ตอนที่ 162 เข้าหอนางโลม (1)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สิ่งที่ดึงดูดใจที่สุดคือ ดวงตาโตวาวใสคู่นั้น แบ่งขาวดำชัดเจน ไร้เดียงสาเช่นนี้ ราวกับน้ำที่ใสบริสุทธิ์

และบนตัว ‘เขา’ ยังดูมีบุคลิกไร้พิษสง เมื่ออยู่กับ ‘เขา’ จะรู้สึกผ่อนคลายเป็นที่สุด ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้ผู้คนชื่นชอบยิ่งนัก

แต่…

เมื่อสายตาสาวน้อยมองมาที่เสื้อผ้าของเล่อเหยาเหยา ภายในแววตาอดเผยความเสียดายออกมาไม่ได้

น่าเสียดาย คนที่บริสุทธิ์ผุดผ่องนี้ กลับเป็นขันที

เพราะความเสียดายในแววตาของสาวน้อยเด่นชัดเกินไป เล่อเหยาเหยาจึงย่อมมองเห็น

ทว่าเธอยังไม่ส่งเสียงเช่นเดิม ขณะสำรวจท่าทางของสาวน้อยจบ จึงนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของสาวน้อย ในใจอดเกิดความสงสัยไม่ได้

ผู้หญิงคนนี้คือผู้ใดกันแน่!

เหตุใดเธอจึงรู้ว่าหนานกงจวิ้นซีอยู่ที่นี่!

หรือเธอรู้จักหนานกงจวิ้นซี

แต่แม้เธอจะรู้จักกับหนานกงจวิ้นซี ก็ไม่จำเป็นต้องข้ามกำแพงเข้ามาด้านหลังตำหนักอย่างลับๆ ล่อๆ เช่นนี้

และยังปลอมเป็นบุรุษ!

แปลกนัก แปลกมากจริงๆ!

ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ ก็คิดว่าความจริงสาวน้อยตรงหน้านี้ไม่น่ากลัวเลยสักนิด

เพราะเธอเห็นใบหน้าของสาวน้อย จึงรู้ว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวที่หัวแข็งคนหนึ่งเท่านั้น สำหรับเธอถือว่าไม่อันตราย

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาที่กังวลก็ผ่อนคลายลง และไม่คิดร้องขอความช่วยเหลือ เพียงมองสาวน้อยอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากขึ้นว่า

“แม่นางรู้จักองค์ชายหนานกงจวิ้นซีหรือ”

“เอ่อ”

เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาพูดเช่นนี้ สาวน้อยที่แต่งกายเป็นบุรุษพลันดวงตาเบิกกว้าง แววตาตกใจมากมายจนสุดบรรยาย ทันใดนั้นจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า

“เหตุใดจึงรู้ว่าข้าคือสตรี”

“ฮ่า ๆ”

เมื่อถูกสาวน้อยที่มีสีหน้าตกตะลึงสุดขีดเอ่ยถาม เล่อเหยาเหยาอดยิ้มแย้มไม่ได้ ดวงตาคู่งามอดปรากฎความเจ้าเล่ห์และหยอกล้อขึ้นไม่ได้ ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า

“ยากที่ใดหรือ ข้ามองก็รู้แล้ว และบนโลกนี้จะมีชายหนุ่มที่ริมฝีปากแดงฟันขาว สดใสเช่นนี้ได้อย่างไร” อีกทั้งเธอก็แต่งกายเป็นบุรุษเช่นกัน จึงย่อมมองออก

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดอย่างภูมิใจ สาวน้อยตรงข้ามเมื่อเห็นสถานะของตนถูกคนคาดเดาออกอย่างง่ายดายเช่นนี้ อดเศร้าใจไม่ได้

ทว่าเธอมีสีหน้าเสียใจเพียงไม่กี่วินาที พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า

“เอ๊ะ จากคำพูดเมื่อครู่ของเจ้า ศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่จริงหรือ”

“หา! ศิษย์พี่รองใดกัน”

เมื่อได้ยินประโยคที่ยากจะเข้าใจของสาวน้อย เล่อเหยาเหยาเต็มไปด้วยความสงสัย

ทว่าเมื่อนึกถึงบทสนทนาของเธอและสาวน้อยเมื่อครู่ พลันเข้าใจทันทีว่า ศิษย์พี่รองที่สาวน้อยเอ่ยถึงคือผู้ใด

พอคิดถึงตรงนี้ ดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยาเบิกกว้าง ก่อนเอ่ยอย่างตกใจว่า

“หรือศิษย์พี่รองที่เจ้าเอ่ยถึงคือ องค์ชายหนานกงจวิ้นซี”

“ฮ่า ๆ ไม่ผิด!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา สาวน้อยหัวเราะพลางเอ่ยพูดออกมา ทันใดนั้น ก็เอ่ยโดยไม่ปิดบังสถานะของตน

“ข้ามีนามว่าถงหย่าเอ๋อร์ เจ้าล่ะ!”

หลังได้ยินถงหย่าเอ๋อร์ แนะนำตนเอง เล่อเหยาเหยาเพิ่งหายตกใจได้สติกลับมา จึงคิดว่าถงหย่าเอ๋อร์ นี้ ไร้เดียงสา น่ารักยิ่งนัก จึงเอ่ยแนะนำตนเองว่า

“ข้าชื่อเสี่ยวเหยาจื่อ”

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าเป็นขันทีในวังรุ่ยอ๋องหรือ”

เมื่อได้ยินถงหย่าเอ๋อร์ เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

เล่อเหยาเหยาได้ยิน พยักหน้าตอบรับอย่างยิ้มแย้ม

เห็นเช่นนั้น ถงหย่าเอ๋อร์ ไม่ได้มีสีหน้าดูถูก เพียงยิ้มพลางเอ่ยถามว่า

“เช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าเวลานี้ศิษย์พี่รองอยู่ที่ใด พาข้าไปพบเขาได้หรือไม่”

“เอ่อ คือว่า…”

เมื่อได้ยินคำพูดของถงหย่าเอ๋อร์ เล่อเหยาเหยาลังเลใจ

เพราะเรื่องเมื่อครู่ เธอจึงไม่อยากเจอหน้าหนานกงจวิ้นซี อย่างน้อยตอนนี้ยังไม่อยากเจอหน้าเขา

และเธอตอนนี้ ภายในใจยังฟุ้งซ่านอย่างมาก หลังจากหนานกงจวิ้นซีเห็นม้วนภาพวาดนั้น มาซักถามว่าเธอคือคนในภาพหรือไม่

แม้ต่อมาจะถูกเธอข่มขู่ไป แต่พญายมที่เฉลียวฉลาด หลังเห็นภาพนั้น เขากลับไม่เอ่ยถาม ทว่าจากท่าทีที่เขามีต่อเธอเมื่อคืน พิสูจน์ได้ว่าพญายมรู้ถึงบางอย่างแล้ว

เฮ้อ คิดแล้ว สถานะผู้หญิงของเธอ คืนนี้ควรเอ่ยกับพญายมให้กระจ่างชัด

เล่อเหยาเหยาทอดถอนใจ และเห็นสาวน้อยตรงหน้ากำลังใช้สายตาอ้อนวอนมองมาที่เธอ

เมื่อถูกสาวน้อยน่ารักเช่นนี้มองด้วยสายตาคาดหวัง เล่อเหยาเหยาใจอ่อนลง อดเอ่ยขึ้นไม่ได้

“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะพาเจ้าไป”

“ฮ่า ๆ เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าเป็นคนดีจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ถงหย่าเอ๋อร์ พลันโห่ร้องอย่างดีใจขึ้นมา

รอยยิ้มสดใสมีความสุขบนใบหน้านั้น ทำให้เธอดูคล้ายกับเด็กน้อยที่ได้รับขนมน้ำตาลปั้น

ทว่าไม่แปลก เพราะถงหย่าเอ๋อร์ ดูแล้วอายุน่าจะเพิ่งสิบสี่สิบห้าเท่านั้น!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาก็สอบถามถึงอายุของถงหย่าเอ๋อร์ จึงรู้ว่าตนเดาผิดไป

“มิใช่ ข้าอายุสิบหก ถึงวัยปักปิ่นแล้ว!”

“หา!”

เมื่อได้ยินคำพูดของถงหย่าเอ๋อร์ เล่อเหยาเหยาแปลกใจ

ในยุคโบราณนี้ อายุสิบห้าถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถแต่งงานได้

เมื่อเห็นใบหน้าเล็กของถงหย่าเอ๋อร์ เวลานี้เปี่ยมไปด้วยความดีใจคาดหวัง เล่อเหยาเหยาอดนึกถึงบางอย่างขึ้นมาไม่ได้ ก่อนเอ่ยถามว่า

“หย่าเอ่อร์ เจ้าชอบองค์ชายหนานกงจวิ้นซีหรือ”

“เอ่อ!”

เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาพลันเอ่ยถามขึ้น ถงหย่าเอ๋อร์ ที่เดินอยู่ข้างกายเธอพลันชะงักฝีเท้า ใบหน้าเล็กนั้น ดูตกใจ ก่อนมองเล่อเหยาเหยาอย่างไม่เชื่อหู

ทันใดนั้น บนใบหน้าเล็กนั้นก็แดงก่ำเขินอายขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เจ้า…เจ้า เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าข้าชอบศิษย์พี่รอง”

“เอ่อ”

เมื่อเห็นถงหย่าเอ๋อร์ ยอมรับ เล่อเหยาเหยาพูดไม่ออก

อายุสิบหก คือช่วงมีความรักของสาวน้อย!

คิดไปแล้ว ชายหญิงในยุคสมัยนี้เป็นผู้ใหญ่เร็วยิ่งนัก

ทว่าหนานกงจวิ้นซีนั้นมีเสน่ห์ไม่เลวเลย!

ไม่เพียงเจ้าของร่างนี้ที่ชื่นชอบเขา ตามติดเขาไม่หยุด ทำให้เขาไม่เสียดายที่จะหลบหนีการอภิเษก ตอนนี้กระทั่งสาวน้อยที่น่ารักข้างกายตนก็ยังชื่นชอบหนานกงจวิ้นซี คิดไปแล้ว หน้าตาเช่นหนานกงจวิ้นซี ในสายตาของเหล่าสาวน้อย ถือว่ามีเสน่ห์ยิ่งนัก

คิดแล้วก็ถูก หนานกงจวิ้นซีไม่เพียงมีสถานะสูงส่ง หน้าตาถือว่าไม่เลว และยังสดใสตรงไปตรงมา รูปลักษณ์ดูเป็นหนุ่มน้อยที่หล่อเหลากิริยาสง่างาม เกรงว่าในสายตาของสาวน้อยเหล่านี้ เขาคงเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวในนิทานวัยเด็ก!

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ เห็นถงหย่าเอ๋อร์ ที่ยิ้มแย้มพลันชะงักงัน บนใบหน้าปรากฎความเสียใจขึ้นมาหลายส่วน ก่อนเอ่ยพลางถอนหายใจว่า

“กระทั่งเจ้ายังมองออกว่าข้าชื่นชอบศิษย์พี่รอง เหตุใดศิษย์พี่รองจึงมองไม่ออก เฮ้อ…”

เห็นเพียงถงหย่าเอ๋อร์ คล้ายถอนหายใจดุจสนมที่ถูกลืมเลือนในวังหลวง ใบหน้าเล็กน่ารักนั้นเผยความโศกเศร้าออกมา ช่างไม่เหมาะสมกับเธอจริงๆ!

คนที่น่ารักเช่นเธอนี้ ควรยิ้มแย้มตลอดเวลาถึงจะถูกต้อง

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาไม่พอใจหนานกงจวิ้นซีหลายส่วน

ชายหนุ่มที่ดึงดูดผู้คนนี้ เมื่อถูกสาวน้อยที่น่ารักเช่นนี้ชื่นชอบ ควรที่จะทำดีกับเธอ

เล่อเหยาเหยาก่นด่าในใจ พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ ดวงตาคู่งามจึงเป็นประกาย

จริงสิ!

หนานกงจวิ้นซีทุ่มความสนใจมาที่เธอ แม้จะรู้ว่าเขาชื่นชอบเธอ แต่ขอโทษ หัวใจของเธอเป็นของพญายม

ตอนนี้มีสาวน้อยน่ารักปรากฎตัวขึ้นอีก หรือนี่คือสิ่งที่ถูกลิขิตไว้กลางความมืดมน!

เช่นนั้น เหตุใดเธอจึงไม่ทำตัวเป็นแม่สื่อสักครั้ง เพื่อให้หนานกงจวิ้นซีและถงหย่าเอ๋อร์ รักกัน วันหน้าหนานกงจวิ้นซีจะได้ไม่สนใจเธอ

แม้วันหน้าเธอจะยอมรับว่าตนคือหลูลู่ ก็ไม่จำเป็นต้องอภิเษกกับหนานกงจวิ้นซี

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาคิดวางแผนอย่างงดงามในใจ

สุดท้าย พวกเธอก็มาถึงภายในตำหนักที่หนานกงจวิ้นซีพัก

แต่พวกเธอมาไม่ถูกเวลา เพราะฟังจากขันทีน้อยที่คอยปรนนิบัติรับใช้หนานกงจวิ้นซีในตำหนัก พบว่าหนานกงจวิ้นซีตอนนี้ไม่อยู่ในตำหนัก เมื่อครู่เพิ่งดูเขารีบร้อนออกไป

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาและถงหย่าเอ๋อร์ อดมองหน้ากันครู่หนึ่งไม่ได้

เห็นบนใบหน้าถงหย่าเอ๋อร์ ปรากฎความเสียใจขึ้นหลายส่วน

คิดไปแล้ว เธอทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้ามาในวังรุ่ยอ๋อง เพียงอยากเจอหน้าหนานกงจวิ้นซี

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดเอ่ยปลอบใจไม่ได้

“เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ประเดี๋ยวเขาต้องกลับมาแน่”

“อืม ขอเพียงเขารู้ว่าข้ามาที่นี่แล้วไม่หลบหน้าเป็นพอ”

ถงหย่าเอ๋อร์ เอ่ยพึมพำรอบหนึ่ง และเมื่อเห็นสีหน้าห่วงใยของเล่อเหยาเหยา จึงอดยิ้มมุมปากไม่ได้ เพื่อบิดบังความผิดหวังเมื่อครู่

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ย่อมรู้ว่าถงหย่าเอ๋อร์ กำลังฝืนยิ้ม จึงไม่เปิดเผยออกมา

แต่เวลานี้ ขันทีน้อยที่ปรนนิบัติรับใช้หนานกงจวิ้นซีนั้น แม้จะไม่รับรู้ถึงสถานะของถงหย่าเอ๋อร์ แต่เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาสนทนากับถงหย่าเอ๋อร์ คล้ายอยากเจอหนานกงจวิ้นซีเป็นอย่างมาก จึงขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนฉุกคิดขึ้นได้ จึงปรบมืออย่างตกใจพลางเอ่ยว่า

“จริงสิ เสี่ยวเหยาจื่อ ข้านึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่คล้ายได้ยินองค์ชายเจ็ดเอ่ยว่า จะไปที่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าหอจุยเซียนสักอย่าง ใช่แล้ว คือหอจุยเซียน!”