บทที่ 226 เชิญอยากกินต่อไปเถอะ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 226 เชิญอยากกินต่อไปเถอะ

แต่เวลานี้แม่เฒ่าจางก็รู้ดีว่าจางซิ่วเอ๋อไม่ใช่คนที่บงการได้ง่าย ๆ จึงได้แต่สบถก่นด่าและยอมถอย

จางซิ่วเอ๋อมองแม่โจวค่อย ๆ กินแกงไก่และข้าวจนเกือบหมด

นางเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม “ท่านแม่ ท่านกินน่องไก่นี่ด้วยนะ”

แม่โจวพยักหน้า กินน่องไก่นั้นหมดในไม่กี่คำ ตอนนี้ในถ้วยเหลือน้ำแกงไก่เพียงน้อยนิดและน่องไก่หนึ่งชิ้น

จางต้าหูเห็นแล้วอดร้อนใจไม่ได้ “คือว่า เหมยจื่อ ข้ารู้ว่าแกงไก่นี้อร่อย แต่เจ้าก็อย่ากินเยอะนักเลย”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วแค่นเสียงในใจ ทำไมนางจะไม่รู้ว่าจางต้าหูคิดอะไรอยู่

อยู่ในที่อย่างบ้านตระกูลจางมาตลอด แล้วจะได้กินของดี ๆ อะไรกัน? เห็นเนื้อนี่แล้วจะไม่อยากกินได้อย่างไร?

แต่จางซิ่วเอ๋อไม่สนใจจะเป็นคนดีและให้จางต้าหูกินของพวกนี้หรอกนะ นางชอบมากที่ตอนนี้ได้เห็นท่าทางของจางต้าหูที่อยากกินแต่ก็ไม่ได้กิน และไม่อาจบากหน้าขอร้องนางได้!

จางต้าหูมีแม่และน้องสาวคนดีของเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ? ก็ปล่อยให้เขาไปกินดีอยู่ดีกับแม่เฒ่าจางและจางอวี่หมินเถอะ! นาง จางซิ่วเอ๋อ ไม่ได้มีหน้าที่ปรนเปรอคนที่ปฏิบัติต่อพวกนางเยี่ยงนี้!

แม่โจวกวาดสายตามองจางต้าหู สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

ถ้าเป็นเมื่อก่อน แม่โจวอาจจะรู้สึกผิดบ้างที่กินต่อหน้าจางต้าหูแบบนี้ แต่วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน พอนึกถึงเรื่องที่จางต้าหูทำตามความต้องการของพวกแม่เฒ่าจางและปล่อยให้นางโดนทิ้งอยู่ในห้องเก็บฟืนเอาชีวิตรอดเอง…..

หัวใจของแม่โจวก็ชืดชาลงอย่างสิ้นเชิง

นางพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของนางก็เย็นชาลงเรื่อย ๆ ทุกครั้งนางจะคิดว่าผิดหวังอย่างที่สุดแล้ว แต่ท้ายที่สุดนางก็ค้นพบว่านี่เพิ่งจะถึงไหนเอง

คนตระกูลจางทลายขีดจำกัดของนางได้เสมอ

แม่โจวกินเนื้อส่วนสุดท้ายและน้ำแกงจนหมดสิ้น จางต้าหูตาค้าง ในใจตกตะลึงถึงขีดสุด…..นี่ไม่เหลืออะไรให้เขาเลยจริง ๆ เหรอ?

จางซิ่วเอ๋อกวาดตามองจางต้าหู และพูดอย่างขอไปที “ไก่นี่ได้มาไม่ได้ง่าย ทุกคนล้วนไม่มีใครกล้ากิน มีแต่เก็บไว้บำรุงร่างกายให้แม่ข้า…..”

แม้ว่าจางซิ่วเอ๋อจะไม่ได้พูดเปิดโปงอะไร แต่พออธิบายไปแบบนี้ใบหน้าของจางต้าหูก็ร้อนผ่าว

จางซิ่วเอ๋อแสดงออกอย่างชัดเจนไม่ใช่หรือว่านางรับรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ? รู้ว่าเขาอยากกินเนื้อ?

จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าทางแบบนั้นของจางต้าหูก็สบายใจและรู้สึกเหมือนได้ระบายอารมณ์

หากจางต้าหูฉลาดขึ้นมาได้บ้าง เลิกกตัญญูจนโง่เขลาได้เมื่อใด นางก็ไม่ขอให้จางต้าหูมาปกป้องพวกนางพี่น้องหรอก ขอแค่จางต้าหูช่วยพูดอะไรสักคำในครั้งต่อไปที่แม่เฒ่าจางรังแกแม่โจว นางก็ไม่ติดอะไรกับการให้ผลประโยชน์กับจางต้าหูบ้าง

แต่หากจางต้าหูเป็นแบบนี้ไปตลอด…..

เช่นนั้นนางยอมเอาเนื้อไปให้สุนัขกินดีกว่า ไม่ยอมให้จางต้าหูได้ไปหรอก

ใครจะรู้ว่าเวลานางให้อะไรจางต้าหูไป จางต้าหูจะทำนิสัยได้คืบเอาศอก แล้วนำไปแสดงความกตัญญูต่อแม่เฒ่าจางหรือไม่?

จางซิ่วเอ๋อเก็บถ้วยและตะเกียบพร้อมเอ่ยบอก “ข้าไปแล้วนะเจ้าคะท่านแม่ ถ้ามีอะไรท่านก็ให้ซานหยามาส่งข่าวข้านะ”

จางซิ่วเอ๋อไม่หวังให้จางต้าหูไปบอกข่าวกับนางหรอก อีกอย่างถ้าจางต้าหูไปแล้วเห็นว่าที่บ้านตัวเองมีบุรุษเข้าออก ไม่รู้ว่าจะทำอะไรนางบ้าง

ตอนจางซิ่วเอ๋อกลับบ้าน ท่านหมอเมิ่งกำลังตรวจชีพจรให้บัณฑิตจ้าว

ตอนนี้บัณฑิตจ้าวมีสภาพดีขึ้นมากแล้ว เขาได้กินยาตามเวลา ข้าวก็กินได้อิ่ม บวกกับอาหารที่กินที่บ้านจางซิ่วเอ๋อมีแต่ของมีประโยชน์ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ร่างกายเขาจะแข็งแรงขึ้น

ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้บัณฑิตจ้าวมีสภาพจิตใจดีทุกวัน เขามองเห็นความหวังในชีวิต รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวถ่วงใครอีกแล้ว บางครั้งอาการป่วยก็เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจมาก ตอนนี้สภาพจิตใจเขาดีขึ้น อาการป่วยก็ดีขึ้นเป็นธรรมดา

ท่านหมอเมิ่งเพิ่งจะปรับสำรับยาให้บัณฑิตจ้าวใหม่ แล้วจึงลุกยืนบอกลา

“ท่านอาเมิ่ง รอก่อนเจ้าค่ะ” จางซิ่วเอ๋อรีบเดินออกไปส่งท่านหมอเมิ่ง

รอจนเข้ามาถึงในป่าผีสิง ท่านหมอเมิ่งจึงชะงักฝีเท้าและหันกลับมามองจางซิ่วเอ๋อที่ตามหลังมาส่งเขา

จางซิ่วเอ๋อมองท่านหมอเมิ่งด้วยสายตาตั้งคำถาม

น้ำเสียงท่านหมอเมิ่งนุ่มนวล เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ซิ่วเอ๋อ บางทีบางคำพูดของข้าอาจฟังดูยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ข้าก็ยังอดพูดไม่ได้ คุณชายหนิงผู้นั้นดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้ที่มาที่ไปของเขาหรือไม่ ข้าแค่อยากเตือนเจ้าว่าควรระวังผู้อื่นมิให้ขาด”

ถึงแม้ท่านหมอเมิ่งก็รู้สึกเช่นกันว่าเนี่ยหย่วนเฉียวดูเป็นคนใช้ได้ แต่พอนึกถึงเรื่องที่จางซิ่วเอ๋อใช้ชีวิตกับน้องสาาวสองคนตามลำพัง ในใจของท่านหมอเมิ่งก็อดเป็นห่วงไม่ได้

จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วยิ้มตาหยี “ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ท่านอาเมิ่งสบายใจได้ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี ไม่ยอมให้ใครหลอกลวงข้าเป็นอันขาด”

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นเด็กดีฉลาดเฉลียว เห็นทีข้าคงกังวลมากเกินไปจริง ๆ” ท่านหมอเมิ่งเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของจางซิ่วเอ๋อแล้วก็สบายใจขึ้นไม่น้อย

“ที่ท่านอาเมิ่งกังวลก็สมเหตุสมผลแล้ว ขอบคุณอานะเจ้าคะที่เตือนข้า” จางซิ่วเอ๋อมองท่านหมอเมิ่งอย่างจริงใจ

หน้าตาท่านหมอเมิ่งดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ตอนพูดประโยคนี้น้ำเสียงก็อ่อนโยนและห่วงใย จางซิ่วเอ๋อฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ

จางซิ่วเอ๋อพูดกับตัวเองในใจว่าท่านหมอเมิ่งช่างเป็นคนดีที่หาได้ยากจริง ๆ

ท่านหมอเมิ่งมองจางซิ่วเอ๋อยิ้ม ๆ เขายื่นมือไปที่ศีรษะของจางซิ่วเอ๋ออย่างอดไม่ได้ จางซิ่วเอ๋อมองท่านหมอเมิ่งอย่างตกใจ หน้าเริ่มแดง รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ตัวนางเตี้ยกว่าท่านหมอเมิ่งมาก ท่านหมอเมิ่งจึงทำท่าทางเหล่านี้ได้อย่างลื่นไหล

ทว่าจางซิ่วเอ๋อไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

ท่าทางแบบนี้สำหรับชายหญิงในยุคโบราณนั้น ใกล้ชิดกันมากไปหน่อย

ในตอนที่นางกำลังจะหลบ ท่านหมอเมิ่งก็ดึงมือกลับ ในมือมีหนอนตัวเขียวอยู่ตัวหนึ่ง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีหนอนตกไปอยู่บนศีรษะเจ้า….”

สีหน้าจางซิ่วเอ๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความอึดอัดเมื่อครู่พลันมลาย ทำไมหนอนตัวนี้ถึงตกลงมาบนศีรษะนางได้นะ?

ตอนนี้นางไม่ค่อยกลัวหนอนแล้วก็จริง แต่มันคนละเรื่องกับความรู้สึกขยะแขยงที่มีหนอนตกใส่ศีรษะ!

ท่านหมอเมิ่งโยนหนอนทิ้งไป มองจางซิ่วเอ๋อด้วยสีหน้าอ่อนโยน

จางซิ่วเอ๋อเห็นหน้าตาท่านหมอเมิ่งนุ่มนวลและสง่าผ่าเผย จึงรู้ว่าตัวเองคิดมากเกินไป ว่ากันว่าผู้เป็นหมอมีหัวใจดั่งบุพการี และท่านหมอเมิ่งก็เป็นคนดีที่หาได้ยาก เขาคงดีกับคนส่วนใหญ่แบบนี้หมด

ท่านหมอเมิ่งปริปาก “เจ้าวางใจเถอะ อีกสามสี่วันข้าจะมาใหม่ มาตรวจอาการแม่เจ้าอย่างละเอียดอีกครั้ง”

“หากต้องการอะไร เจ้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ” ท่านหมอเมิ่งบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปอย่างฉับไว

จางซิ่วเอ๋อยืนมองแผ่นหลังของท่านหมอเมิ่งอยู่ที่เดิม อบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ

ได้เจอคนที่ห่วงใยตัวเองทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันในต่างยุคต่างสมัยนี้ ช่างหายากเสียจริง