บทที่ 187 ความอันตรายของเถ้าแก่ปู้

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ในค่ำคืนมืดมิด หิมะยังคงโปรยปรายไม่จากไปไหน บางส่วนของดวงจันทร์เสี้ยวสองดวงถูกบดบังด้วยเมฆมัว

ณ วังหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว

ในท้องพระโรงหลวงอันสว่างไสว เสียงดนตรีเต้นรำสนุกสนานดังก้องไม่ขาดสาย เคล้ากลิ่นหอมของสุราและอาหารเลิศรสในอากาศที่กระจายไปทั่ววังหลวง บรรดานักเต้นสาวสวยโยกย้ายส่ายเอวอยู่ตรงกลาง พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะแสดงความงามของตนให้เป็นที่ประจักษ์

เหล่านักดนตรีหลวงนั่งบรรเลงเพลงอยู่ที่มุมหนึ่งของท้องพระโรง ส่วนนักเต้นสาวสวยที่มาเพื่อสร้างความบันเทิงก็เต้นตามจังหวะเพลงอย่างสง่างามน่ามอง ช่างเป็นภาพที่สวยงามจนยากที่จะละสายตาได้

ณ ที่นั่งยกสูงของท้องพระโรงหลวง จีเฉิงเสวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์ในชุดหรูหราสง่างามสมเกียรติจักรพรรดิ ทั้งสองด้านมีบรรดาขุนนางคนสำคัญแห่งราชสำนักนั่งประกบอยู่ หลายคนเป็นขุนนางหน้าใหม่ที่ได้รับการเลื่อนชั้นหลังการล้างบางราชสำนักครั้งใหญ่ที่ผ่านมา

บรรดาชนชั้นสูงจากตระกูลที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินก็นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกตระกูลเซียว ตระกูลโอวหยาง หรือตระกูลหยาง ทุกคนล้วนนั่งอยู่ในท้องพระโรงและกำลังพูดคุยสดุดีกันกลั้วหัวเราะ

พ่อครัวเงานั่งอยู่ใกล้จีเฉิงเสวี่ย ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาดูมีความพึงพอใจ

“ท่านอาจารย์หวัง ข้าได้ยินท่านจักรพรรดิองค์ก่อนตรัสชื่นชมท่านเอาไว้มากสมัยที่พระองค์ยังมีสุขภาพแข็งแรงดี พระองค์ตรัสว่าอาจารย์หวังนี้เป็นตำนานของอาณาจักรเรา ได้เดินทางไปทั่วทวีปกินระยะเวลาหลายสิบปี ทั้งยังได้พบเจอความมหัศจรรย์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์หรือผู้คน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาจารย์หวังต้องการพัฒนาทักษะการทำอาหารของตนเอง ข้าชื่นชมความมุ่งมั่นตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของท่านเป็นอันมาก”

จีเฉิงเสวี่ยรินสุราน้ำอัญมณีทิพย์ลงในจอกหยก พร้อมกล่าวยกย่องสรรเสริญพ่อครัวเงาหวังติ้งไม่ขาดปาก พอพูดจบ จักรพรรดิหนุ่มก็กระดกสุราลงปากหมดจอกทันที

หวังติ้งเองก็ยกจอกสุราขึ้น คารวะจีเฉิงเสวี่ย พลางกระดกสุราเข้าปากหมดจอกเช่นกัน เขาจึ๊ปากด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เอ่ยชมว่าสุรานี้ช่างเลิศรสนัก

“ท่านจักรพรรดิ ท่านตรัสชมข้าเกินไปแล้ว ชายชราผู้นี้เป็นเพียงนักพเนจรที่เร่ร่อนไปทั่วทวีปเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การสรรเสริญของท่านจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อยพะย่ะค่ะ” หวังติ้งยิ้มบาง

จีเฉิงเสวี่ยเคารพชายชราตรงหน้าเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าส่วนใหญ่มาจากความสามารถในการทำอาหารและทักษะอื่นๆ ที่น่าชื่นชมของอีกฝ่าย อีกทั้งเรื่องราวที่ว่าพ่อครัวเงาหวังติ้งได้พเนจรไปทั่วทวีปนั้นยังเป็นเรื่องจริงอีกด้วย

“ท่านอาจารย์หวังถ่อมตัวเกินไปแล้ว ทวีปมังกรซ่อนเร้นนี้กว้างใหญ่เสียจนไม่รู้จุดสิ้นสุด ข้าเองรู้ดีว่าจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นเป็นเพียงเม็ดทรายในทวีปอันไพศาลนี้เท่านั้น ใจของข้านั้นอยากจะออกไปท่องโลกกว้างไร้ที่สิ้นสุดเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเคารพนับถือในตัวท่านอาจารย์หวังจากใจจริง”

“หากท่านอาจารย์หวังพอสละเวลาได้ จะให้เกียรติเล่าเรื่องสถานที่ต่างๆ ในทวีปมังกรซ่อนเร้นที่ท่านเคยไปเยือนให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่เล่า ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าในทวีปนี้มีสิ่งใดอยู่บ้าง” จีเฉิงเสวี่ยหันไปพูดกับพ่อครัวเงาหวังติ้ง พร้อมยกจอกของตนขึ้นเชื้อเชิญขณะเอ่ย

พ่อครัวเงาไม่ได้ปฏิเสธคำขอนั้นแต่อย่างใด เขาเกิดในจักรวรรดิวายุแผ่ว เมื่อจักรวรรดิเจริญขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงของเขาในฐานะพ่อครัวก็ระบือไกลไปด้วยเช่นกัน เขาใช้เวลานานหลายปีไปกับการเดินทางทั่วทวีป และเพิ่งตัดสินใจลงหลักปักฐานที่อาณาเขตรอบนอกของดินแดนป่ารกชัฏในเมืองอาทิตย์ขจี เพื่อเปิดร้านอาหารเล็กๆ เมื่อสองสามปีมานี้เอง

บรรดาผู้คนในท้องพระโรงต่างหันมามองพ่อครัวเงาด้วยความสนใจใคร่รู้ พากันเงี่ยหูฟังสิ่งที่ชายชรากำลังจะเล่า ธรรมชาติของมนุษย์ล้วนแล้วแต่อยากรู้สิ่งที่เป็นปริศนา แม้แต่ผู้ที่เติบโตมาพร้อมสถานะสังคมที่สูงศักดิ์อย่างบรรดาชนชั้นสูงในนครหลวงก็หนีความอยากรู้อยากเห็นนี้ไม่พ้นเช่นกัน คนที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างเซียวเหมิงเองยังกลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น

“ชายชราผู้นี้เดินทางไปทั่วทวีปในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา น่าเสียดายที่ข้ายังไม่ได้ไปครบทุกที่ในทวีปแห่งนี้ แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และชายชราผู้นี้ก็เชื่อว่าลำพังตัวเองคงไม่มีวันเดินทางไปสุดขอบทวีปเป็นแน่ ต่อให้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อการเดินทางก็ตามที แต่ตัวข้าเองก็ไม่ได้กลับบ้านมามือเปล่า

“ท่านจักรพรรดิคงรู้ดีว่าในทวีปของเรามีดินแดนป่ารกชัฏอยู่ ดินแดนที่กว้างใหญ่นี้เต็มไปด้วยอสูรเวทมากมาย และถือเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์ ทว่าในทวีปแห่งนี้ยังมีสถานที่เฉกเช่นเดียวกับดินแดนป่ารกชัฏอีกมาก” พ่อครัวเงาหวังติ้งจิบสุราน้ำอัญมณีทิพย์ในจอก จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมา แล้วพูดต่อเนิบๆ

“ทางทิศเหนือนั้นมีที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ไพศาลราวไร้ที่สิ้นสุดนามว่าหนองน้ำปราณมายา ระดับความอันตรายของมันไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าดินแดนป่ารกชัฏเลยแม้แต่น้อย หนองน้ำนี้กว้างมาก มีอสูรเวทหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ รวมถึงสมุนไพรพลังปราณก็เติบโตได้ดีและมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนในที่แห่งนั้น นอกจากนี้ยังมีอสูรเวทระดับเจ็ดอาศัยอยู่ที่นั่นอีกด้วย ชายชราผู้นี้เดินทางผ่านหนองน้ำปราณมายาอยู่หลายปี และได้เจอเผ่าพันธุ์แสนแปลกประหลาดมากมาย อย่างเผ่าพันธุ์มนุษย์อสรพิษ เผ่าพันธุ์มนุษย์แมงป่องและอื่นๆ”

บรรดาผู้คนในท้องพระโรงต่างสูดลมเย็นเข้าปอดด้วยความตกใจ มนุษย์อสรพิษรึ… ฟังดูน่าสนใจไม่น้อย

“ในหนองน้ำปราณมายานั้นมีนครขนาดใหญ่สร้างโดยเผ่ามนุษย์อสรพิษ นครนั้นใหญ่โตโอ่อ่าสูงเสียดฟ้า ในเผ่ามนุษย์อสรพิษมีผู้ฝึกตนฝีมือแก่กล้าอยู่มากมาย มากเกินกว่าที่จักรวรรดิวายุแผ่วจะนึกคิดเสียอีก ภายในหนองน้ำปราณมายานี้ มนุษย์อสรพิษไม่ใช่เผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด หากแต่มีอีกตำหนักหนึ่งที่อยู่เหนือหมู่เมฆ ตำหนักนั้นมีนามว่าตำหนักเมฆาขาว ชายชราผู้นี้เคยได้ยินแต่ชื่อตำหนักนี้เท่านั้น หาได้เคยไปเยือนด้วยเท้าไปเห็นด้วยตาของตนเองไม่”

ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยเป็นประกาย เลือดในกายร้อนรุ่มสูบฉีดไปที่หัวใจขณะสูดลมหายใจเข้าลึก ตำหนักเมฆาขาว เผ่ามนุษย์อสรพิษ… ทวีปนี้กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์ใจยากแท้หยั่งถึงเสียจริง

“ทางทิศตะวันออกมีแนวเทือกเขายาวใหญ่มหึมา เรียกว่าดินแดนแสนภูผา ที่นี่เต็มไปด้วยเทือกเขาเลากาน้อยใหญ่มากมายสุดลูกหูลูกตา และเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับข้า ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนนี้ราวสิบปี แต่ก็ยังเดินทางไปไม่ถึงสุดเขตแดนของมันเสียที… กลุ่มอำนาจภายในดินแดนแสนภูผามีความซับซ้อนยิ่ง มีทั้งอสูรเวท มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตที่ระบุสายพันธุ์ไม่ได้มากมาย ทุกคนต่างแย่งชิงทรัพยากรภายในภูเขากันเพื่อพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือใคร

“ทางทิศใต้มีมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ทอดยาวไปไกลสุดสายตาที่มนุษย์คนหนึ่งจะมองเห็นได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันไปสิ้นสุดที่ใด…”

พ่อครัวเงาหวังติ้งเล่าให้ฟังมากสิ่ง หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เล่าประสบการณ์การผจญภัยของตนเองมานานแล้วก็เป็นได้ ในคืนนั้นเขาเล่าเรื่องราวมากมาย อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองได้เผชิญมาในเชิงลึก สำหรับผู้คนในท้องพระโรง นี่เป็นประสบการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้

ดูเหมือนว่าทวีปที่พวกเขาอยู่นี้… จะไร้ซึ่งขีดจำกัดและเต็มไปด้วยเรื่องเหนือจินตนาการเกินกว่าพวกเขาจะเข้าใจ

“ท่านอาจารย์หวังช่างน่ายกย่องเสียจริง สถานที่ที่ท่านเล่าให้ฟังนั้นล้ำจินตนาการของพวกเราไปมาก ทั้งหนองน้ำปราณมายาทางทิศเหนือ ดินแดนแสนภูผาทางทิศตะวันออก และมหาสมุทรไร้ขอบเขตทางทิศใต้… ทั้งหมดนี้ทำให้หัวใจของข้าเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเกินหยั่งถึง” จีเฉิงเสวี่ยยกจอกสุราขึ้นอีกครั้งเพื่อยกย่องพ่อครัวเงาหวังติ้ง

หวังติ้งเองก็ยกจอกของตนเองขึ้นแล้วกระดกหมดจอกเช่นกัน

ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายออกมา บรรดาข้ารับใช้สตรีในราชสำนักพากันยกจานกระเบื้องมากมายเดินเข้ามาในท้องพระโรง กลิ่นหอมนั้นลอยออกมาจากสิ่งที่อยู่ในจานเหล่านี้นั่นเอง

จีเฉิงเสวี่ยเห็นสิ่งใหม่ที่ถูกยกเข้ามาในห้องแล้วพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ มาเสียที ท่านอาจารย์หวัง ลองชิมดูสิ นี่เป็นขนมปังหอยนางรมที่ข้าสั่งให้คนไปซื้อมาจากร้านเถ้าแก่ปู้ ท่านอาจารย์หวังศึกษาการทำอาหารมาอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านต้องชอบอาหารจานนี้แน่นอน”

พ่อครัวหวังติ้งชะงักทันทีที่ได้ยิน เขาเหลือบสายตาไปมองจานกระเบื้องที่ข้ารับใช้หญิงวางลงตรงหน้า บนจานนั้นมีขนมปังทอดทรงกลมป้อมสีทองอร่ามวางอยู่

จีเฉิงเสวี่ยเลียริมฝีปากแล้วหยิบขนมปังหอยนางรมชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากนั้นก็กัดลงไป ทันใดนั้นกลิ่นหอมเข้มก็ระเบิดออกมา รสชาติของหอยนางรมตัวอ้วนในปากทำให้จักรพรรดิหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเมามายรสอร่อย ด้วยความที่เขาต้องจัดการเรื่องวุ่นวายมากมายภายในราชสำนัก ทุกครั้งที่รู้สึกอยากกินของอร่อยขึ้นมา เขาก็ทำได้เพียงกินขนมปังหอยนางรมนี้ให้หายอยากเท่านั้น

อร่อยเหลือเกิน… อร่อยเสียจนไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ!

พ่อครัวเงาสูดหายใจเข้าทางปาก กลิ่นหอมพุ่งเข้าใส่ลิ้นของเขาทันที ทำให้ชายชราไม่อาจต้านทานความอยากกินจนน้ำลายสอได้อีกต่อไป

เขาเองก็หยิบขนมปังหอยนางรมขึ้นกัดเช่นกันจนเกิดเสียงดังกรอบ

ทันทีที่ขอบนอกของขนมปังหอยนางรมอ้าออก กลิ่นหอมก็พุ่งเข้าห้อมล้อมพ่อครัวเงาเหมือนระเบิดปะทุ ทำให้ชายชรารู้สึกติดกับในรสอร่อยจนไม่อาจหนีไปไหน เขาหยุดเคี้ยวไม่ได้ กลิ่นของเนื้อ หอยนางรม และหัวไชเท้าฝอยผสมผสานกัน เกิดเป็นรสชาติและรสสัมผัสที่ยอดเยี่ยมในปาก

“อร่อย! อร่อยเหลือเกิน!” หวังติ้งเรียกสติตนเองกลับมา จากนั้นก็กลืนขนมปังลงท้องแล้วกล่าวชมไม่หยุดปาก

“ฮ่าๆ! ข้าดีใจที่ท่านอาจารย์หวังชอบ ในเมื่องานนี้เป็นงานเลี้ยงที่ข้าจัด ข้าจึงสั่งให้คนหลายต่อหลายคนในราชสำนักเรียงแถวกันไปซื้อขนมปังหอมนางรมมาจากร้านเถ้าแก่ปู้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ตามกฎคนหนึ่งจะสั่งขนมปังหอยนางรมได้แค่หนึ่งครั้งต่อวัน และหนึ่งจานมีขนมปังสองชิ้นด้วยกัน ข้าสั่งไปมากขนาดนี้ ป่านนี้เถ้าแก่ปู้คงเหนื่อยจนหมดสภาพแล้วกระมัง” จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะหึๆ ในลำคอ

“เถ้าแก่ปู้รึ ท่านจักรพรรดิทรงหมายถึงเจ้าของร้านเล็กๆ ของฟางฟางหรือพะย่ะค่ะ ร้านที่ตั้งอยู่ในตรอกห่างไกลนั่น” หวังติ้งงุนงงเป็นอันมาก เขาหันไปมองจีเฉิงเสวี่ยแล้วพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว หรือว่าท่านอาจารย์หวังก็รู้จักมักจี่กับเถ้าแก่ปู้ด้วยเช่นกัน” จีเฉิงเสวี่ยตกใจเมื่อได้ยิน

พ่อครัวเงาส่ายหน้าด้วยสีหน้าประหลาด จากนั้นเขาก็กัดขนมปังหอยนางรมอีกหนึ่งคำแล้วเอ่ยตอบ “ข้าเพิ่งออกจากร้านนั้นก่อนมาที่วังหลวงนี่เอง”

อะไรกันนี่ จีเฉิงเสวี่ยเองก็งุนงงเช่นกัน พ่อครัวเงาหวังติ้งเป็นพ่อครัวฝีมือฉกาจที่ชื่อกระฉ่อนไปทั่วจักรวรรดิ เขาเองก็อยากรู้นักว่าพ่อครัวเงาจะมีความคิดเห็นว่าอย่างไรหลังจากที่ได้ลองชิมอาหารฝีมือปู้ฟาง

“ทักษะการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ อาหารแต่ละจานเต็มไปด้วยพลังปราณปริมาณมาก เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายและหาตัวจับได้ยากยิ่ง” พ่อครัวเงาเสริม แต่พอพูดจบก็ขมวดคิ้ว

“แต่… ท่านจักรพรรดิ มีบางอย่างที่ข้าต้องทูลท่าน แต่ชายชราผู้นี้ไม่แน่ใจนักว่าสมควรหรือไม่พะย่ะค่ะ”

“พูดได้เลย” จีเฉิงเสวี่ยเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที

“ร้านเล็กๆ นี้ไม่รู้ที่มาที่ไป แถมเจ้าของร้านอย่างเถ้าแก่ปู้เองก็มาจากที่ไหนไม่ทราบได้ การมีอยู่ของร้านแห่งนี้ในนครหลวงของจักรวรรดิ อาจนำหายนะใหญ่หลวงมาสู่นครหลวงของพวกเราก็เป็นได้” รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าพ่อครัวเงาแข็งทื่อ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

เมื่อได้ยินดังนั้น จีเฉิงเสวี่ย เซียวเหมิง และผู้เฒ่าโอวหยางต่างพากันหน้าซีดด้วยความตกใจ

เถ้าแก่ปู้น่ะหรือจะนำพาหายนะมาสู่นครหลวง ฟังดูเหมือนเรื่องชวนหัวเสียมากกว่า…