บทที่ 167 เทพธิดาในภาพวาดอยู่แห่งใด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“รอยยิ้มของเปาซื่อทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่าย เทพธิดาเซียงสุ่ยเหมือนกันตรงไหน ข้ากลับมิเคยได้ยิน” สู่อ๋องดึง

สาวงามที่อยู่ข้างๆ มาไว้ในอ้อมแขน มือลูบไล้บนตัวนางเบาๆ สาวงามหัวเราะออดอ้อนอย่างให้ความร่วมมือ

ซ่งชูอีไม่รีบร้อนที่จะนำภาพวาดออกมา ทว่าชี้นำจินตนาการของเขาก่อน “สาวงามไร้เครื่องสำอางค์ กลิ่นหอมนวลนางคล้ายกล้วยไม้ละม้ายชะมด ครั้นดมไกลๆ ได้กลิ่นเพียงบางเบา ได้กลิ่นเจือจางยามอยู่ใกล้ หากกอดนางไว้ในอ้อมแขน เสาวคนธ์ชวนรื่นรมย์ทั้งกายและใจ นางอนงค์เอวองค์บอบบาง อ่อนโยนทว่าไม่อ่อนแอ ขาหยกเรียวและตรง ผอมเพรียวแต่ไม่แห้งเห็นกระดูก ทั้งสิบนิ้วของนางเรียวยาว สัมผัสราวขนนก ริมฝีปากนวลนางเป็นกระจับ ฟันวาวราวกับเปลือกหอย ดวงตาเหมือนสระน้ำและดวงดาราสุกใส…อาภรณ์ปลิวไสว ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทุกสรรพสิ่งเขินอาย สุริยันจันทราสิ้นแสง”

น้ำเสียงของซ่งชูอีอยู่ระหว่างวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ทุ้มต่ำทว่าอ่อนโยน ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

สู่อ๋องฟังจนเคลิบเคลิ้มมัวเมา ไม่สามารถจินตนาการถึงลักษณะของหญิงงามผู้นี้ได้ แต่ราวกับว่านางกำลังยืนอยู่ในหมอกของคลื่นน้ำและยิ้มให้เขาด้วยความอ่อนหวานจริงๆ งดงามจนจับใจ

ด้วยความโสภาเช่นนี้ หญิงสาวที่เปลือยกายอยู่ด้านข้างต่างรู้สึกละอายใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ากลิ่นของตัวเองเหม็นสาบเกินไป ผิวพรรณไม่ละเอียดอ่อนมากพอ องค์เอวไม่บอบบางมากพอ ฟันก็ไม่ขาวสะอาดมากพอ…กลัวว่าสู่อ๋องจะเบื่อหน่าย จึงอดไม่ได้ที่จะปกปิดร่างกายของตนด้วยผ้าต่วนเงียบๆ

“มีสาวงามเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?” สู่อ๋องดึงสติกลับมา อดที่จะนั่งตัวตรงมิได้ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ซ่งชูอีเป็นประกาย

ซ่งชูอีเอ่ยยิ้มน้อยๆ “มีพะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้ผู้อารักขาของกระหม่อมส่งภาพเหมือนเข้ามา”

ครั้นสู่อ๋องได้ยินว่ามีภาพเหมือน ดวงตาก็แวววาว “ไปเชิญผู้อารักขารัฐฉินเข้ามา!”

กู่หานในฐานะผู้อารักขาของซ่งชูอีไม่สามารถแยกออกจากดาบได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงยื่นของให้กับนางกำนัลแสนสวยนางหนึ่งนอกท้องพระโรง

ซ่งชูอีเปิดกระบอกไผ่ออก หยิบภาพเหมือนออกมาแล้วกางออกห่างจากสู่อ๋องไปเจ็ดก้าว ให้สาวใช้สองคนถือภาพวาดไว้คนละมุม

ภาพของสาวงามที่ออกมากจากอ่างอาบน้ำท่ามกลางสายหมอกปรากฎขึ้น แสงไฟที่สาดส่องมาจากทั่วทุกทิศทำให้ผ้าไหมสีขาวยิ่งดูคลุมเครือราวกับอยู่ในโลกแห่งสวรรค์

“เป็นเพราะฝ่าบาทกระหม่อมจึงโชคดีได้พบกับหญิงงาม กระหม่อมเป็นคนวาดภาพนี้เอง ลายเส้นเงอะงะอย่างช่วยไม่ได้ ยากที่จะร่างเสน่ห์ของมัน รู้สึกละอายใจโดยแท้” ซ่งชูอีถอนหายใจเอ่ย

วิชาการวาดภาพนี้แปลกใหม่ ผู้หญิงในภาพมีเส้นโค้งที่นุ่มนวลซึ่งถือได้ว่าเป็นหญิงงามนางหนึ่ง ทว่าหากซ่งชูอีมิได้บรรยายเอาไว้เช่นนั้น สู่อ๋องผู้ที่เห็นหญิงงามจนเคยชินก็คงไม่ประหลาดใจมากนัก ทว่าในเวลานี้ สู่อ๋องเห็นว่านางในภาพวาดเป็นเทพเซียนที่มีผมดกดำดุจน้ำตกและผิวพรรณขาวดุจหิมะจริงๆ ไปแล้ว

“เหตุใดท่านราชทูตจึงกล่าวว่าเพราะกว่าเหรินเล่า?” สู่อ๋องมิอาจละสายตาออกมาได้

สู่อ๋องมักมากในกามก็เรื่องหนึ่ง แต่สมองกลับมิได้เลอะเลือน ส่วนซ่งชูอีก็มีแผนในใจแล้ว “บัดนี้นางผู้นี้อยู่ในพระราชวังเสียนหยาง มีนามว่าจื่อเฉา ตั้งแต่ฝ่าบาทได้หญิงงามผู้นี้ สตรีนางอื่นก็กลายเป็นฝุ่นผงในสายตาของฝ่าบาท ต่อมาจึงเหลือเพียงนางในวังหลังเพียงผู้เดียว ฝ่าบาทได้ยินว่าสู่อ๋องฝ่าบาทโปรดปรานหญิงงาม จึงปรารถนาที่จะถวายนางผู้นี้ให้

พะย่ะค่ะ”

“หากมีหญิงงามเช่นนี้จริงๆ ฉินกงจะยอมปล่อยไปหรือ?” สู่อ๋องเอ่ยอย่างสงสัย

ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดังก่อนเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่าจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินคือผู้ใด?”

“องค์รัชทายาทอิ๋งซื่อ” แม้การเดินทางระหว่างฉินสู่จะลำบาก ทว่าจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินได้สืบราชบัลลังก์มานานกว่าหนึ่งปีแล้ว รัฐสู่จึงได้รับข่าวโดยธรรมชาติ

ซ่งชูอีพยักหน้า “ถูกต้อง กระหม่อมไม่ขอปิดบังฝ่าบาท เขามิได้ชื่นชมความงามได้ดีเท่าฝ่าบาท แม้ว่าจื่อเฉาจะ

ชดช้อยไร้ที่เปรียบในสายตาของเขา ทว่าก็มิได้สำคัญเท่าราษฎรของรัฐฉินอิ่มท้องและมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่”

สู่อ๋องเชื่อในข้อนี้ ไม่รู้ว่าเพราะรัฐฉินยากจนหรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่น บุตรชายในสกุลอิ๋งคล้ายไม่มีความสนใจต่อสตรีเพศมากนัก ในอดีตก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนไหนที่สนใจเรื่องความงามเป็นพิเศษ สตรีในวังหลังของพวกเรามีน้อยจนน่าสงสาร

ซ่งชูอีสังเกตสีหน้าของเขาแล้วเอ่ยต่อ “ตั้งแต่ที่ซางจวินปฏิรูปกฎหมาย ก็ค่อยๆ มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าชายชาวฉินโดยมากตายในสนามรบ พื้นที่แห้งแล้ง ยากที่จะเปลี่ยนแปลงในพริบตา พวกเราขาดแคลนอาหาร แต่หกรัฐในซานตงกลับมองฉินว่าป่าเถื่อน จึงได้แต่ค้าขายทาสในรัฐฉิน ไม่ยินยอมขายเมล็ดพืชพันธุ์ให้ ฝ่าบาททราบว่ารัฐสู่มีที่ดินอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งไปด้วยเมล็ดพืช จึงคิดอยากทำการค้าขายกับรัฐของฝ่าบาท โดยการซื้อขายอาหารเป็นหลัก”

สู่อ๋องก็ได้ยินเรื่องนี้บ้าง ทว่าเขาไม่รู้ว่าหลังจากการปฏิรูปของซางยางแล้ว รัฐฉินก็รับเอาประชากรภายนอกเข้ามามากมายเพื่อกระตุ้นการเพาะปลูก บัดนั้นรัฐฉินเต็มไปด้วยพื้นที่รกร้าง ซางจวินจึงได้กำหนดนโยบายระดับรัฐ ไม่ว่าจะเป็นคนรัฐใด ขอเพียงมีความตั้งใจที่จะย้ายสำมะโนครัวเข้ารัฐฉินและสามารถฟื้นฟูพื้นที่รกร้างได้ก็จะยกที่ดินให้ครอบครอง อีกทั้งยังยกเว้นภาษีในสามปีแรก ดังนั้นรัฐฉินจึงพ้นจากภาวะขาดแคลนอาหารตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว

รัฐฉินถูกหกรัฐแห่งซานตงมองว่าป่าเถื่อน แล้วป่าสู่มิใช่หรือ? แม้ว่าปาสู่ดูแคลนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับหกรัฐแห่งซานตง ทว่าความรู้สึกที่ถูกคนอื่นกีดกันนั้นเจ็บปวดนัก ซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อนให้สู่อ๋องเกิดความรู้สึก “เห็นใจคนหัวอกเดียวกัน”

สู่อ๋องใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องการค้านี้ รอให้กว่าเหรินปรึกษาหารือกับฝ่ายต่างๆ แล้วค่อยตัดสินใจ”

“เช่นนั้น…”

ซ่งชูอีประสานมือกำลังจะทูลลา แต่กลับถูกสู่อ๋องขัดจังหวะ “ท่านราชทูตเชิญนั่ง เล่าเรื่องของหญิงงามจื่อเฉาได้กว่าเหรินฟังหน่อยเถิด”

สิ้นวาจาก็เอ่ยยิ้มกับตัวเอง “เฉา เฉา ชื่อดี! งดงามนัก”

มุมปากของซ่งชูอียกยิ้ม หาที่นั่งแล้วคุกเข่านั่งลง “เช่นนั้นกระหม่อมจะเล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับจื่อเฉาเรื่องหนึ่งให้

ฝ่าบาทฟัง”

“เยี่ยม” สู่อ๋องจัดกระชับเสื้อผ้า เอนตัวพิงที่พักแขน

“ว่ากันว่าครั้งหนึ่งองค์จวินได้ขนจิ้งจอกสีขาวมาผืนหนึ่งจึงมอบให้จื่อเฉา รัฐฉินมีพายุหิมะรุนแรง วันหนึ่ง เฉาคลุมขนจิ้งจอกขาวไปย่ำหิมะ บ่าวสาวกลับหาไม่เจอ จึงกลับไปทูลรายงานองค์จวินด้วยความร้อนใจ” ซ่งชูอีโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทมีความเห็นว่าเยี่ยงไร?”

“หรือว่าจะกลายเป็นเซียนโบยบินไปในหิมะแล้ว?” สู่อ๋องยิ้มเอ่ยเช่นกัน

ซ่งชูอีส่ายหน้า “องค์จวินตามหาทุกหนแห่งที่เฉาไปด้วยความใจเย็น เขากล่าวกับบ่าวสาวข้างกายว่า ‘ต่อไปหากประสบกับสถานการณ์เช่นนี้อีกอย่าได้ตื่นตกใจไป เพียงรอให้ดอกชบาเบ่งบานบนพื้นหิมะเป็นพอ’ บ่าวสาวไม่เข้าใจ”

ซ่งชูอีหยุดไปครู่หนึ่ง ครั้นเห็นว่าสู่อ๋องแววตาเป็นประกายก็หัวเราะ เอ่ยอุทาน “ฝ่าบาทคงจะคาดเดาได้ว่าผิวพรรณของเฉานั้นขาวผ่องดุจหิมะ ขนจิ้งจอกสีขาวที่ปกคลุมผมดกดำนั้นก็อำพรางตัวได้ดีในหิมะ เมื่อแก้มของนางปะทะลมหนาวได้สักพัก ก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูราวดอกท้อ และไม่นานก็จะงดงามดุจดอกชบา”

“ฮ่าๆๆ” สู่อ๋องปรบมือหัวเราะเสียงดัง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายอย่างน่าอัศจรรย์

“แม้ว่าจะเป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ทว่ากระหม่อมได้ยินมาว่าผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยแท้ ไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าได้เลย” ซ่งชูอียิ้มกว้างอย่างให้ความร่วมมือยิ่ง

“บริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆ!” สู่อ๋องอุทาน ฝ่ามือลูบหัวเสือที่แกะสลักบนพนักแขนแผ่วเบา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

จื่อเฉาเป็นหญิงงามนั้นไม่ผิดแน่ ทว่าไม่ใช่เสน่ห์อันไร้ที่ติตามที่ซ่งชูอีกล่าว อย่างไรก็ดีนางถูกซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของพระราชวังเสียนหยาง อย่างมากสุดรัฐสู่ก็ทำได้เพียงสืบว่ามีคนชื่อจื่อเฉาอยู่ในรัฐฉินจริงๆ อีกทั้งก่อนงานอภิเษกสมรสครั้งใหญ่ของฉินกง แน่นอนว่ามีนางอยู่ที่วังหลังเพียงผู้เดียว

“ท่านกล่าวว่าจะทำการค้าขาย ไม่ทราบว่ามีกฎเช่นไร?” สู่อ๋องเอ่ยถาม

ซ่งชูอีสังเกตว่าการเรียกขานเปลี่ยนไป พิจารณาครู่หนึ่งแต่ก็ยังปกปิดจุดประสงค์เดิมถึงเจ็ดส่วน “ที่จริงการค้าระหว่างสองรัฐ ขอเพียงฝ่าบาทพยักหน้าตกลง สิ่งอื่นๆ ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น อีกทั้งของตอบแทนที่ฝ่าบาทแห่งฉินจะมอบให้ฝ่าบาทนั้นมิได้มีเพียงหญิงงามเช่นจื่อเฉาผู้เดียวเป็นแน่”

เป้าหมายของการค้าระหว่างสองรัฐนั้นก็คือการสร้างเส้นทางระหว่างรัฐฉินและสู่ เส้นทางของรัฐสู่นั้นเดินทางลำบาก ง่ายต่อการรับมือทว่ายากต่อการโจมตี หากไม่มีถนนและขาดความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิประเทศของรัฐสู่แล้ว ไม่ว่ากองทัพจะแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ไร้ผล

ซ่งชูอีข้ามจุดประสงค์ไปเล็กน้อยและพูดคุยเกี่ยวกับของตอบแทน สู่อ๋องไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นจึงไม่ควรเปิดเผยความตั้งใจต่อหน้าเขาก่อนเวลาอันควร

“ท่านมิใช่ชาวฉินหรือ?” จู่ๆ สู่อ๋องถามขึ้น

ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “สายพระเนตรของฝ่าบาทดุจคบเพลิง กระหม่อมเป็นชาวซ่ง เข้ารัฐฉินมาได้ครึ่งปีแล้ว”

“ฉี ซ่ง เว่ยล้วนเป็นรัฐแห่งวีรบุรุษ ท่านอายุยังน้อยมากด้วยความสามารถ คงเดินทางมาหลายที่แล้ว เหตุใดจึงเข้ารัฐฉิน?” สู่อ๋องยิ้มพลางมองซ่งชูอี มีความพินิจพิเคราะห์อยู่ในสายตา

ซ่งชูอีมิได้พลาดการแสดงออกอันละเอียดอ่อนของเขา รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยจึงถือโอกาสพูดขึ้น “ฝ่าบาทไม่รู้กระไร กระหม่อมมาจากลัทธิเต๋า คำสอนของลัทธิเต๋านั้นได้รับความสรรเสริญอย่างสูงในจงหยวน เพียงแต่การปกครองบ้านเมืองแบบปล่อยให้มันเป็นไปที่พวกเราส่งเสริมนั้น มิได้รับการยกย่องจากผู้ที่มีอำนาจในรัฐต่างๆ กระหม่อมจึงเพียงหาเลี้ยงปากท้องก็เท่านั้น”

“ลัทธิเต๋า! หลายวันก่อนกว่าเหรินเพิ่งได้พบท่านปรมาจารย์จวงจื่อแห่งลัทธิเต๋า ลัทธิเต๋ามีความสุขใจ กว่าเหรินชอบนัก” สู่อ๋องกล่าวถึงจวงจื่อด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความชื่นชม เห็นได้ชัดว่าการพบกับจวงจื่อทำให้เขามีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง

ความขมขื่นค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาในบางแห่งของหัวใจซ่งชูอี ผู้ที่ทิ้งบาดแผลในใจของนางในชาติก่อนมีสามคน คนแรกคือบิดา คนหนึ่งคือหมิ่นฉือ ยังมีอีกคนซึ่งก็คืออาจารย์จวงจื่อ

สำหรับบิดานั้น นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้วก็ยังมีความรักและความซาบซึ้งที่มากยิ่งกว่า สำหรับหมิ่นฉือก็เคยรักและเคยฝ่าลมฝนมาด้วยกัน ทว่าจวงจื่อเป็นคนที่เห็นนางเติบโต เป็นทั้งอาจารย์และบิดา นิสัยของนางส่วนใหญ่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากเขา ไม่พบหน้ากันก็ช่างประไร ทว่าบัดนี้กลับได้ยินข่าวของเขาด้วยหูตัวเอง จะไม่ให้คลื่นในใจก่อตัวขึ้นได้เยี่ยงไร?

“ฝ่าบาททราบหรือว่าบัดนี้เขาอยู่ที่ใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

ซ่งชูอีเก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดีมาก สู่อ๋องมิได้รู้สึกกระไรเพียงเอ่ยว่า “มีแดนสวรรค์ใกล้กับหวังเฉิง กว่าเหรินสั่งให้คนตามหาเขาแล้ว”

จวงจื่อหลงรักธรรมชาติมาทั้งชีวิต ที่ใดมีภูมิทัศน์น่าพิศวง ที่ใดมีทัศนียภาพงดงาม เขาก็มักจะอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็สิบวันถึงครึ่งเดือน มากสุดก็สามถึงห้าปี ครั้นได้ข่าวของเขาแล้ว ซ่งชูอีก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาเขาไม่พบ

เวลาที่สู่อ๋องสวมชุดเกราะเขาก็เป็นหมาป่าตัวหนึ่ง ทว่านิสัยโดยปกติแล้วกลับผ่อนคลายเหมือนนกกระเรียนป่า รูปแบบและหลักคำสอนบางอย่างของลัทธิเต๋าเข้ากับรสนิยมของเขามาก ในความรู้สึกของเขา คนลัทธิเต๋าล้วนมีหัวใจอันบริสุทธิ์ ไม่มีความทะเยอทะยานหรือปรารถนาในชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้จึงอ่อนโยนกับซ่งชูอีขึ้นมากทีเดียว

ซ่งชูอีแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับหญิงงามกับสู่อ๋องครู่หนึ่ง นางเดินทางไปหลายรัฐ สตรีในแต่ละรัฐล้วนมีความน่ารักที่แตกต่างกัน เมื่อพูดถึงแล้วย่อมมีสีสันเป็นธรรมดา คิดไม่ถึงว่าสู่อ๋องจะฟังจนติดใจ จนลากนางเข้าไปคุยทั้งคืน สุดท้ายยังเชิญซ่งชูอีให้นอนร่วมเตียงเดียวกับเขาด้วยความกะตือรือร้น ทำเอาซ่งชูอีตกใจจนหนีไป

ท้องฟ้าส่องแสงสลัว นางกลับถึงจวนรับรองพร้อมกับท้องที่เต็มไปด้วยน้ำชา

ซ่งชูอีชำระร่างกายอย่างเร่งรีบ สั่งกู่หานไว้ว่าหากไม่มีธุระด่วนก็ห้ามรบกวน จากนั้นทันทีที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงก็หลับผล็อยไป

ด้านนอกฝนตกโปรยปราย แสงไฟสลัว เป็นอากาศที่เหมาะแก่การนอนจริงๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ซ่งชูอีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูถี่รัวท่ามกลางความสะลึมสะลือ

ค่อยๆ ดึงสติกลับก็พบกว่ามีคนกำลังเคาะประตูอยู่จริงๆ จึงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “มีอะไร?”

“ท่าน ได้เวลาตื่นมารับประทานอาหารเย็นแล้วขอรับ” กู่หานกล่าว

ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ถ้าเพียงแค่กินอาหารเย็นจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูด้วยความร้อนรนเช่นนี้ “เข้ามาเถิด”