บทที่ 165 ผู้สิ้นสุดชะตากรรม

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ปาและสู่สองรัฐมีชายแดนติดกัน เดินทางด้วยน้ำไม่นานก็เข้าสู่ดินแดนรัฐสู่แล้ว

ระหว่างทางซ่งชูอีไม่มีท่าทีว่าจะแก้แค้นใดๆ ตามปกติหากไม่ก้มหน้าดูแผนที่ปาสู่ก็นั่งคุกเข่าอยู่หน้ากระดานหมากรุกเล่นหมากกับตัวเอง จี๋อวี่ทนไม่ไหวนึกว่าตัวเองใช้น้ำใจคนต่ำต้อยมาประเมินวิญญูชนเสียแล้ว

เรือและขบวนรถม้าที่เดินทางมาจากรัฐปาไปยังรัฐสู่ต่างได้รับการตรวจขันอย่างเข้มงวด ไม่ว่าซ่งชูอีและคณะจะแต่งตัวเยี่ยงไรก็น่าสงสัยเป็นอย่างมาก บนเรือไม่มีสินค้าอยู่เลย หากแอบอ้างว่าเป็นขบวนพ่อค้าก็เป็นไปไม่ได้ ซ่งชูอีจึงหยิบตราและหนังสือรับรองแห่งรัฐออกมาเพื่อเข้ารัฐสู่ในฐานะราชทูตจากรัฐฉิน

ตลอดทางมานี้ กู่หานเข้มงวดและทำงานหนักกว่าเมื่อก่อน เดิมทีก็เป็นคนที่มิได้มีอารมณ์ขันอยู่แล้ว จึงยิ่งดุดันมากกว่าเดิม

ซ่งชูอีชื่นชมในจุดนี้ของกู่หานมาก ความตั้งใจอย่างหนักของเขาในช่วงหลังไม่ใช่เพื่อโอกาสที่จะอยู่รอด แต่เพื่อความภักดีต่อบ้านเมืองเป็นสำคัญ จึงได้เพิ่มขีดความสามารถของตัวเองจนถึงที่สุด

ในฐานะราชทูตแห่งรัฐฉิน ซ่งชูอีจึงไม่พาเว่ย์เจียงไปอีก ด้วยเหตุนี้นางจึงสั่งให้จี๋อวี่และจี้ฮ่วนพานางแยกทางกันก่อนที่จะเข้านครหลวง

ซ่งชูอีมองดูนครในสายหมอกจากที่ไกลๆ อยู่บนเรือ

กู่หานเข้ามากระซิบเสียงเบา “ท่านขอรับ ติดต่อองค์ชายจี๋ได้แล้ว”

“หาวิธีส่งสาร เชิญให้เขากลับไปยังรัฐฉินทันที” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่หานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับทันใด “ขอรับ”

ครั้นเห็นว่านครหลวงอยู่ตรงหน้า กู่หานจึงเอ่ยเตือนสติ “ท่านต้องการหาสถานที่ชำระล้างร่างกายให้สดชื่นหรือไม่?”

พวกเขาเจอแต่ฝุ่นตลอดเส้นทาง ดินแดนปาสู่ก็เดินทางลำบากยิ่ง เสื้อผ้าบนตัวนั้นหมดสภาพไปนานแล้ว โดยเฉพาะซ่งชูอีที่ยืนกรานว่าจะใส่เสื้อคลุมยาวหลังจากเข้ารัฐสู่และใส่ตัวนั้นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่านางจะชำระล้างร่างกายวันเว้นวัน แลดูสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในฐานะราชทูตของรัฐมันดูเสียศักดิ์ศรีอย่างไม่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“แบบนี้ก็ดีแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ยเรียบๆ

หากเป็นเวลาปกติ กู่หานจะต้องเกลี้ยกล่อมต่อเพื่อเกียรติยศของรัฐฉินเป็นแน่ อย่างไรก็ดีบัดนี้เขารู้แล้วว่าแม้ทุกสิ่งที่ซ่งชูอีทำจะดูดื้อรั้นเอาแต่ใจ ทว่าแท้จริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่เกินเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงปิดปากเงียบ

นครหลวงของรัฐสู่นั้นเหมือนกับรัฐปา อาศัยความเสี่ยงของที่ตั้งตามธรรมชาติทว่าไม่มีกำแพงที่แข็งแกร่งและสูงใหญ่ กำแพงโดยรอบนครหลวงนั้นล้วนเป็นกำแพงดินเตี้ยๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชวนให้นึกถึงชนเผ่าป่า มีเพียงเสาทองสัมฤทธิ์แกะสลักเป็นรูปสัตว์ในตำนานขนาดใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างประตูเมืองทั้งสองด้านเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของบ้านเมือง รวมทั้งวิทยาการในการถลุงทองแดงขั้นสูง

ประตูเมืองได้สั่งห้ามไม่ให้สามัญชนเข้าออกนานแล้ว ขุนนางรัฐสู่ในชุดคลุมสีกรมท่ายืนรออยู่หน้าประตูเงียบๆ ครั้นเห็นซ่งชูอีและคณะสีหน้าก็เปลี่ยนไป เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังกึกก้อง

ในฐานะราชทูตหมายถึงหน้าตาของรัฐรัฐหนึ่ง ชุดที่พวกเขาสวมใส่นับว่าเป็นอันตรายต่อเกียรติภูมิของบ้านเมืองโดยแท้ ขุนนางชาวสู่เหล่านั้นจะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่านี่เป็นความจงใจ ต่างนึกว่ารัฐฉินยังคงยากจนเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถผลิตได้แม้กระทั่งชุดคลุมของราชทูต ยิ่งไปกว่านั้นรัฐที่ใหญ่โตและเกรียงไกรกลับส่งเด็กอมมือคนหนึ่งมาเป็นราชทูต!

เหล่ามือดาบอับอายจนแทบอยากจะขุดหลุมฝังตัวเอง

กู่หานลอบมองซ่งชูอีครู่หนึ่ง เห็นนางยกแขนเสื้อปิดบังใบหน้า ราวกับว่าก็อับอายมากเช่นกัน ทว่าเพียงครู่เดียวก็สงบสติอารมณ์ไว้ได้ ลงจากม้าประสานมือคำนับเหล่าขุนนางแห่งรัฐสู่

ในเวลาเดียวกัน ขุนนางชายแห่งรัฐสู่ในวัยสี่สิบกว่าที่อยู่ด้านหน้าสุดท่านหนึ่งหุบรอยยิ้มถากถาง เดินเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยภาษาแมนดาริน “ท่านราชทูตเดินทางมาไกล ลำบากแล้ว”

“หามิได้ หามิได้” ซ่งชูอียิ้มพร้อมตอบด้วยภาษาสู่

“หรือว่าท่านราชทูตพบกับโจรภูเขา?” ผู้นั้นได้ยินว่าซ่งชูอีพูดภาษาสู่ได้ ก็มิได้พูดภาษาแมนดารินที่น่าอึดอัดใจนั้นอีก

“ไม่เลย” ซ่งชูอีตอบอย่างตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง

บรรดาขุนนางได้ยินดังนี้ รอยยิ้มดูแคลนบนใบหน้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เหล่ามือดาบเคยได้รับรอยยิ้มถากถางเช่นนี้ที่ไหนกัน หากไม่ใช่เพราะอดกลั้นเอาไว้ก็คงชักดาบเตรียมฟันตอไม้สั้นๆ เหล่านี้ได้ทุกเมื่อ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของพวกเขาก็ผ่อนคลายลงมาบ้าง ไม่ว่าภายนอกจะแต่งกายอย่างไร อย่างน้อยก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น การที่พวกเขาไปที่นั่นก็เหมือนกับเสือดาวนอนนิ่งเพื่อสอดแนมเหยื่อ ไม่จำเป็นต้องพูดว่าทรงพลังเพียงใด

“ในเมื่อมิได้ประสบกับโจรภูเขา เหตุใดถึงได้มีสภาพสะบักสะบอมถึงเพียงนี้!” ผู้นั้นเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ไม่รู้เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้จักเสแสร้งจริงๆ หรือเพราะเจตนา อาการจอมปลอมบนใบหน้านั้นทำให้กู่หานอยากจะยกเท้าขึ้นเตะสักที

อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทำให้กู่หานอึดอัดก็คือ ซ่งชูอีที่มีนิสัยไร้ยางอายในอดีตกลับมีใบหน้าแดงก่ำเพราะความลำบากใจ “แค่ก คือว่า…ที่จริงมันเป็นเรื่องน่าอายที่จะกล่าวถึง”

นิสัยของคนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนได้อย่างใจนึกเชียวหรือ? สายตาของกู่หานหยุดอยู่ที่แขนที่เกร็งตึงของนาง นี่คงจะแอบหยิบเนื้อของตัวเองอยู่ในแขนเสื้อกระมัง! คนที่ไม่รู้ยังนึกว่านางพยายามอดกลั้นต่อความหยาบคายของขุนนางสู่อย่างสุดความสามารถ

“ท่านราชทูตได้โปรดเข้านครเถิด พักผ่อนให้เต็มที่ วันรุ่งขึ้นจะได้เข้าเฝ้าอ๋องของข้า” ขุนนางสู่กล่าว

ซ่งชูอีแค่นยิ้มด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้าน้อยควรเรียกท่านเยี่ยงไร?”

“ข้าน้อยจูเหิง” ขุนนางที่เป็นหัวหน้ากล่าว

“บรรพบุรุษ…” ซ่งชูอีประหลาดใจ ที่แท้ก็เป็นชายหนุ่มที่ถูกสวมหมวกเขียว[1]ที่มีชื่อเสียงที่สุดนี่เอง จะต้องคารวะเสียหน่อย “ชื่นชมมานาน ชื่นชมมานาน!”

ครั้นจูเหิงเห็นซ่งชูอีคำนับด้วยความสุภาพก็ยิ่งภาคภูมิใจ

ผู้ที่สวมใส่หมวกสีเขียวไม่ใช่คนอื่นใด ทว่าเป็นองค์จักรพรรดิรัชกาลแรกแห่งราชวงศ์ไคหมิงอ๋อง และยังเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายหลังจากฉานฉง ป๋อยง อวี๋ฝูและตู้อวี่ ภายใต้ระบบสละตำแหน่ง[2]

จากนั้นสกุลไคหมิงก็สืบทอดมาจวบจนปัจจุบัน สู่อ๋องคนปัจจุบันนับเป็นรัชสมัยที่สิบสองแล้ว

ความเกรงขามต่อเทพเจ้าในรัฐสู่นั้นยิ่งใหญ่กว่าในจงหยวนเสียอีก ฉานฉง ป๋อยง อวี๋ฝูล้วนมีตำนานเล่าขานลึกลับ ส่วนตำนานของตู้อวี่นั้นก็มีความคับแค้นใจที่ยากจะสรุปกับเปียหลิง ว่ากันว่าตู้อวี่มาจากสวรรค์ ต่อมาก็ได้สอนผู้คนทำการเพาะปลูก ที่จริงแล้วตู่อวี่มีพรสวรรค์ด้านนี้เพียงแต่เขาไม่เก่งเรื่องการจัดการน้ำ ดังนั้นสวรรค์จึงมอบผู้ช่วยแก่เขาซึ่งผู้นั้นก็คือเปียหลิง

เปียหลิงเป็นศพที่ลอยมากับแม่น้ำ ครั้นมาถึงดินแดนแห่งสู่ก็ฟื้นคืนชีพ จากนั้นก็นำชาวสู่ไปสู่การจัดการน้ำ

จากนั้นก็คือตำนานในแบบฉบับต่างๆ นับไม่ถ้วน บ้างกล่าวว่า ตู้อวี่มีความสัมพันธ์กับภรรยาของเปียหลิง รู้สึกว่าตนไม่มีคุณธรรมเทียบเท่าเปียหลิง จึงสละบัลลังค์ หวนคืนหมิงซาน เมื่อตายไปก็เกิดใหม่เป็นนกกาเหว่า ทุกวันพืชมงคลก็จะมาเตือนสติทุกคนเรื่องการเพาะปลูก ยังมีอีกตำนานกล่าวว่า เปียหลิงใช้วิธีนี้ใส่ร้ายตู้อวี่ บวกกับตนมีความดีความชอบในการจัดการน้ำ ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังส่วนใหญ่ของรัฐสู่ จึงโค่นล้มตู้อวี่ด้วยกำลัง หลังจากตู้อวี่ตายไปก็เกิดใหม่เป็นนกกาเหว่า ร้องไห้เป็นสายเลือด

หากมีวิญญาณจริงๆ ซ่งชูอีรู้สึกว่าจะต้องเป็นอย่างหลัง ตู้อวี่จะต้องกล่าวโทษชาวสู่พร้อมร้องไห้เป็นสายเลือดในฤดูกาลเพาะปลูกเป็นแน่ เขาทำให้ชาวสู่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ทว่ากลับได้รับเพียงการทรยศหักหลัง

เรื่องราวเหล่านี้หายไปท่ามกลางฝุ่นผงของประวัติศาสตร์นานแล้ว สกุลไคหมิงก็คงไม่ทิ้งหลักฐานสำหรับคำพูดลอยๆ สาเหตุที่ซ่งชูอีคิดเช่นนี้ เพียงเพราะว่าตำนานแรกนั้นไม่น่าเชื่อถือ ก็แค่การเตือนสติในวันเพาะปลูกมิใช่หรือ? เหตุใดต้องหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดด้วยเล่า?

ดังนั้นจากการคาดเดาของซ่งชูอี มันไม่ใช่เรื่องของโฉมหน้าดั้งเดิมของเรื่องนี้ แต่เป็นการหลบซ่อนจนทำให้เด่นชัดขึ้นของผู้มีอำนาจมากกว่า

รางวงค์ไคหมิงถือกำเนิดขึ้นเพราะสตรี เมื่อเห็นท่าทางบ้ากามของเหล่าสู่อ๋องทั้งสิบสองรัชกาลแล้ว เกรงว่าบ้านเมืองก็จะมอดม้วยเพราะสตรีเช่นกัน!

ชะตากรรมช่างน่าสนใจจริงๆ ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อยและยิ้มให้กับจูเหิงด้วยความเคารพ

[1] ถูกสวมหมวกเขียว เป็นสำนวนหมายถึงถูกทรยศหรือถูกสวมเขา

[2] ระบบสละตำแหน่ง เป็นการสืบทอดตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวกับทางสายเลือดแต่พิจารณาจากความสามารถและคุณธรรมเป็นหลัก