่ 164 แลกมาด้วยชีวิต

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีสงบลงแล้วใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนก็สามารถคาดเดาเรื่องราวได้แปดถึงเก้าส่วน

มือดาบเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูง หากมีคนคิดจะสังหารซ่งชูอีจริงๆ ก็ไม่อาจเล็ดลอดไปจากเงื้อมมือของพวกเขาเป็นแน่ เรื่องที่จับนางมัดไว้ใต้ดาดฟ้าเรือ…เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น

“เจ้าพวกงี่เง่านี่!” ซ่งชูอีนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง หัวเราะด่าเสียงหนึ่ง ก้มหน้าค่อยๆ เรียงกระดานหมากอย่างที่เล่นกับ

หมิ่นฉือเมื่อคืน

ราวกับว่าไม่ถือโทษโกรธเคืองเลย

ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน บนเรือก็มีบรรยากาศแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าซ่งชูอีมองใครก็ตาขวาง คนที่หัวเราะก็เสียวสันหลังวาบ มีเพียงกู่จิงที่ทำตัวเหมือนปกติ วันทั้งวันเมื่อกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำก็ไปคุยเล่นกับซ่งชูอี

ทุกคนอดที่จะถอนหายใจอย่างลับๆ มิได้ คนเขลาช่างมีความสุขแบบเขลาๆ ดีจริง! อย่างน้อยช่วงเวลาก่อนที่หัวจะหลุดจากบ่าก็ยังมีความสุข ไม่เหมือนพวกเขาที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ

“ท่าน” เสียงคนดังขึ้นจากด้านนอก

กู่จิงกำลังดูซ่งชูอีเดินหมากกับตัวเอง ครั้นได้ยินคนรบกวนก็ลุกขึ้นออกไปข้างนอกทันที ตำหนิเสียงเบา “หยา ท่านกำลังใช้ความคิด เจ้าตะโกนอะไร?”

กู่หยามีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผาก คงมิได้คิดว่าจะทรมานเขาเยี่ยงไรดอกกระมัง!

เสียงเกียจคร้านของซ่งชูอีดังมาจากในห้อง “เข้ามาเถิด”

กู่หยาเดินเข้ามาในห้อง ไม่กล้าเงยหน้ามองซ่งชูอี ค้อมตัวประสานมือเอ่ย “สามวันก่อนเพราะข้าน้อยสะเพร่านำท่านไปไว้ที่ใต้ดาดฟ้าเรือ ได้โปรดท่านลงโทษด้วย!”

“สามวันก่อนหรือ…” ซ่งชูอีลากเสียงยาว

กู่หยาค้อมตัวต่ำยิ่งกว่าเดิม ครั้นได้ยินน้ำเสียงของซ่งชูอีในตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาไม่น่าเลียนแบบจี๋อวี่เลย น่าจะมายอมรับผิดตั้งนานแล้ว!

เนื่องจากเมื่อก่อนซ่งชูอีเย้าเล่นกับพวกเขาอยู่เสมอ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ใคร่เข้าใจนิสัยของนางอย่างลึกซึ้งนักและมิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ทว่าเมื่อได้เห็นว่าสามวันนี้จี๋อวี่กับกู่หานหลบหน้าไปโดยปริยาย ทุกคนจึงตระหนักได้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

“ข้าน้อยสมควรตาย!” กู่หยาคุกเข่าข้างหนึ่ง

คำพูดนี้มิได้หลอกลวงเลย หากซ่งชูอีต้องการเอาผิดจริงๆ เขาก็สมควรที่จะรับโทษกับสิ่งที่ทำไปอย่างแท้จริง ตั้งแต่ไรมาก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีนายทหารคนไหนเอาท่านแม่ทัพไปทิ้งเลย!

“ข้าจะจำไว้ก่อน ข้าก็ไม่ได้มีเวลาคิดว่าจะลงโทษเจ้าเยี่ยงไร” ซ่งชูอีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

กู่หยาเงยหน้าเล็กน้อย สีหน้าเหลือเชื่อ เขาก็พ้นโทษไปง่ายๆ เยี่ยงนี้หรือ?

ซ่งชูอีรู้สึกได้ถึงแววตาของเขา จึงละความสนใจออกไปจากกระดานหมาก หันไปมองเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ข้าก็มิใช่คนที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ทว่าหากไม่ลงโทษก็ยากที่จะสร้างบารมี แต่ว่า เมื่อใคร่ครวญดูแล้วบัดนี้กำลังเร่งเดินทาง ไม่สะดวกที่จะพาคนเจ็บปางตายไปด้วย ดังนั้นจึงจดจำการลงโทษนี้ไว้ก่อน หากเจ้าสามารถสร้างประโยชน์ได้ดี ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณายกเลิกความผิดนี้ไปเสีย”

“ขอบคุณท่าน!” กู่หยาดีใจอย่างยิ่ง

“อืม ไปเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

“ขอรับ!” กู่หยาเดินออกมาจากห้องของซ่งชูอีด้วยความโล่งใจ

เมื่อทุกคนเห็นว่ากู่หยาออกมาครบสามสิบสองประการ อดที่จะประหลาดใจมิได้และรีบห้อมล้อมเข้าไปถาม

“ท่านใจกว้างมาก อนุญาตให้ข้าสร้างผลงานเพื่อชดเชยความผิด” กู่หยาเอ่ยชมซ่งชูอีอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

เมื่อหวนคิดดูแล้ว ซ่งชูอีค่อนข้างขึงขังเวลาที่ออกคำสั่ง นอกเหนือจากนั้นก็เข้าหาได้ง่าย ไม่เคยวางมาด กินและเดินทางร่วมกับพวกเขา มีความภักดีเป็นอย่างยิ่ง

ดวงอาทิตย์สาดแสงผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง มุมปากของซ่งชูอีทำมุมยิ้มบางๆ “เรียกกู่หานเข้ามา”

กู่จิงตอบรับแล้วออกไป

ผ่านไปไม่นาน กู่หานก็ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา แม้แต่เสื้อผ้าก็ลืมจัดระเบียบให้เรียบร้อย เอ่ยขึ้น “ท่าน”

“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีโยนตัวหมากรุกในมือลงไปในชาม นั่งตัวตรง

กู่หานเข้ามาในห้อง เห็นซ่งชูอีส่งสัญญาณให้เขานั่งลงก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะคุกเข่าลงบนเบาะ เอ่ยถาม “ท่านมีเรื่องใดจะสั่งหรือ”

ครั้นได้ยินวาจาของกู่หยาเมื่อครู่ว่าซ่งชูอีไม่มีเวลาว่างคิดว่าจะลงโทษเขาเยี่ยงไร กู่หานก็แสดงความสงสัย ทว่าต้องยอมรับว่าบัดนี้ซ่งชูอีมีเรื่องให้คิดมากมาย การยึดครองปาสู่นั้นหาใช่ทำได้เพียงชั่วข้ามคืน จำต้องวางแผนอย่างแยบยล

“ติดต่อกับองค์ชายจี๋ได้แล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กู่หานเอ่ย “ยังขอรับ”

“รีบติดต่อโดยเร็ว” หลายวันนี้ซ่งชูอีได้คิดแผนการโดยสังเขปแล้ว ทว่าเพียงต้องการความเชื่อมั่นและแรงสนับสนุนจากอิ๋งซื่อ

“ขอรับ” กู่หานนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าการอภิเษกสมรสระหว่างฉินเว่ยดูเหมือนจะถูกกำหนดแล้ว”

ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดไว้ ซ่งชูอีไม่ประหลาดใจนัก เพียงแต่เอ่ยถาม “มีความเคลื่อนไหวใดในรัฐอื่นไหม?”

กู่หานกล่าว “รัฐอื่นค่อนข้างตื่นตระหนกทว่าไร้ความเคลื่อนไหว เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง องค์หญิงแห่งราชวงศ์โจวถูกสองรัฐขอแต่งงาน รัฐเจ้าและรัฐเว่ยต้องการสมรสกับพระธิดาองค์โตของโจวเทียนจื่อ”

แม้โจวเทียนจื่อจะอายุย่างห้าสิบแล้ว ทว่าพระธิดาองค์โตอายุเพียงสิบเจ็ดเท่านั้น โจวฮองเฮามีพระโอรสสององค์และพระธิดาหนึ่งองค์ เด็กสาวผู้นี้อยู่ในวัยที่ออกเรือนได้แล้วและเป็นองค์หญิงที่มีสายพระโลหิตโดยตรงที่สุดจากราชวงศ์โจว จึงถูกมองว่าเป็นไข่มุกในกำมือโดยธรรมชาติ

“ขอแต่งงาน? หึ ข้าว่าบังคับให้แต่งงานมากกว่า!” ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นในชาติที่แล้วของซ่งชูอี เมื่อคิดว่าเว่ยอ๋องอายุปูนนี้แล้วก็อดหัวเราะมิได้ “เว่ยฮองเฮาก็สุขสบายดีมิใช่หรือ? เขาให้องค์รัชทายาทไปขอแต่งงานงั้นหรือ? องค์รัชทายาทก็มีพระชายาอยู่แล้วกระมัง”

“ว่ากันว่าสองเดือนก่อนพระชายาแห่งองค์รัชทายาทเว่ยมีภาวะคลอดบุตรยาก…สิ้นแล้วขอรับ” ครั้นซ่งชูอีถามเช่นนี้

กู่หานพลันรู้สึกว่าพระชายาขององค์รัชทายาทเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ “รัฐเจ้ากับเว่ยกำลังอยู่ในสงครามที่ยากจะปลีกตัวกระมัง!”

เป้าหมายของรัฐเว่ยนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง พวกเขากำลังดึงพันธมิตรจากทุกสารทิศ ข้อแรกเพื่อสร้างความสงบโดยรอบ และหลีกเลี่ยงมิให้ผู้คนฉวยโอกาสโจมตี ข้อที่สอง เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐเว่ยมิใช่พยัคฆ์ร้ายดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ลำพังต่อสู้กับรัฐเจ้าก็แทบจะสูญเสียความเกรียงไกร

“ขอรับ ทั้งสองรัฐสู้รบกันเกือบสามเดือนแล้ว รัฐเว่ยได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ยึดครองพื้นที่สิบลี้ของรัฐเจ้าไว้ได้” บัดนี้

กู่หานยังคิดไม่ออกว่าเป้าหมายของการ “บังคับแต่งงาน” ของสองรัฐนี้คือสิ่งใด

เรื่องเหล่านี้ไม่ใคร่เกี่ยวข้องกับกู่หานนัก สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าในตอนนี้ก็คือเหตุใดซ่งชูอีจึงมิได้ลงโทษเขา!

กู่หานในฐานะหัวหน้าของมือดาบ เขามีส่วนรับผิดชอบเป็นอย่างมากจากการที่ซ่งชูอีถูกมัดแล้วถูกทิ้งไว้ใต้ดาดฟ้าเรือ จะว่าไปแล้วกู่หานเพียงคลุกคลีกับซ่งชูอีในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และยังมิได้รู้จักนางดีนัก เขายอมรับว่าครั้งนี้เขามิได้เอ่ยปากรับผิดก่อน ทั้งหมดทั้งปวงก็เพราะมิได้เห็นและปฏิบัติต่อซ่งชูอีเหมือนขุนนางผู้มีอำนาจเหล่านั้น แต่ต้องการเห็นมากกว่าว่านางจะจัดการกับเรื่องนี้เยี่ยงไร

สาเหตุที่ทำเยี่ยงนี้ เพราะกู่หานคาดเดาได้ว่าฝ่าบาทวางแผนที่จะให้พวกเขารับใช้ซ่งชูอีในระยะยาว เขาไม่เชื่อว่า

ซ่งชูอีจะสามารถแบกรับอนาคตของต้าฉินไว้ได้ และไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจในกลยุทธ์ต่างๆ ของนางจะคุ้มค่ากับชีวิตของพวกเขา

สำหรับการลงโทษนั้น กู่หานจะแบกรับไว้เอง

ซ่งชูอีเงียบงันไม่ตัดสินใจเสียที ในที่สุดกู่หานก็ทนไม่ไหว “ท่าน สามวันก่อนข้าน้อยล้มเหลวในการควบคุมดูแล ทำให้ท่านต้องอับอาย ได้โปรดท่านลงโทษด้วย”

เอาผู้บังคับบัญชาไปทิ้ง เขารู้สึกอับอายเล็กน้อยที่ต้องเอ่ยออกมา

ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ แสยะยิ้มเอ่ย “เดิมทีข้าต้องการจะทำให้เจ้าประหลาดใจ ในเมื่อเจ้าถามขึ้นมา…” พูดพลาง จู่ๆ ก็ขึ้นเสียงสูง “กู่จิง ห้ามให้คนเข้าใกล้ในระยะสองจั้ง!”

“ขอรับ!” เสียงแหบแห้งของกู่จิงดังขึ้นจากด้านนอก

จากนั้นไม่นาน กู่จิงก็เข้ามารายงานว่าได้จัดการตามสมควรแล้ว จากนั้นตนก็ถอยห่างออกไปนอกรัศมีสองจั้ง

“ข้าไปรัฐสู่คราวนี้ ไม่คิดจะกลับรัฐฉินแล้ว ฝ่าบาทมีความชัดเจนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฝ่าบาทจะต้องหาแพะรับบาป” ซ่งชูอีกล่าวอย่างกระชับ

กู่หานเงยหน้าพรวด แต่กลับเผชิญกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจางๆ ของซ่งชูอี

ทำคนของต้าฉินหายไป หากความผิดประเภทนี้ไปอยู่ในมือของอิ๋งซื่อแล้วล่ะก็ การที่สามารถเป็นศพที่ครบสามสิบสองก็นับว่าโชคดีมากแล้ว เหงื่อเย็นซึมทั่วตัวกู่หาน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาเพียงต้องการโยนหินถามทางเท่านั้นแต่กลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้!

“นี่คือส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะพลีชีพเพื่อต้าฉิน ก็สามารถหนีไปได้ตอนนี้เลย ข้าจะเห็นแก่มิตรภาพ หากวันนี้เจ้าไม่พูดข้าก็จะไม่ปากสว่าง และนี่ก็เป็นโอกาสของเจ้าที่จะต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดเช่นกัน” สาเหตุที่ซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ก็เพื่ออยากมั่นใจว่าเขาจะไม่หนีไป คนที่อิ๋งซื่อเชื่อมั่นอย่างหมดใจจะไม่มีทางอ่อนแอเยี่ยงนี้

กู่หานเม้มปากแน่น เงยหน้าจับจ้องซ่งชูอี กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าอยากรู้ว่าท่านวางแผนที่จะได้ผลลัพธ์นี้ตั้งแต่แรกแล้วหรือว่าท่านเพิ่งวางแผนเมื่อไม่กี่วันมานี้”

“ไม่ว่าจะวางแผนตั้งแต่แรกหรือเพิ่งวางแผน คนที่สามารถเป็นแพะรับบาปได้มิได้มีเพียงเจ้าคนเดียว ทว่าข้าจะเก็บกู่จิงไว้แล้วส่งเจ้าไปแทน” ซ่งชูอีกล่าว

“เพราะว่าเขาปฏิบัติต่อท่านดุจเทพแต่ข้าไม่ใช่?” สีหน้าของกู่หานไร้อารมณ์ ดูเหมือนมีการเยาะเย้ยในคำพูด

“สำนักยุทธพิชัยมีคำกล่าวว่า ‘ท่านแม่ทัพฟังแผนข้าและนำมาซึ่งชัยชนะก็อยู่ต่อ ท่านแม่ทัพไม่ฟังแผนข้าและนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ก็จากไป’” ซ่งชูอีหยิบหมากสีดำขึ้นมาจากถ้วยแล้วเล่นด้วยความกะตือรือร้น “หากข้าต้องการชัยชนะแต่ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ก็ทำได้เพียงกำจัดแม่ทัพที่ไม่เชื่อฟังคนนั้นเสีย!”

คำกล่าวของสำนักยุทธพิชัยนี้ ใจความหลักก็คือ หากผู้บังคับบัญชาฟังกลยุทธ์ของข้าก็จะได้ชัยชนะมาอย่างแน่นอน ส่วนข้าก็มีความหมายที่จะอยู่ต่อ หากผู้บังคับบัญชาไม่ยอมรับกลยุทธ์ของข้า การบังคับใช้ก็จะล้มเหลว สู้ข้าด่วนจากไปเสียดีกว่า

สำหรับซ่งชูอีแล้ว กู่หานยังห่างไกลจากตำแหน่ง “ผู้บังคับบัญชา” มากนัก นางไม่มีความจำเป็นต้องรอให้เขาค่อยๆ ทดสอบก่อนที่จะมอบความเชื่อมั่นแก่นาง

“หากแขนของข้าไม่เชื่อฟังคำสั่ง บางคราวข้าก็คิดที่จะบีบคอตัวเองเพื่อดูว่าข้าจะมีปฏิกิริยาเยี่ยงไร ข้าก็อาจมีความอดทนในการจัดระเบียบในยามว่าง แต่ถ้าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ สู้ตัดแขนทิ้งแต่เนิ่นๆ เสียดีกว่า” การเปรียบเปรยของซ่งชูอีไม่ใคร่ใกล้เคียงเท่าไรนัก ทว่าเห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่ง

ในที่สุดกู่หานก็เข้าใจแล้วว่าซ่งชูอีเป็นคนที่น่ากลัวเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าตามปกติแล้วซ่งชูอีจะจัดการกับเขาเยี่ยงไร ทว่าบัดนี้กลับต้องแลกมาด้วยชีวิต

ครั้นได้ผลลัพธ์เยี่ยงนี้ เขาก็เบาใจลงมาบ้าง หากซ่งชูอีมีความสามารถช่วยรัฐฉินยึดครองปาสู่ได้จริง เขาก็ตายตาหลับแล้ว

ท่ามกลางความตกตะลึงของกู่หานนั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าหากเขาต้องตายจริงๆ ซ่งชูอีจะยอมเปลืองน้ำลายพูดกับเขามากมายเพียงนี้ทำไมกัน?

เรื่องราวก็ผ่านไปเช่นนี้ บนเรือลำนี้นอกเหนือจากจี๋อวี่และกู่หานแล้ว คนที่เหลือล้วนซาบซึ้งกับความยุติธรรมอันลึกซึ้งและความใจกว้างของซ่งชูอี แม้แต่จี้ฮ่วนก็ชื่นชมที่จิตใจของนางกว้างขวางมากกว่าเดิมแล้ว

จี๋อวี่ประหลาดใจ แม้ว่าซ่งชูอีจะม้วนผ้านวมเป็นก้อนกลมอย่างยุ่งเหยิงเอง ทว่ามันก็จบลงด้วยการถูกจับมัดแล้วโยนลงไปใต้ดาดฟ้าเรือ แต่นางเป็นคนที่มีเหตุมีผลเพียงนั้นเชียวหรือ? ไม่ได้หาเรื่องคนอื่นจริงหรือ?

อีกอย่าง นี่คือหนึ่งในข้อดีที่เขาไม่เคยค้นพบในอดีตเช่นนั้นหรือ?