บทที่ 770 ความรู้สึกถูกข่มเหงที่ค่อยๆ ถูกปลุกตื่น

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 770 ความรู้สึกถูกข่มเหงที่ค่อยๆ ถูกปลุกตื่น โดย Ink Stone_Fantasy

ในสิบนาทีต่อมา ความคิดของมู่เฉินก็ได้รับการยืนยัน

พวกเขาเดินทางไกลออกมาเรื่อยๆ แต่ศัตรูที่ไล่ตามมาข้างหลังกลับไม่ปรากฏตัวมาให้เห็น

นิพพานยังไม่ได้ส่งคนออกมาไล่ล่า? มู่เฉินเชื่อว่าไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆ

หลังจากถูกหลิงม่อตบหน้าอย่างแรงด้วยวิธีเย่อหยิ่งขนาดนั้น นิพพานที่ใบหน้าบวมเป่งจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมจะยังอดทนได้อีกหรือ…

ถึงจะเป็นพวกเดียวกัน แต่ตอนที่เห็นหลิงม่อ “ลอยข้าม” หัวบรรดาผู้รอดชีวิตหลายสิบคนที่อยู่ด้านล่าง แถมยังก้มหน้ายิ้มอ่อมให้พวกเขา มู่เฉินก็ยังอดอยากหยิบก้อนหินปาหลิงม่อให้ร่วงลงมาไม่ได้

“บิน” ได้แล้วคิดว่าเจ๋งนักหรอ!

ถึงจะเจ๋งจริงก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำหน้ากวนส้น*ขนาดนั้นเลยนี่! สีหน้าหลิงม่อในตอนนั้นเหมือนเขากำลังบอกว่า “มีปัญญาก็ขึ้นมาสิ” !

มู่เฉินเดาว่าตอนนั้น ในใจของคนที่ยืนอยู่บนพื้น เกือบ 80 – 90% กำลังกู่ร้องในใจด้วยประโยคเดียวกัน คือ

“มีปัญญาก็ลงมาเซ่!”

ทว่าในฐานะคนปกติกลุ่มหนึ่ง การกู่ร้องที่เต็มไปด้วยความน่าอายอย่างนี้จึงไม่มีใครทำ

แต่แค่จุดนี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่า หลิงม่อได้บรรลุเป้าหมายในการสร้างความเกลียดชังครั้งนี้อย่างงดงาม…

สมาชิกธรรมดาอาจมองข้ามการเหยียดหยามนี้ได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็มีพลังต่ำกว่าหลิงม่อมาก และพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องวิ่งออกไปหาเรื่องตายเพียงเพราะเรื่องนี้…แต่ปฏิกิริยาของเหล่าสมาชิกระดับสูงของนิพพานจะเป็นอย่างไร แค่ลองคิดมู่เฉินก็เดาได้แล้ว

“เมื่อต้องไปทำภารกิจที่สาขาย่อย บรรดาสมาชิกธรรมดาของสำนักงานใหญ่มักวางท่าเหนือกว่าพวกเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมาชิกระดับสูงพวกนั้นเลย พวกเขาต้องคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เหนือใครแน่นอน…ถึงแม้ครั้งนี้หลิงม่อจะไม่ได้สร้างความเสียหายที่ทำให้นิพพานล่มสลาย แต่ชื่อของเขาจะต้องกลายเป็นรายชื่ออันดับต้นๆ ในบัญชีดำของนิพพานแน่ๆ…”

มู่เฉินคิดในใจ พลางกวาดตามองสลับไปสลับมาระหว่างสองพ่อลูกแซ่หลันกับชายแว่นดำ

เขารู้แล้วว่าเหล่าหลันเป็นใคร แต่กลับไม่ได้รู้ดีเกี่ยวกับความสำคัญที่เหล่าหลันมีต่อนิพพานสำนักงานใหญ่

ส่วนเจ้าแว่นดำ…ในสายตาเขา เจ้าหมอนี่ก็เป็นแค่นักเลงหัวไม้ที่รูปร่างหน้าตาพิลึกพิลั่นเท่านั้น

คนที่ชอบใช้กำลังและหัวรุนแรงอย่างนี้ แถมยังดูท่าทางชั่วร้าย ถึงจะสามารถไต่เต้าจนมีตำแหน่งในนิพพานได้ ก็คงไม่ใช่ตำแหน่งที่สูงนักหรอก…

มู่เฉินเองก็คิดเหมือนหลันหลัน เขาไม่เข้าใจว่าหลิงม่อจับหมอนั่นมาทำไม

ทว่าพอคิดดูอีกที มีครั้งไหนบ้างที่เขาเข้าใจในสิ่งที่หลิงม่อทำ?

ทั้งๆ ที่คืนนี้เป็นเพียงคืนแรกที่พวกเขาแฝงตัวเข้าไปในนิพพาน แต่เรื่องทั้งหมดกลับเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับรถไฟเหาะ

และระหว่างนั้นเขาเพียงช่วยหลิงม่อทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ที่เหลือเขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย!

เดิมทีเขานึกว่า เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นระหว่างที่หลิงม่อใช้พลังจิตสำรวจ สุดท้ายเรื่องจึงกลายเป็น “อย่างนั้นอย่างนี้” และเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด…

พอคิดว่าเขาถึงขนาดต้องใช้คำว่า “อย่างนั้นอย่างนี้” มาหาคำอธิบายให้ตัวเองสบายใจ มู่เฉินก็อดน้ำตาไหลอาบแก้มไม่ได้…

แต่หลังจากเจอซย่าน่ากับเย่เลี่ยน มู่เฉินก็เกิดสงสัยในการคาดเดาของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง

หรือว่าหลิงม่อคิดไว้ก่อนแล้ว? เขาจึงได้เตรียมแผนรับมือไว้ตั้งแต่แรกอย่างนี้?

แต่เขาไม่เคยเข้าไปในนิพพานสำนักงานใหญ่มาก่อนนี่นา แล้วเขาเตรียมแผนรับมือนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน…

จุดน่าสงสัยมีมากเกินไป มู่เฉินคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

เขาหาโอกาสเดินไปใกล้หลันหลัน แล้วถามเสียงเบา “นี่ เธอบอกฉันหน่อยสิ เป็นไงมาไง พวกเธอถึงได้ออกมากับหลิงม่อได้น่ะ?”

“อ้อ…เรื่องนี้…” หลันหลันลากเสียงยาว ผ่านไปหลายวินาทีจึงค่อยตอบว่า “ก็บังเอิญเจอกันที่นั่นน่ะแหละ”

“โอ้โห นี่จะตอบแบบขอไปทีเกินไปแล้วนะ! แถมน้ำเสียงของเธอก็น่าหมั่นไส้มากด้วย! ถ้าจะหลอกกัน ก็น่าจะทำให้เนียนกว่านี้หน่อยสิ…” มู่เฉินทำหน้าไม่เชื่อ

แต่จู่ๆ หลิงม่อที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หันมากวักมือเรียกมู่เฉิน

“ทำไม?” มู่เฉินถามหน้าบึ้ง

หลิงม่อยิ้ม : “มีอะไรจะอธิบายให้นายฟังหน่อย”

“จริงหรอ?!” มู่เฉินขมวดคิ้ว

รอยยิ้ม “สนิทสนม” ของหลิงม่อ ทำให้กระดิ่งเตือนภัยในสมองมู่เฉินดังขึ้นมาทันที

“ปกติเวลายิ้มอย่างนี้ แสดงว่าเขากำลังวางแผนจะหลอกฉันอยู่!”

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มู่เฉินก็ยังข่มความอยากรู้อยากเห็นในใจไว้ไม่อยู่

“นายว่ามาสิ” มู่เฉินพูดพลางทำหน้าบึ้ง

“อื้อๆ…” ชายแว่นดำร้องครางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หลิงม่อยังไม่ทันได้ยกเท้า มู่เฉินก็ลงมือเตะเขาอย่างแรงอย่างไม่รีรอ

“หุบปากไปเลย!”

ได้ยินมู่เฉินตวาดด่าเสียงเบา ใบหน้าของชายแว่นดำพลันกระตุกยิกๆ ตาขาวเองก็เหมือนจะเหลือกขาวขึ้นมากกว่าเดิม

ถูกหลิงม่อเตะ เขายังพอแสดงท่าทีไม่ยอมจำนนต่ออำนาจได้ แต่พอถูกมู่เฉินเตะ สิ่งที่เขารู้สึกมีเพียงความอัปยศอดสูเท่านั้น

เขาไม่เคยสู้กับมู่เฉิน ในสายตาเขา อย่างมากมู่เฉินก็เป็นแค่ลูกกะจ๊อกคนหนึ่งของหลิงม่อเท่านั้น…

ชายแว่นดำคิดอย่างนี้ พลางพ่นลมหายใจขึ้นจมูก เพื่อแสดงออกถึงความดูถูก

“ชิบ แกยังอวดดีได้อีกนะ!” มู่เฉินเดือด

หลิงม่อกลับทำตัวไหลตามน้ำโดยการโยนร่างชายแว่นดำออกไป “มอบให้นายแล้วกัน”

“ขอบใจ…” มู่เฉินเพิ่งจะกระชากร่างชายแว่นดำขึ้นมา แต่จู่ๆ กลับรู้สึกตงิดๆ ขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน นี่นายตั้งใจโยนภาระให้ฉันใช่ไหม!”

หลิงม่อนวดข้อมือ แล้วหัวเราะบอกว่า “ใช่ที่ไหนเล่า…”

“แต่สีหน้าสบายใจของนายนั่นมัน!”

“ฉันมีเรื่องสำคัญต้องบอกนาย” หลิงม่อพูดอย่างจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย

เขาซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ พลางพูดว่า “ครั้งนี้ที่สามารถแฝงตัวเข้าไปในนิพพานได้สำเร็จ นายมีส่วนช่วยไม่น้อยเลยนะ”

“อื้อๆๆๆ!” ชายแว่นดำดิ้นพล่านอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ตวัดสายตาโกรธแค้นที่จ้องหลิงม่อมาตลอดทางมาที่มู่เฉินทันที

มู่เฉินรู้สึกเพียงหนังศีรษะตึงชา สีหน้าดูแย่ลงกว่าเดิมหลายส่วน

ร้ายดีอย่างไรชายแว่นดำก็เป็นผู้มีพลังจิต บวกกับดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วไปของเขา เวลา “จ้อง” ใคร จึงทำให้คนถูกจ้องรู้สึกกดดันได้ไม่น้อย

และมู่เฉินก็ไม่ได้มีพลังจิตอันแข็งแกร่งเหมือนหลิงม่อ ดังนั้นเขาจึงทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ

“นายตั้งใจโยนหมอนี่ให้ฉันจริงๆ ด้วย!” มู่เฉินตะโกนด้วยความเดือดดาล

“ก็เขาถ่วงการฟื้นพลังของฉันนี่นา…” หลิงม่อบอก พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดหว่างคิ้ว “ศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้า เตรียมตัวรับมือไว้ก่อนดีที่สุด”

“เพิ่งรู้ตัวหรือไง!” มู่เฉินกลอกตาขาว

หลิงม่อกลับมองไปทางซย่าน่ากับเย่เลี่ยนที่อยู่ข้างหน้า รอยยิ้มพลันฉายชัดขึ้นในแววตา

สีหน้าที่ยากจะได้เห็นนี้ของเขาทำเอามู่เฉินหางตากระตุก ไม่นานเขาก็แค่นเสียงเหยียดๆ “เจ้าทึ่มตาบอดเพราะความรัก”

“นี่นายกำลังว่ากระทบหลายๆ คนอยู่นะ…อีกอย่างถึงนายจะอิจฉาตาร้อนก็ไม่เห็นต้องแสดงออกชัดเจนขนาดนี้เลยนี่…” หลิงม่อละสายตากลับมา แล้วบอกว่า “ฉันจะไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว บางเรื่องที่ฉันไม่ได้บอกนาย ก็เป็นเพราะมีความจำเป็น”

“พอเลย คงไม่พ้นบอกว่าทำเพื่อฉันอะไรทำนองนั้นสินะ…” มู่เฉินโบกมือไปมา แล้วส่ายหัวบอก

“ไม่ใช่ซักหน่อย ก็แค่บอกไม่ได้เท่านั้นแหละ อีกอย่าง นายไม่รู้จะดีกว่า” หลิงม่อพูดอย่างตรงไปตรงมา

“อ้าวเฮ้ย!”

ถึงมู่เฉินจะทำสีหน้าไม่พอใจมาก แต่ในใจกลับลอบพ่นลมหายใจเงียบๆ

ถึงแม้การคิดอย่างนี้จะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกข่มเหง…แต่บอกตามตรง การที่หลิงม่อพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ กลับทำให้มู่เฉินสบายใจขึ้นไม่น้อย

เพราะถึงอย่างไรหลิงม่อก็เฉไฉไม่ยอมพูดความจริงกับเขามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ตอนนี้อย่างน้อยก็ถือว่าได้ยินเขาพูดความจริงแล้ว…

อีกอย่าง ที่หลิงม่อพูดเรื่องจริงออกมาในเวลาอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเขาคงจะเชื่อใจมู่เฉินแล้วล่ะมั้ง?

“ช่างเถอะ บอกไม่ได้ก็บอกไม่ได้ ฉันก็แค่พวกขี้สงสัยเท่านั้นแหละ” มู่เฉินพูดหยันตัวเอง

ชายแว่นดำเงี่ยหูฟัง เขาหมายจะแอบฟังข้อมูลภายในอีกซักหน่อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลิงม่อจะมาไม้นี้

เขาโมโหจนหางคิ้วกระตุกยิกๆ ขึ้นมาทันที แต่ก็จนใจเพราะพูดอะไรออกมาไม่ได้ ส่วนปฏิกิริยาของมู่เฉิน กลับทำให้เขาโกรธเคืองสุดๆ

นายช่วยต่อสู้เพื่อตัวเองอีกหน่อยไม่ได้หรือไง! จู่ๆ จะมายอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง…

“นายเข้าใจก็ดีแล้ว” หลิงม่อบอก แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว “ที่ฉันพูดกับนายเรื่องพวกนี้ ก็เพราะหวังว่านายจะไม่เก็บไปคิดเล็กคิดน้อย เพราะถึงอย่างไรนายก็ยังเป็นครูฝึกให้ฉันอยู่”

“ก็แค่ฝึกทีมเล็กๆ…” มู่เฉินเพิ่งจะรับคำอย่างได้ใจเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็หรี่ตาเล็กน้อย “ตกลงกันแล้วนะว่าฉันจะเป็นแค่ครูฝึก นายอย่ามาหลอกใช้กันนะ”

“นายเข้าใจผิดแล้ว” หลิงม่อตบไหล่มู่เฉินอย่างจริงใจ “ฉันแค่กำลังคิดว่า อยากจะขยายทีมให้ใหญ่ขึ้นหน่อย…”

มู่เฉินนิ่งไปหนึ่งวินาทีเพื่อทำความเข้าใจกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา จากนั้นเขาก็คลั่งขึ้นมา : “นายนี่มันสูบเลือดสูบเนื้อ! ปอกลอก! และไร้ความเมตตาสุดๆ! บอกมานะ นายคิดจะขยายทีมให้ใหญ่ถึงระดับไหนกันแน่ คิดจะรับคนเข้ามาอีกเท่าไหร่…”

………..

บนทางเดินรถในมหาลัยแพทย์ เงาร่างของคนสิบกว่าคนกำลังวิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง

ในมือของคนเหล่านี้ล้วนมีอาวุธ คนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าสุดถือปืนพกไว้ เขาคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนที่ถูกหัวหน้าทีมวิจัยไล่ให้ออกมาตามล่านั่นเอง

เขาถือว่าดวงซวย หัวหน้าทีมซ่งของหน่วยรักษาความปลอดภัยไม่อยู่ ภารกิจสั่งการจึงพลอยตกมาอยู่ที่เขาตามสถานการณ์

ตอนนี้พอได้เห็นเหล่าสมาชิกทีมที่ปกติไม่มีใครยอมใครวิ่งตามหลังตัวเองมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้กลับดีใจไม่ออก

คนพวกนั้นฟังคำสั่งเขาที่ไหนกัน ที่มาก็เพื่อต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเท่านั้น…

และในฐานะผู้สั่งการฉุกเฉิน หน้าที่หนึ่งเดียวของเขาคือต้องแบกรับความรับผิดชอบไม่ใช่หรือ?

ตอนนี้เขากำลังขมวดคิ้วจ้องสี่แยกที่อยู่ข้างหน้า ขณะที่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำว่า “ทำยังไงดี?”

ใกล้จะยี่สิบนาทีแล้ว แต่พวกเขายังไม่เจอร่องรอยของคนกลุ่มนั้นในมหาลัยแพทย์ที่กว้างใหญ่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย…

ถึงแม้เขาจะดีใจที่ผลออกมาเป็นอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงความดีใจออกมาอย่างเปิดเผยได้…

“แน่นอนสิ ถนนทั้งหน้าและหลังมีคนเฝ้าไว้หมดแล้วด้วย” หนึ่งในสมาชิกทีมตอบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก

พอได้ยินคำตอบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลับหน้าเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

พวกสารเลวนั่น ทำอย่างนี้เท่ากับกำลังแกล้งพวกเขาชัดๆ!

ดักประตูใหญ่น่ะเรื่องปกติ แต่ถึงกับดักตามถนนด้วย ก็เท่ากับว่าทีมของพวกเขาอาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องเผชิญหน้ากับพวกดาวโชคร้ายนั่นน่ะสิ!

การไล่ล่าครั้งนี้ไม่มีใครอยากเข้าร่วมด้วยเลยซักคน แต่เบื้องบนกลับถ่ายทอดคำสั่งเด็ดขาดลงมา

พวกเขาไม่เหมือนสมาชิกธรรมดา เพราะถือว่าเป็นทีมที่อยู่ภายใต้อำนาจของนิพพานอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ฝ่าฝืนคำสั่ง

ที่หัวหน้าทีมวิจัยกล้าส่งพวกเขาออกมา ก็เป็นเพราะทีมของพวกเขามีความเป็นไปได้ต่ำสุดที่อาจมีหนอนบ่อนไส้แฝงตัวอยู่

แต่พลังของหลิงม่อ แล้วยังมีศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด…สิ่งเหล่านี้ล้วนอันตรายทั้งนั้น!