ตอนที่ 176 กำหนดวันมงคล

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะถามคำถามนี้กับตน นางตกตะลึงไปครู่หนึ่งถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรไม่ดีกับข้า เพียงแต่ข้าไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของเขาก็เท่านั้นเจ้าค่ะ…” นางพยายามอธิบายเพิ่มเติมว่า “ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่ง แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว สายตาของทุกคนก็จะมารวมตัวอยู่ที่เขาทั้งหมด ประหนึ่งว่าไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ถูกสายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้รู้สึกไม่สบายใจนักเจ้าค่ะ…”

 

 

ไม่รู้ว่าเฉิงเจียซ่านเป็นที่หมายปองให้ไปเป็นว่าที่บุตรเขยของผู้คนมากมายเพียงใด เฉิงฉือเชื่อว่าโจวเสาจิ่นรู้อยู่แก่ใจดี

 

 

เหตุผลนี้จึงไม่เพียงพอให้เด็กสาวผู้หนึ่งอยากจะหนีห่างจากเฉิงเจียซ่านมากราวกับต้องการหนีงูหนีแมงป่องเช่นนี้!

 

 

แต่เฉิงฉือก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ

 

 

บางเรื่อง รีบร้อนเกินไปก็ไม่ได้ผล

 

 

เขามั่นใจว่าโจวเสาจิ่นมีความลับบางอย่างอยู่กับตัว แต่ความลับนี้จะมีผลกระทบต่อแผนการของเขาหรือไม่นั้นยังต้องตรึกตรองดูก่อน จะคุ้มค่าให้เขาตรวจสอบดูหรือไม่นั้นยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวในตอนนี้

 

 

เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “คนบางประเภทก็ไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความสนใจของผู้อื่นจริงๆ เฉิงเจียซ่านเป็นบุตรชายคนโตและหลานชายคนโตของตระกูลเฉิง จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นให้ความสนใจ เจ้าไม่ชินก็เป็นเรื่องปกติ”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งราวกับได้วางภาระอันหนักอึ้งลง ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง หันไปยิ้มให้เฉิงฉืออย่างขอบคุณ

 

 

เฉิงฉือกล่าว “ถ้าหากข้าได้ไปจิงเฉิงแล้วไม่มีธุระสำคัญอะไร ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ หากท่านยายกับพี่สาวของเจ้าอนุญาตให้เจ้าร่วมทางไปกับข้า ข้าจะพาเจ้าไปจิงเฉิงด้วยสักครั้งหนึ่ง!”

 

 

“จริงหรือเจ้าคะ!” นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นเปล่งประกายสุกใสขึ้นมา สว่างไสวราวกับดวงดาราบนฟากฟ้ายามค่ำคืน

 

 

เฉิงฉือลอบส่ายศีรษะอยู่ในใจ

 

 

ไม่แปลกที่เฉิงเจียซ่านจะวิ่งไล่ตามเด็กสาวผู้นี้อย่างไร้ยางอาย เด็กผู้นี้มีหน้าตาที่งดงามจริงๆ

 

 

เขากล่าว “ข้าทิ้งนายท่านใหญ่กู้เอาไว้ที่ห้องพักโดยสารคนเดียว คงต้องกลับไปดูสักหน่อยแล้ว เจ้ายืนชมทิวทัศน์อยู่บนหัวเรือสักพักแล้วก็รีบกลับห้องให้ไวเถิด! ลมยามค่ำคืนเย็นนัก ระวังจะป่วยไข้เอาได้ ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าดูสักเท่าไร ประเดี๋ยวรอให้ใกล้ถึงจินหลิงค่อยให้สาวใช้ไปเรียกเจ้า เรือจำนวนมากที่ชายฝั่งของสะพานเจียงตง เมื่อถึงยามค่ำคืนบนเสากระโดงเรือจะแขวนโคมไฟสีแดงเอาไว้ อย่างมากลำหนึ่งจะมีมากถึงสิบกว่าอัน อย่างน้อยก็จะมีหนึ่งถึงสองอัน ทำให้ผิวทะเลสาบดูเป็นสีแดงละลานตา เป็นทัศนียภาพที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก เจ้าไม่ค่อยได้ออกไปไหน ควรค่าแก่การชมสักครั้ง”

 

 

คำพูดที่กล่าวออกมาทั้งเอาใจใส่และคิดถึงผู้อื่น ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ

 

 

นางกล่าวขอบคุณเฉิงฉืออย่างจริงใจ รอจนกระทั่งเงาร่างของเฉิงฉือลับหายไปยังท้ายเรือแล้ว นางก็กลับไปที่ห้องพักโดยสาร

 

 

โจวชูจิ่นที่เฝ้ารอความเคลื่อนไหวของน้องสาวอยู่ตลอดนั้น เมื่อได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นนั่ง เอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นขานตอบยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” นางนั่งลงข้างเตียงของพี่สาว เล่าเรื่องที่ได้พบกับเฉิงฉือที่หัวเรือให้พี่สาวฟัง แต่แน่นอนว่า ไม่ได้เล่าเรื่องที่เฉิงฉือถามนางเกี่ยวกับเฉิงสวี่ให้พี่สาวฟังแม้แต่คำเดียว

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าก็กระไร อยากไปเยี่ยมท่านพ่อที่เมืองเป่าติ้งเพียงบอกข้าสักคำก็ได้แล้ว ย่อมต้องหาโอกาสไปได้อย่างแน่นอน ไม่เห็นจำเป็นต้องไปรบกวนท่านน้าฉือ ถึงแม้ข้าจะเคยเจอท่านน้าฉือเพียงไม่กี่ครั้ง แต่จากคำบอกเล่าของเจ้าก็พอจะฟังออกว่าท่านน้าฉือเป็นสุภาพบุรุษที่รักษาคำมั่นสัญญาผู้หนึ่ง หากถึงเวลานั้นเขาให้เจ้าตามไปที่เป่าติ้งจริงๆ เจ้าจะไปหรือไม่”

 

 

ถ้าเฉิงสวี่ยังอยู่ที่จิงเฉิง นางย่อมไม่ไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าเฉิงสวี่กลับมาแล้ว ต่อให้หลังจากนั้นนางจะถูกลงโทษอย่างไรนางก็จะต้องไปจิงเฉิงให้ได้สักครั้งหนึ่ง

 

 

เพียงแต่ว่าคำพูดเหล่านี้ไม่อาจพูดให้พี่สาวฟังได้ นางจึงยิ้มกลบเกลื่อนกลับไป

 

 

รอจนกระทั่งถึงสะพานเจียงตงในตอนกลางคืน โจวเสาจิ่นมองไปที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่พร่างพราวประหนึ่งภาพสะท้อนของดวงดาราบนฟากฟ้าที่ตกกระทบอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบ นางส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจออกมาไม่หยุดอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

โจวชูจิ่นที่เบียดตัวอยู่ตรงหน้าต่างกับน้องสาวก็มองอย่างหลงใหล ถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากลางคืนจะมีโคมไฟให้ดูด้วย”

 

 

โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือบอกมาเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงเจียที่อยู่อีกด้านหนึ่งบุ้ยปากอย่างไม่พอใจ พลางกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าก็ได้เจอท่านอาฉือ เหตุใดเขาถึงไม่บอกข้าบ้างเล่า”

 

 

“นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าไม่คุยกับเขาอย่างไรเล่า!” โจวเสาจิ่นมองไปที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่พวกนั้นที่กำลังจะผ่านเรือที่พวกนางนั่งอยู่ไป พลางกล่าว “ท่านน้าฉือเป็นคนดียิ่งนัก แล้วก็ยังยินดีช่วยเหลือผู้คนอีกด้วย เพียงแต่ดูไปแล้วเป็นคนเย็นชาไปสักหน่อยเท่านั้น”

 

 

“ไม่ใช่เพียงแค่เย็นชาไปสักหน่อยเท่านั้น” เฉิงเจียหันหน้ากลับไป มองไปที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่สิบกว่าอันที่จุดอยู่บนเรือหลวงลำหนึ่งที่อยู่ไกลๆ พึมพำกล่าวขึ้นว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าเขาเย็นชามาก…” ขณะที่นางกล่าว จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “พวกเจ้าดูทางนั้น ทางนั้นมีเรือบ้านอยู่ลำหนึ่ง”

 

 

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นต่างก็หันไปมองตามเส้นทางที่นางชี้

 

 

มีเรือบ้านอยู่ลำหนึ่งจริงๆ ด้วย

 

 

กระจกหน้าต่างหรูหรา สว่างไสวไปด้วยโคมไฟหลากหลายรูปแบบ เงาร่างของคนผลุบๆ โผล่ๆ เสียงดนตรีที่ไม่ค่อยชัดเจนนัก…ดึงดูดผู้คนที่อยู่ข้างๆ สะพานเจียงตงได้เป็นจำนวนมาก

 

 

“ไม่รู้ว่าเป็นเรือบ้านของผู้ใด” เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างอิจฉา “หากได้นั่งชมทะเลสาบโม่โฉวสักครั้ง ข้าก็ไม่เสียดายชีวิตนี้แล้ว”

 

 

พูดราวกับว่านางใกล้จะลาจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่ปาน

 

 

โจวชูจิ่นรีบหันไปทางทิศตะวันตก พนมมือขึ้นไหว้พลางกล่าว “คำพูดของเด็กไร้ซึ่งเจตนาร้ายๆ! องค์พระโพธิสัตว์ได้โปรดอย่าฟังคำพูดเหลวไหลของนางเลยนะเจ้าคะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

หลังจากลงจากเรือแล้ว พวกนางก็ขึ้นรถม้า

 

 

ตอนนี้ยามไฮ่สือแล้ว โจวเสาจิ่นค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับการปิดเมืองในยามค่ำคืน

 

 

นางเลิกผ้าม่านขึ้นดูเมื่อมาถึงประตูเมือง

 

 

เห็นเพียงว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดคือฉินจื่อผิง เขานั่งอยู่บนอาชาสีแดงตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่ง ข้างๆ เป็นรถม้าสีดำหลังคาเรียบเช่นเดียวกับของพวกนางจำนวนสองคัน

 

 

มีตะกร้าใบหนึ่งห้อยลงมาจากบนกำแพงเมือง ฉินจื่อผิงหยิบของบางอย่างคล้ายๆ กับป้ายตราสัญลักษณ์สักอย่างออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงไปในตะกร้า

 

 

ทหารยามที่อยู่บนกำแพงเมืองมองความโกลาหลยู่ครู่หนึ่ง

 

 

เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งก้านธูป ประตูข้างของประตูเมืองก็เปิดออก

 

 

รถม้าที่อยู่ข้างๆ ฉินจื่อผิงนำเข้าเมืองไปก่อนอย่างรวดเร็ว

 

 

คันที่ตามไปเป็นรถม้าที่พวกเจียงซื่อนั่ง ถัดมาเป็นรถม้าคันที่โจวเสาจิ่นนั่ง

 

 

ตอนที่รถม้าเข้ามาในเมืองนั้น โจวเสาจิ่นเห็นฉินจื่อผิงกับเจ้าหน้าที่คนที่มาเปิดประตูให้พวกเขากำลังคุยอะไรบางอย่างกันอย่างยิ้มแย้ม ดูจากท่าทางนั้นแล้วน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

 

 

ในเมื่อตระกูลเฉิงมีป้ายตราสัญลักษณ์เช่นนี้อยู่ด้วยชิ้นหนึ่ง เหตุใดก่อนที่จะถูกราชสำนักกวาดล้างถึงหนีออกไปไม่ได้แม้แต่คนเดียวเล่า

 

 

คงไม่ใช่ว่าหลังจากที่ท่านน้าฉือออกจากตระกูลเฉิงไปแล้วนำป้ายตราสัญลักษณ์นี้ติดตัวไปด้วยหรอกกระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ เมื่อกลับถึงซอยจิ่วหรูถึงได้พบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างก็ยังไม่นอน กำลังรอสอบถามพวกนางเกี่ยวกับเรื่องงานหมั้นเล็กที่ผูโข่วกันอยู่

 

 

หลังจากที่ส่งฮูหยินใหญ่กู้กลับไปแล้ว เจียงซื่อที่ยุ่งมาทั้งวันกลับยังคงเต็มไปด้วยกำลังวังชาเช่นเดิม นางพรั่งพรูเล่าสิ่งที่พบเห็นที่ตระกูลเหอว่า “…คุณหนูใหญ่ของตระกูลเหอเหมาะสมแล้วที่จะถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่โดดเด่นในบรรดาญาติพี่น้อง ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องหน้าตาที่งดงาม ดูอุปนิสัยแล้วก็ดียิ่งนัก…ฮูหยินใหญ่เหออาศัยอยู่ที่จิงเฉิง เป็นคนที่ได้เห็นโลกกว้างมามากผู้หนึ่ง ทำอะไรก็ใจกว้างยิ่งนัก…พวกเราไปหมั้นหมาย ก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร กระตือรือร้นยิ่ง…งานแต่งครั้งนี้ถือว่าเหมาะสมกันจริงๆ เจ้าค่ะ…”

 

 

โจวเสาจิ่นและอีกหลายคนที่อยู่ข้างๆ ฟังจนพากันง่วงเหงาหาวนอน ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอเจียงซื่อกล่าวจนจบ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นว่าธุระเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ดีใจเหลือแสน อยากจะเชิญเจียงซื่อรับประทานของว่างรอบดึกแล้วค่อยกลับไป โชคดีที่เจียงซื่อเป็นห่วงเฉิงหลู ปฏิเสธอย่างสุภาพไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้สำเร็จ จึงขอให้จัดงานเลี้ยงเป็นการขอบคุณเถ้าแก่ในวันพรุ่งนี้แทน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนถึงได้ยอมส่งเจียงซื่อกลับออกไป

 

 

เหน็ดเหนื่อยมาหนึ่งวัน กว่าโจวเสาจิ่นจะได้เข้านอนก็เกือบจะถึงยามอิ๋นสือแล้ว ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นนางนอนจนตะวันขึ้นสายโด่งแล้วถึงจะตื่นขึ้นมา

 

 

นางตะโกนคำว่า “แย่แล้ว” ออกมาไม่หยุด ทำให้ชุนหว่านที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหมายจะเข้ามาปรนนิบัตินางต้องรีบตักน้ำเข้ามา

 

 

ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช้าตรู่ของวันนี้ฮูหยินใหญ่แจ้งเอาไว้แล้ว บอกว่าเมื่อวานคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองเหนื่อยมาทั้งวัน ให้พวกข้าไม่ต้องปลุกคุณหนูทั้งสองเจ้าค่ะ” กลัวว่าโจวเสาจิ่นจะไม่สบายใจ จึงกล่าวอีกว่า “คุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ตื่นเหมือนกันเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง แล้วเอนตัวลงไปนอนใหม่อีกครั้ง

 

 

นางนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่อยู่บนเรือกับท่านน้าฉือเมื่อวาน

 

 

ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าท่านน้าฉือมีความรู้สึกที่ดีกับนางหรือไม่ แต่เวลาท่านน้าฉือคุยกับนาง ยามเห็นนางก็ยิ้มให้อย่างอบอุ่น ก็น่าจะไม่รังเกียจนางหรอกกระมัง

 

 

นี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว

 

 

แต่ว่าหลังจากนี้นางควรจะทำอย่างไรต่อดีนะ

 

 

โจวเสาจิ่นไม่มีรายการสิ่งที่ต้องทำอยู่ในใจเลยสักอย่าง

 

 

นางลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างหวั่นวิตก เฉิงเจียก็วิ่งเข้ามา กล่าวว่า “เจ้ารับปากว่าจะทำถุงหอมให้ข้าสองใบใช่หรือไม่”

 

 

เหตุใดถึงยังเป็นกังวลถึงเรื่องนี้อยู่

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “ทำถุงหอมให้เจ้านั้นไม่มีปัญหา แต่เจ้าต้องบอกข้ามาก่อนว่าจะทำให้ผู้ใด ข้าคงไม่อาจเย็บลายวานรบนหลังอาชาให้หญิงสาวผู้หนึ่งหรอกกระมัง”

 

 

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าให้ผู้ใด” เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย “ท่านแม่ของข้าบอกเพียงว่าให้ข้าเย็บถุงหอมให้นางสองใบนางจะได้เอาไว้มอบให้ผู้อื่นได้ ทีนี้เรื่องอื่นๆ ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของการเย็บถุงหอมแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะใช้เงินก้อนใหญ่สักก้อนซื้อกลับมาจากข้างนอกสักสองใบ แต่ท่านแม่ของข้าต้องการให้ข้าทำด้วยตัวเอง ข้าจึงบอกไปว่า ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะมาหาเจ้า ท่านแม่ของข้าเพียงดุด่าข้าไปชุดหนึ่ง แต่กลับไม่ได้บอกว่าไม่ให้เจ้าช่วยข้าทำ ข้ามาคิดดูแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านแม่ของข้าต้องการนำไปโอ้อวดต่อหน้าใครสักคน ก็เลยอยากให้ข้านำถุงหอมที่เจ้าเย็บขึ้นมาไปสวมรอยแทน…”

 

 

“เช่นนี้เจ้าก็ยังจะตอบรับอีกหรือ!” โจวเสาจิ่นยอมแพ้นางแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะให้ซือเซียงช่วยเจ้าเย็บก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นเจ้าก็บอกไปว่าข้าเป็นคนเย็บ ท่านแม่ของเจ้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว”

 

 

นางแอบสงสัยเล็กน้อยว่าเรื่องนี้กับเรื่องที่ว่ามารดาของเหอเฟิงผิงเป็นแม่สื่อให้เฉิงเจียนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกัน

 

 

เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “นี่…จะได้หรือ”

 

 

“ทำไมจะไม่ได้” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวว่า “เจ้าเพียงให้ข้าทำถุงหอมให้เจ้า แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าให้ข้าทำให้เจ้าด้วยตัวเอง!”

 

 

เฉิงเจียหัวเราะลั่น

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “นี่เรียกว่ากรรมตามสนอง”

 

 

“เช่นนั้นการแก้แค้นของเจ้าก็รุนแรงยิ่งนัก!”

 

 

ทั้งสองคนกล่าวล้อเล่นกัน ไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปเสีย

 

 

โจวเสาจิ่นยังคงไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานในทุกๆ บ่าย จึงไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวทุกเที่ยงและเย็น

 

 

กระทั่งเมื่อวันแต่งงานของเฉิงเก้าถูกกำหนดออกมาแล้ว จู่ๆ โจวเสาจิ่นก็มีโอกาสได้เจอกับเฉิงฉือที่เรือนหานปี้ซานบ่อยมากขึ้น เช่น บางครั้งเฉิงฉือต้องเดินหมากกับมารดา บางครั้งเฉิงฉือฝึกรำดาบอยู่ที่สวนไผ่หลังห้องโถงหลัก หรือบางครั้งก็เพียงเดินผ่านกันไป เป็นต้น

 

 

โจวเสาจิ่นจึงเหมือนกับคนหิวโหยผู้หนึ่ง ที่เห็นหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงวางอยู่ตรงหน้าแต่ไม่อาจคีบกินได้

 

 

มีหลายครั้งหลายโอกาส ที่ถูกนางใช้ไปอย่างเปล่าประโยชน์

 

 

นางทอดถอนหายใจอยู่ในใจ กลับไม่รู้เลยว่าขอเพียงมีเฉิงฉืออยู่ ตนก็มักจะพยายามรั้งอยู่ให้นานขึ้นอีกสักหน่อยทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

 

 

วันนี้ตอนที่นางไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ก็เห็นเฉิงฉือกำลังเดินหมากเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่

 

 

เขาวางหมากลงอย่างผ่อนคลาย จิบน้ำชาด้วยสีหน้าสบายๆ

 

 

ทว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับดูหนักอึ้ง อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แสงแดดกำลังอบอุ่นแท้ๆ ทว่าเสมือนกับอยู่ในช่วงฤดูร้อนก็ไม่ปาน บ่อยครั้งที่มีเหงื่อไหลออกมาตามหน้าผากของนาง

 

 

ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะไม่เข้าใจวิธีเดินหมาก แต่ก็พอจะเห็นระดับฝีมือสูงต่ำได้จากสีหน้าของทั้งสองคน

 

 

นางไม่กล้ารบกวน จึงยืนอยู่ข้างๆ รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินหมากให้เสร็จหรือไม่ก็ตอนที่บังเอิญเงยหน้าขึ้นมาเห็นนางโดยไม่ตั้งใจ

 

 

เฉิงฉือมองสีหน้าพินิจพิเคราะห์นั้นแล้ว จู่ๆ ก็ถามโจวเสาจิ่นขึ้นมาว่า “เจ้าเดินหมากเป็นหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ

 

 

เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย

 

 

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเรื่อ

 

 

การเดินหมากต้องมีสองคนถึงจะเล่นได้ ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ นางก็มักจะอยู่คนเดียวลำพัง ดังนั้นการละเล่นใดๆ ที่ต้องใช้คนสองคนหรือมากกว่าสองคนขึ้นไป นางล้วนเล่นไม่เป็น

 

 

แต่นางไม่อยากให้เฉิงฉือเข้าใจผิดคิดว่านางโง่เขลา

 

 

เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปาก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หันมาโบกมือให้โจวเสาจิ่นด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางกล่าว “อย่าเพิ่งส่งเสียงดัง!”

 

 

*****************************************