บทที่ 166 มีสาวงามปานนี้

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

หลังจากเข้านครหลวง ซ่งชูอีก็พักผ่อนอยู่ในจวนรับรอง รอสู่อ๋อง “สละเวลา” ให้เข้าเฝ้า

สายฝนยามเย็นตกพรำ

เสียงเครื่องดนตรีซือจู่[1]กำลังบรรเลงบทเพลงฉู่ในพระตำหนักสู่อ๋อง เสียงเพลงนั้นเพราะพริ้งราวกับมืออ่อนนุ่มของหญิงสาวกำลังสัมผัสส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดในหัวใจ แม้แต่เอวบอบบางของนางรำที่โยกย้ายไปตามเสียงเพลงก็ดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ

โต๊ะตรงพระที่นั่งหลักถูกย้ายออกและแทนที่ด้วยเตียงหลังหนึ่ง ชุดจีนไหลย้อยจากเตียงลงสู่พื้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีหนวดเครารุงรังกำลังหรี่ตา สายตาจ้องมองไปที่เอวและสะโพกของนางรำอย่างมีความสุข นิ้วที่หยาบสั้นเคาะอยู่บนเตียงตามจังหวะแผ่วเบา ชายผู้นี้ไม่นับว่าหน้าตาดีเท่าใด แม้จะหยาบและมีพลังมาก ทว่าก็มีลมหายใจแห่งความสูงส่งในร่างกายแผ่ซ่านออกมาจางๆ คล้ายกับหมาป่าเจ้าฝูงที่โหดเหี้ยมแต่สง่างาม

ในเวลานี้สาวใช้หน้าตางดงามนางหนึ่งเดินค้อมตัวเข้ามาใกล้จากด้านข้าง หมอบที่แทบเท้าของเขา เอ่ยเสียงเบา

“ฝ่าบาท ใต้เท้าเหิงมาแล้วเพคะ”

“เข้ามานี่” สู่อ๋องตบที่เตียงเบาๆ

สาวใช้รีบลุกขึ้น คลานขึ้นไปอย่างระมัดระวัง สู่อ๋องลูบไล้ดวงหน้าของสาวใช้อย่างเบามือ นิ้วหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก

เย้ายวนของนาง เอ่ยเล้าโลมเสียงเบา “เจ้าพูดกระไร พูดอีกทีซิ?”

ขนตาสีดำดุจปีกผีเสื้อของสาวใช้หลุบต่ำลง ก่อนกล่าวอีกครั้ง “ฝ่าบาท ใต้เท้าเหิงมาแล้วเพคะ”

สู่อ๋องยิ้มอย่างมีความสุข จุมพิตริมฝีปากอ่อนนุ่มของสาวใช้ ตบๆ บั้นท้ายของนางพร้อมเอ่ย “ไปเรียกเขาเข้ามา”

สาวใช้สีหน้าแดงระเรื่อ ตอบรับด้วยความเขินอาย ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้ววิ่งเหยาะออกไปจากด้านข้างของท้องพระโรง สาวใช้นางนี้มิใช่สาวใช้ธรรมดา ทว่าเป็นหนึ่งในนางกำนัลที่สู่อ๋องโปรดปราน เนื่องด้วยรู้สึกว่านางงดงามเป็นอย่างยิ่ง จึงใช้นางไว้เป็นผู้ส่งสาร เช่นนี้จะได้ชื่นชมได้ทุกเมื่อ

สู่อ๋องมักมากในกาม ทว่าเขาอ่อนโยนต่อสตรีทุกคนเป็นอย่างมาก ราวกับปรารถนาที่จะนำสิ่งสวยงามทั้งหมดในโลกใบนี้มาปรนเปรอให้เหล่าสาวงามมีความสุข อีกทั้งไม่เคยดุด่าว่ากล่าวพวกนางเลย อย่างไรก็ดีไม่มีสตรีผู้ใดที่กล้าใช้ประโยชน์จากความรักประเภทนี้อย่างไร้ยางอาย เพราะว่าพวกนางสามารถถูกเอือมระอาและทอดทิ้งได้เพียงชั่วพริบตา

จูเหิงเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โค้งคำนับสู่อ๋อง “ฝ่าบาท กระหม่อมได้พบกับราชทูตฉินแล้วพะย่ะค่ะ!”

“อ๋อ?” สู่อ๋องยังคงไม่ละสายตาสีน้ำตาลเข้มไปจากนางรำ

“ราชทูตรัฐฉินเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบหกสิบเจ็ด ดูอ่อนแอเปราะบาง ลักษณะราวกับว่าอาจถูกลมแพงพัดปลิวได้ ราชทูตฉินยังสวมใส่เสื้อผ้าป่าน เป็นชุดสีดำที่แทบจะซีดจนกลายเป็นสีขาว ทันทีที่ราชทูตผู้นั้นเห็นความศิวิไลของพระนครก็คล้ายคนป่าที่หลุดออกมาจากหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น น่าสนใจอย่างแท้จริง” จูเหิงพูดขึ้นมาก็ยังอดที่จะหัวเราะเสียงดังมิได้

คำบรรยายนี้จุดความสนใจให้กับสู่อ๋องเล็กน้อย ในที่สุดก็ละสายตากลับมามองจูเหิงแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเขามี

ซางจวินปฏิรูปกฎหมายมิใช่หรือ?”

“พื้นที่รกร้างเพียงนี้ ต่อให้ปฏิรูปก็ยังห่างไกลจากความอุดมสมบูรณ์ของพวกเราเป็นพันลี้” จูเหิงกล่าวอย่างดูแคลน “กระหม่อมเคยผ่านรัฐฉินมาก่อน สตรีของพวกเขาไม่สวมเสื้อผ้า บุรุษของพวกเขาก็ตายในสงคราม ที่นาไร้คนเพาะปลูก รกไปด้วยวัชพืช กรมธนารักษ์ไม่สามารถแจกจ่ายเสบียงให้แก่กองทัพในสงครามได้ หากตู้อวี่ยังมีชีวิต ต่อให้ใช้เวลาหลายสิบปีก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือบ้านเมืองที่เสื่อมโทรมเช่นนี้ได้”

สู่อ๋องกล่าว “เช่นนั้นความเห็นเจ้า ฉินเข้ามาในรัฐสู่ของข้าด้วยเหตุใด?”

“อันนี้…กระหม่อมทายไม่ถูกพะย่ะค่ะ” จูเหิงกล่าว

สู่อ๋องก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เชิญราชทูตฉินให้เข้าเฝ้าทันที”

จูเหิงไม่ประหลาดใจ การที่อ๋องของพวกเขากระทำเรื่องเหลือเชื่อก็มิแปลกอะไร นับประสาอะไรกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้

ราตรีย่างกรายเข้ามา ภายนอกยังคงมีฝนตกพรำ

หลังจากซ่งชูอีออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วก็ใช้ความคิดอยู่เงียบๆ ภายในห้องนอน หน้าต่างเปิดกว้าง สายลมที่พัดเข้ามาพร้อมกับละอองฝนทำให้พื้นเปียกชื้นเสียแถบหนึ่ง แสงไฟที่ไหววูบภายในห้องส่องสะท้อนบริเวณนั้นให้สว่างจ้า

“ท่าน พักผ่อนเถิด” กู่หานเตือนสติอยู่นอกห้อง

“รอก่อน” ซ่งชูอีกล่าว

รออะไร?

กู่หานนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีจะพูดจาก็ยืนค้ำดาบเฝ้าหน้าประตูต่อไป

ผ่านไปราวๆ สองเค่อ ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นตรงทางเดิน กู่หานได้ยินว่าเสียงนั้นใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ และเห็นได้ชัดเจนว่ากำลังมุ่งตรงมาทางนี้ จึงอดที่จะหันไปมองมิได้ เขาเห็นเพียงชายชราในเสื้อคลุมดอกไม้สีกรมท่าเร่งรุดเข้ามา โดยนำสาวใช้สิบกว่านางเดินตรงมาทางนี้

กู่หานเหลือบมองซ่งชูอีภายในห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่านางนั่งอยู่หน้าโต๊ะตั้งแต่เมื่อไร เบื้องหน้าปูผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่ง กำลังก้มหน้าขีดเขียนอะไรบางอย่างด้วยความจริงจัง

“ใต้เท้า” ชายชราผู้นั้นคำนับกู่หาน ถามด้วยภาษาโจว “ท่านราชทูตพักผ่อนแล้วหรือยัง?”

“ยัง ท่านมามีธุระอันใด?” กู่หานเอ่ย

“อ๋องข้าต้องการพบท่านราชทูต” ชายชราตอบเรียบๆ น้ำเสียงมีความเกรงใจว่าในเนื้อหาของคำพูดนั้นกลับไร้ความสละสลวย

กู่หานข่มโทสะไว้ในใจ พยักหน้าเฉยเมย เข้าห้องไปรายงานซ่งชูอี

“ท่านราชทูตเชิญให้ท่านไปรอด้านใน” กู่หานกล่าว

ข้าผู้เฒ่าตั้งใจจะพาตัวคนจากไปทันที มิได้ตั้งใจจะรออยู่ที่นี่นานดอกนะ! หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งที่หน้าประตู ก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง

“ผู้ต้อนรับเจ้าหน้าที่อวี๋เฉิงคารวะท่านราชทูตฉิน” เมื่อชายชราพิจารณาครู่หนึ่งก็วางท่าทีเมื่อครู่ลงเล็กน้อย

หลังจากซ่งชูอำคำนับกลับก็กล่าวว่า “เชิญนั่ง” จากนั้นก็ก้มหน้าวาดรูปต่อ

อวี๋เฉิงเห็นดังนี้อดมิได้ที่จะร้อนใจ หากฝ่าบาทไม่พอใจ เขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรัฐสู่อีกต่อไปแล้ว!

อวี๋เฉิงนั่งอย่างไร้ความอดทนคล้ายมีเข็มรองก้น อดที่จะเอ่ยรบเร้ามิได้ “อ๋องข้าให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางการทูตกับต้าฉินมาก จึงตัดสินใจให้ท่านเข้าเฝ้าทันที ไม่ทราบว่าบัดนี้ท่านราชทูตสะดวกหรือไม่?”

ในฐานะราชทูต มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองรัฐอีกหรือ? วาจาของอวี๋เฉิงเป็นการโน้มน้าวซ่งชูอีทางอ้อมว่าวางภาพวาดไม่สำคัญเหล่านั้นลงก่อนก็ได้

“ท่านผู้ต้อนรับอวี๋จงผ่อนคลายอย่าได้ร้อนใจ” ในที่สุดซ่งชูอีก็วาดพู่กันลง เป่าคราบหมึกบนผ้าไหมสีขาว “ท่านเข้ามาดูเถิด”

อวี๋เฉิงเหลือบมองนางอย่างสงสัย ลุกขึ้นเข้าไปใกล้โต๊ะ ครั้นสายตาหยุดอยู่บนผ้าไหมก็อดเบิกตาโพลงมิได้ บนผ้าไหมนั้นมีภาพภูมิทัศน์งดงาม สาวงามเปลือยเปล่าครึ่งท่อนปรากฏตัวเลือนลางท่ามกลางสายหมอก นางผู้นั้นหันหลังให้กับผู้ชม ดวงหน้างดงามหันข้าง เรือนร่างอวบอิ่มทว่าไม่อ้วน บอบบางทว่าไม่ผอมจนเห็นกระดูก เสื้อผ้าบนตัวนางเลื่อนหลุดมาอยู๋ในอ้อมแขน เผยให้เห็นแผ่นหลังอันโสภาและเนินอกเนียนนุ่มครึ่งหนึ่ง ผมเปื้อนน้ำดำสนิทสองสามเส้นเกาะติดอยู่ที่แผ่นหลัง แก้ม…

“นี่ นี่มัน…” อวี๋เฉิงมองซ่งชูอีด้วยสีหน้าเปี่ยมความประหลาดใจ

ภาพวาดของดินแดนปาสู่มีสีสันสดใส ทว่าลายเส้นแข็งทื่อและดูเกินจริง ซ่งชูอีเรียนรู้วิธีวาดภาพนี้มาจากบัณฑิตไร้นามผู้หนึ่งขณะที่นางเดินทางท่องเที่ยวและนางก็ได้ปรับปรุงมันเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์แบบ

ซ่งชูอีเข้าใจเป็นอย่างดีว่าสำหรับผู้ชายแล้ว การปรากฏตัวเลือนลางน่าสนใจกว่าภาพเปลือยกายโจ่งแจ้งเสียอีก การมองเห็นเพียงเหลือบหมอกสามารถสร้างผลกระทบอันน่าทึ่งกว่าการมองเห็นซึ่งหน้ามากนัก ยิ่งไปกว่านั้นความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน แม้ซ่งชูอีจะมีทักษะการวาดรูปที่ไม่มีใครเทียบได้แต่ก็ไม่สามารถวาดด้วยรูปแบบที่สู่อ๋องโปรดปรานได้ ฉะนั้นนางทำได้เพียงจับจุดสุนทรียภาพพื้นฐานที่ผู้ชายทุกคนมีร่วมกัน เช่นคอและแผ่นหลังอันงดงาม เอวที่จับได้ไม่เต็มมือ รวมทั้งสะโพกและหน้าอกที่กลมกลึง

ซ่งชูอีไม่เคยสงสัยในความน่าเชื่อถือของข้อสรุปนี้เลย เพราะต้นกำเนิดของมันก็มาจากที่หัวใจของนางที่หลงรักในความงามเช่นเดียวกับผู้ชาย

“ไปเถิด” ซ่งชูอีพึงพอใจกับปฏิกิริยาของอวี๋เฉิงมาก

ขณะที่อวี๋เฉิงดึงสติกลับมา ภาพวาดก็ถูกม้วนเก็บเข้าไปในกระบอกไผ่แล้ว

ครั้นซ่งชูอีเดินมาถึงเฉลียง สาวใช้ก็กางร่มไผ่ขนาดมหึมาเพื่อกำบังฝนให้นาง จากนั้นก็ถูกผู้คนนับสิบเบียดเสียดเข้าไปในรถ

กู่หานสวมเสื้อชุดฟาง แล้วขี่ม้าตามไป

หยาดพิรุณโปรยปรายหนาแน่นทว่ากลับไร้ซุ่มเสียง ก็เหมือนกับอารมณ์ของซ่งชูอีในบัดนี้ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยอย่างไร้ร่องรอย

นางกระทำการทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเสมอนับตั้งแต่เกิดใหม่ แม้กระทั่งครั้งนั้นที่ช่วยจี๋อวี่ที่ดูเสี่ยงอันตราย ทว่าแท้จริงแล้วนางสามารถควบคุมทุกอย่างได้อยู่หมัด อย่างไรก็ดีนางจำต้องเดิมพันในคราวนี้ นางไม่มีเวลากลับไปหารือแผนการโดยละเอียดกับอิ๋งซื่ออีกแล้ว หากอิ๋งซื่อไม่ไว้ใจนาง เช่นนั้นทุกอย่างที่นางทำก็จะสูญเปล่า หรือแม้กระทั่งนำหายนะมาสู่ตนด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามหากนางวางแผนที่จะติดตามอิ๋งซื่อเป็นเวลานาน เขาก็ต้องคุ้มค่าต่อการติดตามเช่นกัน นี่ไม่เหมือนตอนกู่หานที่หยั่งเชิงนาง อิ๋งซื่อต้องการจะให้นางเป็นกุนซือ มิใช่เพียงมีดเล่มหนึ่งเท่านั้น

“ราชทูตรัฐฉินมาถึงแล้ว!”

เสียงประกาศดึงซ่งชูอีออกมาจากความคิด นางจัดกระชับเสื้อผ้า ยื่นกระบอกไผ่ที่มีภาพวาดของสาวงามให้กู่หาน ส่วนนางก็ถือตราประทับและหนังสือรับรองแห่งรัฐลงจากรถม้า

ท่ามกลางราตรีแห่งสายฝน สาวใช้กางร่มกำบังฝนให้ซ่งชูอี นางก้าวขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า เสื้อคลุมแขนกว้างสีดำปลิวไสวเล็กน้อยไปตามการเคลื่อนไหว ความสง่างามที่เผยให้เห็นนั้นคือความสงบนิ่งอันเป็นลักษณะเฉพาะของบัณฑิต

กู่หานมองนางจากด้านหลัง ลมปราณอันสงบและความใจเย็นอันสง่างามนั้น ทำให้เขาได้ทำความรู้จักกับซ่งชูอีใหม่อีกครั้ง

นี่เป็นครั้งแรกที่กู่หานติดตามซ่งชูอีมาในโอกาสทางการเช่นนี้และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าที่แท้นางก็มีด้านที่จริงจังเช่นกัน เมื่อก่อนได้ยินมาว่านักยุทธศาสตร์ “ดีแต่พูดแต่ไร้ความละอาย” เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่แตกต่างกันย่อมแสดงออกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เดิมทีกู่หานไม่เชื่อแต่เมื่อได้เห็นก็เชื่อแล้ว

ความรู้ของนางกว้างขวางทว่ากลับไม่เอาไหนในศาสตร์หกแขนง[2]อย่างน่าใจหาย นางสามารถทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในที่นั่งลำบากได้อย่างง่ายดาย นางสามารถเข้าใจทุกอย่างด้วยความดูถูกเหยียดหยาม และนางยังสามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวด้วยท่วงท่าอันสง่างาม…

เขาไม่รู้ว่านั่นต่างหากคือโฉมหน้าที่แท้จริงของซ่งชูอี แต่ดูเหมือนว่าเขาสามารถมองเห็นบรรยากาศใหม่ๆ ของอนาคตต้าฉินจากตัวนางได้อยู่บ้าง

ภายในท้องพระโรงไร้เสียงครึกครื้นของซือจู่ดังเช่นตอนกลางวัน ทว่ากลับได้ยินเสียงหายใจครางอันเย้ายวนของผู้หญิงดังออกมา

สาวใช้นางหนึ่งเข้าไปกราบทูลแล้วออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านราชทูตเชิญเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีเพิ่งจะก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปข้างใน กลิ่นเครื่องสำอางค์หนักหน่วงก็ลอยพุ่งเข้ามา จากนั้นก็เห็นหญิงสาวสามคนนอนเปลือยกายอยู่บนผ้าขนสัตว์ ชายวัยกลางคนที่คอเสื้อคลายออกกำลังนอนตะแคงข้างด้วยมือหนุนศีรษะอยู่บนเตียง สาวใช้ที่สวมเสื้อผ้าโปร่งแสงกำลังใช้มีดหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนให้เขา

“กระหม่อมราชทูตแห่งรัฐฉินซ่งหวยจินถวายบังคมสู่อ๋อง” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อแล้วค้อมคำนับ

ตั้งแต่ที่ซ่งชูอีเข้าไป สู่อ๋องก็เริ่มสังเกตทุกอย่างบนตัวนาง แม้จะเหมือนดังที่จูเหิงกล่าวว่านางสวมใส่เพียงเสื้อคลุมผ้าป่านแสนธรรมดาที่สุดตัวหนึ่ง ทว่าครั้นเผชิญกับฉากที่อยู่ตรงหน้า สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด นี่มันช่างน่าสนใจนัก

“ท่านราชทูตเห็นสาวงามของกว่าเหรินเหล่านี้แล้วไม่สะทกสะท้านเลยรึ?” สู่อ๋องหัวเราะเสียงดัง

เพียงคำแรกเขาก็เอ่ยถึงสาวงามแล้ว คำพูดที่ใช้ก็กลับเป็นภาษาโจว แสดงได้เห็นว่ามิใช่คนเขลาที่ไม่ได้เล่าเรียนหนังสือ ซ่งชูอีมองตรงไปยังสู่อ๋อง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “เป็นเพียงสิ่งธรรมดาเท่านั้น จะทำให้กระหม่อมหวั่นไหวได้เยี่ยงไร”

“อ๋อ?” สู่อ๋องได้ยินซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้กลับไม่โกรธ ในทางตรงกันข้ามกลับเอ่ยด้วยความสนใจเล็กน้อย “ในความเห็นของท่านราชทูต สตรีประเภทใดที่เรียกว่าสาวงาม? ต๋าจี่? เปาซื่อ?”

“แม้ว่าต๋าจี่กับเปาซื่อจะงดงาม ทว่ากลับเป็นสัตว์ประหลาดที่สร้างปัญหาให้กับคนทั่วไป ตามความเห็นของกระหม่อม มันคือความงามที่เทียบได้กับเทพธิดาแห่งเซียงสุ่ย” ซ่งชูอีจงใจลดเสียงต่ำ ทำให้ดูค่อนข้างลึกลับ

ความเชื่อของดินแดนปาสู่ที่มีต่อภูติผีวิญญาณนั้นก้าวมาถึงขั้นคลุ้มคลั่ง พวกเขาเชื่อว่าผีและเทพเจ้ามีอยู่ทั่วไป

[1] ซือจู่ วงดนตรีพื้นบ้านที่ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีประเภทไหมและไผ่ (ซอเอ้อร์หู ผีผาและขลุ่ย)

[2] ศาสตร์หกแขนง ได้แก่ มารยาทสังคม(รวมถึงขนบประเพณี) ดนตรีและเต้นรำ การยิงธนู การขับรถม้า การเขียนหนังสือ และคณิตศาสตร์