ตอนที่ 162 เข้าหอนางโลม (2)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ขันทีน้อยนั้นอดหัวเราะฮิฮะ ก่อนเอ่ยปากไม่ได้

“เป็นที่นั่น หอจุยเซียนเป็นหอนางโลมเปิดใหม่ในเมืองหลวง ลือกันว่าภายในมีสาวงามดุจเมฆ และยังมีสาวงามจากตะวันตกอีกไม่น้อย ข้าคิดว่าองค์ชายเจ็ดคงไปชื่นชมสาวงาม ฮิๆ”

แม้ขันทีจะตัดสิ่งนั้นไปแล้ว แต่ทุกคนต่างมีใจที่สอดรู้สอดเห็น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ขันทีน้อยนั้นจะหัวเราะอย่างลามกเช่นนี้

เล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของขันทีน้อยผู้นี้ อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้

ในใจรู้สึกเหยียดหยาม

หนานกงจวิ้นซีที่แท้อารมณ์ดีอย่างยิ่ง!

เมื่อครู่ยังบอกชื่นชอบเธอ ตอนนี้กลับไปหอนางโลม คิดไปแล้วก็เป็นเพียงองค์ชายเจ้าชู้!

ขณะเล่อเหยาเหยาก่นด่าในใจ ถงหย่าเอ๋อร์ ที่ยืนอยู่ข้างเธอ หลังได้ยินคำพูดของขันทีน้อยผู้นั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่นชั่วขณะ ใบหน้าจิ้มลิ้มโมโห พลันเอ่ยขึ้นว่า

“อะไรนะ ศิษย์พี่รองไปหอนางโลม น่าตายนัก ศิษย์พี่รอง ข้าไม่ไว้ชีวิตท่านแน่!”

หลังจากถงหย่าเอ๋อร์ เอ่ยคำรามอย่างโมโหเดือดดาล บางคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในหอจุยเซียนเวลานี้ อดหนาวสั่นไม่ได้ หลังลูบจมูก พึมพำกับตนเองอย่างสงสัยขึ้นว่า

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกไม่ดีเสียเลย”

หลังเอ่ยพึมพำจบ สายตามองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องถามท่าน”

“จวิ้นซี ตอนนี้ไม่เหมาะสมที่จะสนทนาเรื่องอื่น มีเรื่องใด กลับวังอ๋องแล้วค่อยว่ากัน”

เมื่อเห็นหนานกงจวิ้นซีรีบร้อนมาหาตน เหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายคาดเดาได้ว่าคือเรื่องใด

ในใจอดหมดอาลัยไม่ได้ ดูแล้วกระดาษมิอาจห่อไฟไว้ได้แล้ว

แต่แม้เขาจะรู้แล้วจะเป็นเช่นไร หญิงสาวที่เขาชื่นชอบ เขาไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด

ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดคุย

หนานกงจวิ้นซีที่นั่งอยู่ตรงข้ามเองก็ทราบดี ดังนั้นจึงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ แต่ดวงตาคู่นั้น กลับมองภาพทิวทัศน์ด้านนอกจากหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้

ขณะเดียวกันที่ประตูหอจุยเซียน หนุ่มน้อยรูปโฉมไม่ธรรมดาสองคนกำลังยืนอยู่

เห็นเพียงหนุ่มน้อยสองคนนี้ คนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ รูปโฉมหมดจดงดงาม

คนหนึ่งกลับสวมชุดสีน้ำเงินธรรมดา แม้เสื้อผ้าจะเรียบง่าย แต่กลับไม่กระทบต่อความงามของ ‘เขา’ แม้แต่น้อย

บางคน โดยธรรมชาติต้องอาศัยเสื้อผ้าเสริมให้ตนเองดูสูงส่งไร้ที่เปรียบเทียบ แต่บางคน แม้สวมเสื้อผ้าธรรมดาที่สุด ก็ไม่สามารถปิดบังกลิ่นอายที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดนั้นได้

และหนุ่มน้อยชุดน้ำเงิน คืออย่างหลัง!

เดิมทีหอจุยเซียนคือสถานที่ที่รวบรวมสาวงามทั้งหมดไว้ ผู้คนที่เดินเข้าไป เพราะภายในมีสาวงามโดดเด่นมีชื่อเสียงจึงพากันมาที่นี่

ทว่าเพราะมีหนุ่มน้อยโดดเด่นสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตู จึงมีเหล่าสาวงามจำนวนไม่น้อยรวมตัวอยู่ที่ประตูด้านนอก

เมื่อเห็นหนุ่มน้อยหล่อเหลาสองคนยืนอยู่ที่ประตูด้านนอก เหล่าสาวงามในหอจุยเซียน ต่างเข้ามาโบกผ้าเช็ดหน้าเข้ามาต้อนรับ ‘พวกเขา’ อย่างคึกคัก น้ำเสียงดูไพเราะหยาดเยิ้มนั้น ทำให้คนฟังขนลุกขนชันอย่างทนไม่ได้

อย่างน้อย เล่อเหยาเหยารับไม่ได้กับน้ำเสียงดัดจริตพวกนั้น ในใจก็อดสับสนไม่ได้

เหตุใดชายหนุ่มพวกนั้นจึงต่างชื่นชอบมาสถานที่เช่นนี้ หรือพวกเขาไม่รู้ว่าหญิงสาวเหล่านี้เสแสร้ง!

หรือดอกไม้ที่บ้าน มิอาจสู้ดอกไม้ป่า!

ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาอดเงยหน้ามองสำรวจรอบด้านครู่หนึ่งไม่ได้

ความจริงเวลานี้ยังเป็นตอนบ่าย แต่หอจุยเซียนเปิดตลอดสิบสองชั่วยาม หรือเทียบเท่ากับยี่สิบสี่ชั่วโมงในยุคปัจจุบัน

ไม่ว่าจะมาตอนเย็น หรือมาตอนกลางวัน ประตูใหญ่ของหอจุยเซียนต่างเปิดรอรองรับ

ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยให้มาที่นี่

รวมทั้ง หอจุยเซียนยังลือกันว่ามีสาวงามจากตะวันตกอีกไม่น้อย

ในสมัยโบราณนี้ต่างทราบกันดีว่า ตะวันตกเต็มไปด้วยสาวงาม และสาวงามจากตะวันตกต่างเชี่ยวชาญร้องเพลงเต้นระบำ จึงไม่แปลกที่หอจุยเซียนนี้เปิดกิจการได้ไม่ถึงเดือน กลับดึงดูดชายหนุ่มมากหน้าหลายตาให้มาที่นี่

หอจุยเซียนถูกสร้างขึ้นเป็นอย่างดี

ไม่ดูคร่ำครึเช่นหอนางโลมแห่งอื่น

หอจุยเซียนนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่บนย่านที่รุ่งเรืองของเมืองหลวง แต่ตั้งอยู่กลางสวนดอกท้อที่ค่อนข้างห่างไกล

เห็นเพียงด้านหลังสวนดอกท้อนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ด้านหน้ามีแม่น้ำแวววาวเป็นประกายสายหนึ่ง มองเห็นเขาเขียวน้ำใส ดุจดินแดนแห่งความฝัน

ส่วนสถาปัตยกรรมของหอจุยเซียน สง่างดงามอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งของใดที่หรูหรา ส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ไผ่

เวลานี้เป็นช่วงฤดูร้อน คนที่เดินอยู่ภายในจึงรู้สึกเย็นสบายอย่างยิ่ง

“คิดไม่ถึงหอจุยเซียนจะสร้างได้อย่างประณีตจริงๆ”

เล่อเหยาเหยาหลังสำรวจรอบด้าน เอ่ยขึ้นจากใจจริง

ทว่าถงหย่าเอ๋อร์ ที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยิน กลับเบ้ปากอย่างดูถูก เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า

“ประณีตที่ใด ต่างทำแต่เรื่องสกปรก”

พอพูดถึงตรงนี้ ถงหย่าเอ๋อร์ พลันชะงัก ก่อนกัดฟันกรอดเอ่ยขึ้นว่า

“ศิษย์พี่รองน่าตายนัก กลับรีบมาสถานที่เช่นนี้ ข้าไม่ไว้ชีวิตท่านแน่”

ถงหย่าเอ๋อร์ กัดฟันกรอดเอ่ยขึ้น บนใบหน้าน่ารักนั้นดูเคร่งขรึม มองแล้วคล้ายกับภรรยาที่รู้ว่าสามีตนแอบอยู่ที่นี่ ก่อนโมโหรีบร้อนมาคิดบัญชี

เล่อเหยาเหยาที่มองอยู่ด้านข้าง อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ ทำให้ถงหย่าเอ๋อร์ เหลือบมองอย่างไม่พอใจ

สุดท้ายเล่อเหยาเหยาที่ถูกถงหย่าเอ๋อร์ เหลือบมองอย่างไม่พอใจ จึงเพียงปิดปากแอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง

เพราะตอนนี้เธอมาเพื่อจับชู้ เธอยังหัวเราะอยู่ด้านข้าง ช่างไร้ความหมายเสียจริง ดังนั้นเล่อเหยาเหยาเพียงอดแอบหัวเราะไว้

“ไม่ต้องคิดแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถิด”

“จะเข้าไปจริงๆ หรือ”

สำหรับคำพูดของถงหย่าเอ๋อร์ ทำให้เล่อเหยาเหยาตกใจและรู้สึกแปลกใจ

ความจริงสำหรับสถานที่ประเภทนี้ เธอเคยมาเพียงครั้งเดียว ตอนนี้จึงรู้สึกเก้อเขิน

เธอเป็นคนยุคสมัยปัจจุบัน!

ผู้ใดจะรู้ ถงหย่าเอ๋อร์ ที่เกิดและเติบโตในยุคโบราณ กลับมีความกล้าหาญมากเช่นนี้ หญิงสาวผู้หนึ่งกลับกล้ามาเหยียบสถานที่ประเภทนี้ ความกล้าช่างมากมายจริงๆ

คนที่กล้ารักกล้าเกลียดเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาตัดสินใจว่าต้องเป็นเพื่อนกับเธอ!

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ เห็นถงหย่าเอ๋อร์ พยักหน้า พลางเอ่ยอย่างมั่นใจว่า

“ย่อมแน่อยู่แล้ว มิฉะนั้นข้าจะมาที่นี่ทำไม”

เอ่ยจบ เห็นถงหย่าเอ๋อร์ เดินเข้าไปด้านในอย่างโมโหเดือดดาล

เล่อเหยาเหยาที่เห็น ทำได้เพียงส่ายหน้า ก่อนเดินตามเข้าไป

เพราะแม้เธอจะรู้สึกว่าเข้ามาสถานที่ประเภทนี้จะดูไม่ดี แต่ความจริงในใจกลับแปลกใจอย่างมาก

เพราะหอจุยเซียนดูจากด้านนอกว่าดูดีแล้ว ไม่รู้ด้านในจะเป็นเช่นไร

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ พวกเธอก็เดินเข้ามาภายในหอจุยเซียนแล้ว

เหล่าสาวงามพวกนั้นต่างมองพวกเธออย่างน้ำลายไหล ดุจหมู่ภมรที่คอยเมียงมอง เข้ามาล้อมรอบพวกเธอไว้

เสียงไพเราะเพริศพริ้งนั้น ทำให้คนรู้สึกว่าแม้กระทั่งกระดูกยังอ่อนเปลี้ย

“คุณชายทั้งสองรูปโฉมหล่อเหลาจริงๆ มาที่หอจุยเซียนของเราครั้งแรกสินะ”

“ฮิ ๆ ผิวของคุณชายช่างดีจริงๆ ทำให้สตรีเช่นพวกเราอิจฉายิ่งนัก”

“คุณชายมีนามว่าอะไร”

นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกหญิงสาวห้อมล้อมมากมายเช่นนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาและถงหย่าเอ๋อร์ ต่างหน้าแดง ไม่เป็นตัวของตัวเอง

เพราะทุกคนต่างเป็นผู้หญิง พวกเธอไม่ใช่ผู้ชาย เมื่อถูกหญิงสาวเหล่านี้แตะเนื้อต้องตัว ดุจแม่เสือ ทำให้คนที่เห็นต่างหวาดกลัว

และพวกเธอสองคนต่างมาตามหาคน ย่อมไม่ได้มาหาหญิงสาวคอยปรนนิบัติ

แต่ขณะที่พวกเล่อเหยาเหยาอยากถอยห่างจากหญิงสาวเหล่านี้ พลันเกิดเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง ทันใดนั้นหอจุยเซียนที่เคยคึกคักไม่หยุด พลันเปลี่ยนไปเป็นเงียบงัน

ทว่าความเงียบงันนี้เกิดขึ้นไม่ได้นาน เพราะมีร่างคนถูกทำร้ายตกลงมาจากชั้นสอง สมองแตกกระจายอยู่ตรงนั้น

ขณะที่เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศทาง เสียงตกใจ พลันเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง ดังขึ้นมาอย่างตกใจ

จากเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งนั้น ทุกคนต่างวิ่งวนไปรอบด้านอย่างตื่นตระหนก เพื่อหนีไปจากตรงนั้น

สำหรับเรื่องที่พลันเกิดขึ้นนี้ ทำให้พวกเล่อเหยาเหยาตกใจเช่นกัน กำลังคิดดึงถงหย่าเอ๋อร์ จากไป คิดไม่ถึง เงาร่างที่คุ้นตานั้น ทำให้เล่อเหยาเหยาอดชะงักฝีเท้าไม่ได้