ตอนที่ 177 เดินหมาก

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นเงียบเสียงลงในทันที

 

 

เฉิงฉือกลับกล่าวขึ้นอย่างเสียไม่ได้ว่า “ท่านแม่ นี่เป็นหมากตาสุดท้ายของกระดานแล้ว ท่านอย่าคิดอีกเลย เวลาก็ไม่เช้าแล้ว สมควรจะรับมื้อเย็นได้แล้ว นอกจากนี้ก็ได้เวลาที่คุณหนูรองตระกูลโจวควรจะกลับแล้วขอรับ”

 

 

“ข้าดูออกตั้งนานแล้วว่านี่คือหมากตาสุดท้ายของกระดานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ทว่านัยน์ตากลับจ้องที่กระดานหมากตาไม่กะพริบ กล่าวขึ้นว่า “ข้ากำลังดูว่าเจ้าทำอย่างไรถึงได้ลวงข้ามาถึงจุดจบเช่นนี้ได้…ยิ่งอยู่ฝีมือการเดินหมากของเจ้าก็ยิ่งรุดหน้าไปมาก…” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว ก็จมดิ่งเข้าไปในภวังค์ความคิดอีกครั้ง

 

 

เฉิงฉือจึงปัดกวาดกระดานหมาก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ชอบใจ

 

 

เฉิงฉือกล่าว “ท่านอายุมากแล้ว จริงๆ ไม่ควรคิดมากหรือกังวลมาก ต่อไปอย่าเล่นหมากอีกเลยขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “ข้าให้เจ้าย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน คงไม่อาจมองเจ้าไม่ทำอะไรเลยทั้งวันกระมัง เจ้าก็มีงานอดิเรกอยู่ไม่กี่อย่างแค่นี้ ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วผู้ใดจะเล่นกับเจ้ากัน”

 

 

เฉิงฉือจึงมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาในทันที

 

 

ความจริงแล้วที่เฉิงฉือถามนางว่าเล่นหมากเป็นหรือไม่นั้นก็เพราะคิดจะให้นางเล่นหมากเป็นเพื่อนเขา เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ว่างเว้นจากสิ่งนี้นี่เอง!

 

 

แต่นางเล่นไม่เป็นเลยสักนิดจริงๆ!

 

 

โจวเสาจิ่นทั้งเสียดายและเสียใจ

 

 

หากรู้เสียแต่เนิ่นๆ ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็คงจะเรียนเดินหมากกับเฉินต้าเหนียงไปตั้งนานแล้ว

 

 

นางรีบกล่าวเสนอตัวว่า “ท่านน้าฉือ ท่านสอนข้าเดินหมากได้นี่เจ้าคะ! อีกอย่างช่วงนี้นอกจากคัดพระธรรมแล้ว ข้าก็ไม่อะไรอย่างอื่นให้ทำแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ความจริงแล้ว นางเพิ่งจะร่างภาพองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เตรียมจะมอบให้พี่สาวเสร็จไป กะว่าจะเริ่มต้นปักแล้ว

 

 

แต่ภาพองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมนั้นนางหาเวลาว่างทำเมื่อไรก็ได้ ส่วนโอกาสที่จะได้เข้าใกล้เฉิงฉือกลับเป็นสิ่งที่อาจลอยหายไปได้อย่างรวดเร็วในพริบตา

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดไม่ได้ปรบมืออย่างยินดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นดียิ่ง ทุกบ่ายเสาจิ่นมาคัดพระธรรมสักครึ่งชั่วยามแล้วก็เล่นหมากอีกสักสองกระดาน ไม่เสียงานแล้วก็ยังได้พักผ่อนด้วย!”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม

 

 

เฉิงฉือกลับเข้าใจผิดไปว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ชอบถ่อมตัว เมื่อถูกผู้อื่นถามขึ้นมา ผู้มีฝีมือการเดินหมากจำนวนไม่น้อยมักจะกล่าวว่าตัวเอง รู้เพียงผิวเผิน หรือแม้กระทั่งว่า ไม่ค่อยเข้าใจนัก

 

 

บางทีโจวเสาจิ่นก็อาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นกระมัง

 

 

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ เรื่องนี้ท่านวางใจเถิด! หากข้ารู้สึกเบื่อๆ เมื่อไร ข้าจะสอนหลานตระกูลโจวเดินหมากก็แล้วกัน ท่านอย่าใส่ใจข้าเลย ควรจะทำอะไรก็ไปทำสิ่งนั้นเถิดขอรับ!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี พึงพอใจยิ่งนัก

 

 

เฉิงฉือจึงกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้ามาให้เร็วสักหน่อย พวกเราเดินหมากเสร็จแล้วเจ้าค่อยไปคัดพระธรรม”

 

 

ในมุมมองของเขาแล้ว ได้ใช้สมองขบคิดยามเดินหมาก แล้วค่อยไปเพลิดเพลินกับการคัดพระธรรม นี่ต่างหากถึงจะเป็นการได้ทั้งงานและการพักผ่อนที่แท้จริง

 

 

โจวเสาจิ่นขานรับอย่างยินดี

 

 

เมื่อกลับมาถึงตอนกลางคืนจึงไปหาเฉินต้าเหนียง

 

 

เมื่อเฉินต้าเหนียงได้ยินว่านางอยากเรียนหมากล้อม ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเจ้ามีความสนใจ เช่นนั้นพรุ่งนี้ตอนกลางคืนค่อยมาเรียนก็แล้วกัน!”

 

 

บ่ายของวันพรุ่งนี้นางก็ต้องไปเล่นแล้ว จะให้พรุ่งนี้ตอนกลางคืนค่อยมาเรียนได้อย่างไร!

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้ารัชกาลก่อนเป็นกระดานหมากแบบสิบเจ็ดเส้น แต่ปัจจุบันเป็นแบบสิบเก้าเส้น ท่านอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดปัจจุบันถึงเป็นกระดานหมากแบบสิบเก้าเส้นเจ้าคะ”

 

 

เฉินต้าเหนียงเงียบไปกว่าครู่ใหญ่

 

 

นี่หากว่าเป็นที่อื่น ยังไม่ได้มอบตัวเป็นศิษย์ก็คิดจะเรียนเดินหมากกับนางแล้ว นางคงจะไล่คนออกไปตั้งนานแล้วอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ นางเป็นอาจารย์หญิงที่ตระกูลเฉิงเชิญมาสอน ลูกศิษย์บอกว่าต้องการเรียนเดินหมากกับนาง นางก็ต้องสอน…นอกจากนี้ ที่ผ่านมาตระกูลเฉิงก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดี ตารางเรียนก็จัดให้มีเวลาว่าง หากนางปฏิเสธ คงทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่านางไม่สำนึกในบุญคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่

 

 

“ก็ได้ วันนี้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังว่าหมากล้อมคืออะไร” ขณะที่เฉินต้าเหนียงกล่าว ก็หมุนกายไปหยิบกระดานหมากและตัวหมากมา “จากพงศาวดาร ‘กำเนิดโลก’ บันทึกโบราณตั้งแต่ก่อนยุคฉิน กล่าวว่า องค์จักรพรรดิเหยาประดิษฐ์หมากล้อมขึ้นมา เพื่อเอาไว้สั่งสอนพระโอรสตันจู นี่คือจุดกำเนิดของหมากล้อม…ใน ‘พงศาวดารจั่วจ้วน เซียงกงปีที่ยี่สิบห้า’ บันทึกเอาไว้ว่า เว่ยเซี่ยนกงส่งคนจากอี๋อี๋มาเจรจากับหนิงสี่เรื่องขอกลับมา หนิงสี่ตอบรับคำขอแล้ว ท่านอาใหญ่เหวินจื่อได้ยินแล้ว ก็กล่าวว่า…ตอนนี้หนิงจื่อเห็นบ้านเมืองสำคัญไม่เท่าการเล่นหมาก แล้วจะหลีกลี้จากเหตุร้ายได้เยี่ยงไร หากผู้ถือหมากจิตใจโลเล ย่อมไม่อาจมีชัยเหนืออีกฝ่าย นับประสาอะไรกับการปกครองบ้านเมืองที่ไม่เด็ดขาด ย่อมไม่อาจหลีกลี้จากเหตุร้ายได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีบันทึกเกี่ยวกับหมากล้อมอยู่ในพงศาวดารสมัยเว่ยจิ้น…เหมือนดังจำนวนจุดโคจรของจักรวาล หมากล้อมประกอบด้วยจุดสามร้อยหกสิบเอ็ดจุดบนกระดานที่มีเส้นพาดตัดกันสิบเก้าเส้น…ยอดฝีมือทั่วแผ่นดินได้บันทึกตำราคู่มือการเล่นหมากล้อมเอาไว้มากมาย ตำราที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาตำราคู่มือทั้งปวง ก็อย่างเช่น ‘เซียนแห่งห้องศิลา’ ‘เซียนยอดฝีมือ’ ‘ปกิณกะเริงรมย์’ ‘สมุดภาพไตรภูมิแห่งหมากล้อม’ เป็นต้น…ซ่งจิ่งหร่านผู้เป็นจี้เซียงในรัชสมัยนี้ หยวนเหวยชางผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนัก หงซิ่วผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมกลาโหม ชวีหยวนผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมโยธาธิการและคนอื่นๆ ต่างก็เป็นยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมทั้งสิ้น…เจ้าดู บนกระดานนี้มีจุดเล็กๆ อยู่เก้าจุดด้วยกัน แต่ละจุด เรียกว่า ‘จุดดาว’ ส่วนจุดที่อยู่กึ่งกลางกระดานที่สุดจุดนี้เรียกว่า ‘จุดกำเนิดสวรรค์’ เส้นขอบแต่ละเส้นบนกระดานเรียกว่า ‘เส้นที่หนึ่ง’ ส่วนเส้นถัดจากเส้นที่หนึ่งเรียกว่าเส้นที่สอง…”

 

 

นางอธิบายต้นกำเนิดและกฎเกณฑ์การเล่นหมากล้อมให้โจวเสาจิ่นฟังอย่างใส่ใจและอดทน อะไรที่เรียกว่า ‘การเรียกกิน’ อะไรที่เรียกว่า ‘การต่อรอง’ และอะไรที่เรียกว่า ‘การสร้างหมากเป็น’ ด้วยกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะไม่เข้าใจ จึงอธิบายไปด้วย แสดงตัวอย่างให้ดูบนกระดานหมากไปด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นฟังแล้วก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

 

 

สิ่งที่เฉินต้าเหนียงอธิบายมานั้น ชาติก่อนนางพอจะเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย ตอนนี้ได้ฟังนางอธิบายให้ตนฟังคนเดียวอย่างละเอียดอีกครั้งแล้ว ไม่เพียงฟังเข้าใจเท่านั้น โจวเสาจิ่นยังแยกแยะความแตกต่างของการวางหมากในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกด้วย ทำให้นางรู้สึกสนุกและกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จึงรู้สึกว่าความจริงแล้วการเล่นหมากล้อมก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง

 

 

เฉินต้าเหนียงอธิบายให้นางฟังมาเกือบหนึ่งชั่วยาม เมื่อเห็นว่าจวนเจียนจะได้เวลาที่แต่ละจวนจะปิดประตูกันแล้ว จึงจบหัวข้อสนทนาแต่เพียงเท่านี้

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณเฉินต้าเหนียง รับปากว่าคืนพรุ่งนี้จะมาอีก

 

 

เฉินต้าเหนียงขานรับยิ้มๆ ให้สาวใช้ข้างกายไปส่งนางที่ประตู

 

 

บ่ายของวันถัดมา โจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปที่เรือนหานปี้ซานเร็วกว่าในยามปกติไปครึ่งชั่วยาม

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงพักผ่อนอยู่ และแน่นอนว่าเฉิงฉือยังมาไม่ถึง

 

 

ผู้คนมักจะง่วงงุนในฤดูใบไม้ผลิและเหนื่อยอ่อนในฤดูใบไม้ร่วง หนังตาบนและล่างของเจินจูผู้เป็นสาวใช้ใหญ่ที่เฝ้าเวรอยู่ต่างก็กำลังต่อสู้อย่างหนักกับความง่วงเหงาหาวนอน

 

 

โจวเสาจิ่นอดพึมพำอยู่ในใจไม่ได้

 

 

บอกให้ตนมาให้เร็วสักหน่อย แต่เขากลับยังไม่เห็นแม้แต่เงา…

 

 

นางนั่งดื่มชาอย่างขุ่นเคืองอยู่ในห้องน้ำชา

 

 

กระทั่งนางดื่มชาจนหมดไปสี่จอก เฉิงฉือถึงได้มาถึงอย่างเชื่องช้า

 

 

โจวเสาจิ่นรีบเดินออกจากห้องน้ำชาไป

 

 

เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย เขาหยิบนาฬิกาพกออกมาดูครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “การเล่นหมากเป็นเพียงงานอดิเรกอย่างหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกดดันถึงเพียงนี้ บางครั้งข้าก็มีธุระ ไม่อาจมาเล่นทุกวันได้”

 

 

ฉะนั้นถึงกล่าวกันว่า คนเมื่อละกิเลสได้ก็เป็นอิสระในตัวเอง

 

 

นางที่ยังมีกิเลสอยากเข้าใกล้ท่านน้าฉือให้ได้ จะทำอะไรจึงได้แต่ต้องดูสีหน้าของเขาเช่นนี้

 

 

โจวเสาจิ่นลอบพิจารณาอยู่ในใจ พยักหน้ารับพลางยิ้มน้อยๆ

 

 

เฉิงฉือและนางมุ่งหน้าไปยังห้องโถง

 

 

ได้พบกับปี้อวี้ที่ออกมาต้อนรับ

 

 

เฉิงฉือถามปี้อวี้ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังทำอะไรอยู่”

 

 

“เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นมาได้ครู่หนึ่ง หลังจากจิบชาไปหนึ่งจิบก็กลับไปนอนใหม่อีกครั้งแล้วเจ้าค่ะ” ปี้อวี้ตอบอย่างนอบน้อม

 

 

เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เช่นนั้นวันนี้พวกเรายังไม่เดินหมากก็แล้วกัน เจ้ากลับไปคัดพระธรรมเถิด!”

 

 

เหตุใดถึงกลับคำพูดอีกแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ

 

 

เฉิงฉืออธิบายว่า “ข้ากลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะมีเรื่องไม่สบายใจ”

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขากำลังหลอกล่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพลิดเพลินอยู่เท่านั้นเอง!

 

 

โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เช่นนั้นท่านไปทำธุระของท่านเถิดเจ้าค่ะ ข้าเรียนการเล่นหมากกับท่านเมื่อใดก็ได้!”

 

 

เด็กคนนี้ช่างรู้ความยิ่งนัก

 

 

เฉิงฉือพยักหน้าให้อย่างพึงพอใจ สั่งการปี้อวี้ว่า “รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นแล้ว เจ้าไปบอกข้าด้วย”

 

 

ปี้อวี้ขานรับอย่างนอบน้อม

 

 

โจวเสาจิ่นไปคัดพระธรรมที่ห้องพระ

 

 

วันนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับไปตลอดทั้งบ่าย นางจึงคัดพระธรรมไปตลอดทั้งบ่ายเช่นกัน

 

 

วันถัดมา ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ถัดจากนั้นเฉิงฉือก็ไปเจ่าหยวน

 

 

อีกวันถัดจากนั้น สะใภ้ใหญ่สือของจวนรองเชิญบรรดาสตรีในบ้านไปชมดอกโบตั๋น

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้ไปร่วม

 

 

นางนั่งปักรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมถือแจกันรูปนั้นอยู่ที่บ้าน

 

 

คราวนี้ผ่านไปเจ็ดถึงแปดวัน เมื่อเห็นว่าเข้าสู่ช่วงเอ้อฝู โจวเสาจิ่นนำชุดสำหรับฤดูร้อนที่ทำให้เนื่องในโอกาสวันเกิดของบิดามอบหมายให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานนำไปส่งที่เป่าติ้งเรียบร้อยแล้ว ทางด้านเรือนหานปี้ซานถึงได้มีเวลาว่างมาเล่นหมากล้อม

 

 

โชคดีที่โจวเสาจิ่นใช้เวลาก่อนหน้านี้ไปเรียนเล่นหมากล้อมกับเฉินต้าเหนียง

 

 

เฉิงฉือยังไม่รู้ระดับฝีมือการเล่นของโจวเสาจิ่น จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องต่อหมากให้กับนาง และให้โจวเสาจิ่นเป็นฝ่ายถือครองหมากสีขาว

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ว่านี่เป็นเพราะเฉิงฉือให้เกียรตินาง จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือเป็นฝ่ายถือหมากสีขาวเถิดเจ้าค่ะ! หมากสีดำวางก่อน ข้าได้สิทธิ์วางก่อน”

 

 

เฉิงฉือไม่พิธีรีตองกับนางอีก เร่งเร้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับห้องไปพักกลางวัน “…ท่านจะได้ไม่ต้องเห็นแล้วก็คิดโน่นคิดนี่อีก ระหว่างที่หมกมุ่นยากจะพาตัวเองออกมาได้นะขอรับ!”

 

 

“ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างขุ่นเคือง ทว่ารอยยิ้มที่อยู่ในตากลับทำให้คนมองออกว่านางกำลังมีความสุขเป็นอย่างมากที่ถูกบุตรชายคอยกำกับเช่นนี้

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะ

 

 

ปี้อวี้กับเฝ่ยชุ่ยประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปพักผ่อนที่ห้องชั้นใน

 

 

เห็นได้ชัดว่าเฉิงฉือดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่มากนัก เขาวางหมากลงบนจุดดาวตรงมุมซ้ายอย่างเกียจคร้าน

 

 

เมื่อวานโจวเสาจิ่นเพิ่งเรียนกับเฉินต้าเหนียงมา จึงครอบครองจุดดาวตรงมุมขวาเลียนแบบเขา

 

 

เจ้าเดินตาหนึ่ง ข้าเดินตาหนึ่ง ทั้งสองคนต่างเล่นหมากไปตามกฎและกติกาของมัน

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนเล่นหมากได้ไม่เลวนัก อย่างน้อยก็ ล้อม กินเฉิงฉือได้

 

 

ทว่าเฉิงฉือกลับยิ่งเล่นก็ยิ่งบังเกิดความสงสัยขึ้นในใจ

 

 

ตกลงแล้วโจวเสาจิ่นผู้นี้เล่นหมากเป็นหรือไม่กันแน่

 

 

ทิศตะวันออกวางตัวหนึ่งทิศตะวันตกก็วางตัวหนึ่ง เริ่มแรกเขายังคิดไปว่ามีเจตนาอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ แต่หลังจากที่เดินหมากไปแล้วเจ็ดถึงแปดตาถึงได้ค้นพบว่า โจวเสาจิ่นเป็นเพียงผู้เริ่มฝึกหัดประเภทที่เกรงว่าแม้แต่องค์ประกอบหรือทิศทางของกระดานหมากคืออะไรก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ…ไม่สิ แม้แต่ผู้เริ่มฝึกหัดก็ยังเทียบไม่ได้ ยังอยู่ในขั้นเริ่มแรกสุดเท่านั้น

 

 

เขาอดที่จะลอบสำรวจโจวเสาจิ่นอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่ได้

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะอากาศที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้อน วันนี้นางจึงสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเขียวอ่อนตัวหนึ่ง ขอบเสื้อเป็นสีเหลืองอ่อนของห่านลายเถาองุ่น เส้นผมที่ดำเงางามดุจเส้นไหมถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยหลวมๆ มวยหนึ่งตรงท้ายทอย เผยให้เห็นหน้าผากที่สะอาดเกลี้ยงเกลาและคิ้วดำโก่งโค้งดั่งขุนเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ ดูสดชื่น ผ่อนคลาย และสะอาดสะอ้าน ประหนึ่งดอกกล้วยไม้ที่กำลังเบ่งบานดอกหนึ่งก็ไม่ปาน ตอนนี้นางกำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดไปจดจ้องอยู่ที่กระดานหมาก ใบหน้าเล็กตึงเครียดเอาจริงเอาจัง เผยความกดดันออกมาให้เห็นเล็กน้อย

 

 

เฉิงฉือกล่าว “เจ้าเรียนเล่นหมากล้อมกับผู้ใดหรือ”

 

 

“อา!” โจวเสาจิ่นกำลังคิดถึงคำพูดของเฉินต้าเหนียง กำลังคิดวิธีหา ‘หมากเป็น’ อยู่ เมื่อได้ยินคำถามก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างงงๆ ครู่ใหญ่ถึงจะกล่าวออกมาว่า “ข้าเรียนกับเฉินต้าเหนียง เป็นอาจารย์หญิงของห้องศึกษาจิ้งอันเจ้าค่ะ…”

 

 

เฉิงฉือเหงื่อออกตามหน้าผาก ถามต่อว่า “เจ้าเรียนมากี่วันแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นคำนวณครู่หนึ่ง ตอบว่า “เรียนมาสิบเก้าวันแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

นางกลัวว่าหากนางจะไม่รู้อะไรเลย เฉิงฉือจะรังเกียจที่นางโง่เขลาเกินไป

 

 

เฉิงฉือเข้าใจแล้ว

 

 

ที่นางบอกว่า ไม่เป็น นั้นหมายความว่า ไม่เป็น จริงๆ ไม่ใช่การถ่อมตัวแต่อย่างใด

 

 

แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงถามเช่นนั้น นางลอบยินดีอยู่ในใจ

 

 

ท่านน้าฉือวางหมากอย่างไม่ตั้งใจนัก มีหมากเป็นอยู่หนึ่งที่ที่เขาไม่ได้สังเกตเห็น นางจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วให้เฉิงฉือเดินต่อไปอีกหนึ่งตา รอให้ถึงตอนที่นางวางหมากลง ก็จะจับกินหมากเจ็ดถึงแปดตัวนั้นของเฉิงฉือมาเป็นเชลยได้ ทีนี้นางก็จะได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกระดานแล้ว

 

 

นางเบิกตาโตมองไปที่เฉิงฉือ มีความคาดหวังเผยออกมาให้เห็นอยู่หลายส่วนอยู่ลางๆ

 

 

เฉิงฉือพลันบังเกิดความระแวดระวัง กวาดตามองกระดานหมากครั้งหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ วางหมากลงบนจุดหมากเป็นที่โจวเสาจิ่นเห็นจุดนั้น

 

 

เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นโอดครวญ รู้สึกสิ้นหวังจนเกือบจะทรุดตัวลงไปแล้ว ทว่าเฉิงฉือกลับยังกล่าวขึ้นมาอย่างเรียบๆ ว่า “ถึงตาเจ้าแล้ว!”

 

 

*****************************************