บทที่ 771 บ่งบอกว่าเป็นคนชอบเล่นบอล

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 771 บ่งบอกว่าเป็นคนชอบเล่นบอล โดย Ink Stone_Fantasy

ความจริง หากจะวัดกันเรื่องความคุ้นเคยต่อสถานที่ สมาชิกนิพพานเหล่านี้ย่อมต้องได้เปรียบพวกหลิงม่อแน่นอน

แต่ ณ วินาทีนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เป็นคนนำทีมไล่ล่ากลับกำลังหวังอย่างสุดซึ้งว่าพวกหลิงม่อจะคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าพวกเขา จะให้ดีที่สุดขอให้พวกเขามีแผนที่อย่างละเอียดด้วยยิ่งดี

เขากระทั่งท่องประโยคเดิมวนไปวนมาในใจ “พี่ใหญ่ ยิ่งพวกแกหนีออกไปได้เร็วเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งหลุดพ้นเร็วเท่านั้น…”

ทว่าเขารู้ดีแก่ใจ หากเขาตั้งใจนำทีมหลีกเลี่ยงอันตราย ในทีมนี้อาจมีสมาชิกทีมหนึ่งคนหรือสองคนที่เชื่อฟังคำสั่งของเบื้องบนอย่างซื่อตรงอยู่ก็ได้

หากสมาชิกทีมพวกนั้นนำเรื่องกลับไปฟ้อง เขาอาจซวยหนักเอาได้…

“หัวหน้าทีม?” มีคนส่งเสียงเรียกเขา

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดึงสติกลับมา แต่เขากลับพึมพำเสียงเบา พร้อมทำสีหน้าเคร่งเครียด “หัวหน้าทีมบ้าอะไรล่ะ ยกให้แกเป็นแทนเอาไหม?”

ทว่าเขาก็ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้ พลางหันกลับไปขานเรียก “เสี่ยวพาน”

ชายร่างท้วมเตี้ยคนหนึ่งเดินออกมาจากทีม พลางรับคำด้วยน้ำเสียงแหบๆ “อยู่นี่”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ถอนหายใจ “ยืนยันทิศทางอีกครั้งซิ”

เสี่ยวพานไม่พูดอะไร เขาปักมีดในมือลงบนพื้น จากนั้นก็หลับตา

สมาชิกที่อยู่รอบตัวค่อยๆ พากันหยุดเดิน แล้วหันมามองเขา

เสี่ยวพานยืดคอยาวสูดหายใจลึกๆ พลางยื่นมือออกไป ทำท่าเหมือนกำลังไขว่คว้าบางสิ่งกลางอากาศ

ทุกครั้งที่ขยุ้มอากาศได้หนึ่งกำมือ เขาจะรีบเอามาดมทันที จากนั้นเขาก็จะทำหน้าชวนเคลิ้มเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

ไม่เพียงเท่านี้ เขายังพูดขึ้นเป็นพักๆ โดยลากเสียงยาวว่า “อ้า~~…” เสียงเขาไม่ดังมาก แต่ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ทุกคนกลับได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจนเต็มสองรูหู

“อะแฮ่ม…” สมาชิกทีมคนหนึ่งทนไม่ไหว หลังจากทำทีเป็นกระแอมแห้งๆ หนึ่งที เขาก็หันใบหน้าที่กำลังสั่นระริก ออกไปอีกทาง

สมาชิกอีกหลายคนก็กำลังกลั้นหัวเราะอยู่เช่นกัน มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้คนเดียวที่หัวเราะไม่ออก

เขาพูดเสียงเบาอย่างใจร้อน “หัวเราะอะไรกัน เสี่ยวพานทำแบบนี้เพื่อเพิ่มความแม่นยำนะ”

“ถ้าฉันจำไม่ผิด เขาเป็นสายกลายพันธุ์ใช่ไหม?”

“อืม จมูกกลายพันธุ์หรือประสาทรับกลิ่นกลายพันธุ์อะไรซักอย่างนั่นแหละ?”

“แต่แค่ดูจากท่าทางก็รู้แล้ว ความจริงส่วนที่หมอนั่นอยากให้กลายพันธุ์ที่สุด คือน้องชายตัวเล็กของตัวเองมากกว่า”

“ส่วนนั้นกลายพันธุ์ไปแล้วจะทำอะไรได้วะ ตอกตะปูหรอ?”

“ไม่แน่ว่า อม * ของฉันซะ อาจกลายเป็นคำประกาศศึกของเขาก็ได้นะ ฟังดูน่าจะฮึกเหิมไม่น้อย…”

“ฮึกเหิมบ้าอะไรล่ะ แกลองจินตนาการถึงท่าทางถอดกางเกง ก่อนที่พวกมันจะสู้กันสิวะ…”

“พอเถอะ พวกนายเริ่มไร้สาระไปไกลแล้ว อีกเดี๋ยวถ้าเขาหาทิศทางได้แล้ว พวกเรายังต้องเสี่ยงชีวิตต่ออีกนะ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอก

พอได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของทุกคนก็เคร่งขรึมขึ้นมา เสียงพูดคุยก็ค่อยๆ เบาลงตามไปด้วย

แม้แต่เสียง “อ้าๆ” ของเสี่ยวพาน ก็ดูเหมือนจะไม่ตลกอีกแล้ว…

สองนาทีต่อมา ในที่สุดมือของเสี่ยวพานก็ลดลงมา สีหน้าของเขากลับมาไร้อารมณ์เหมือนตอนแรกทันที

เขาลืมตา แล้วก้มตัวหยิบมีดขึ้นมา จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ “พวกเขากำลังเดินอ้อมเป็นวงกลม”

“หมายความว่ายังไง?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถามอย่างไม่สบายใจ

เสี่ยวพานอธิบายว่า “ก็หมายความว่า พวกเขากำลังระวังคนที่เหมือนฉันไงล่ะ”

“ก็จริงนะ พอพวกเขาเดินวนอย่างนี้ ร่องรอยกับกลิ่นที่หลงเหลือไว้ก็จะปนกันวุ่นวายไปหมด ทำให้ตามหายาก” มีคนพยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่แล้ว ดังนั้นฉันก็เลยเดาได้แค่ทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น” เสี่ยวพานพูดต่อ “อีกอย่าง ที่นี่มีกลิ่นของสัตว์กลายพันธุ์อยู่ด้วย ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือพวกนั้นล่อเข้ามาก็ได้”

ทุกคนต่างพากันตกตะลึงทันที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถามอย่างร้อนรน “สัตว์กลายพันธุ์อะไร? มีกี่ตัว?”

“ไม่ใช่สัตว์ที่มีกลิ่นแรงนัก บอกได้แค่ว่ามันเคลื่อนไหวถี่มาก ฉันถึงสามารถดมกลิ่นมันได้ ส่วนจำนวน ฉันไม่แน่ใจ” เสี่ยวพานสูดจมูกฟุดฟิด จากนั้นก็ส่ายหน้า “จากกลิ่นอย่างเดียว กลิ่นของสัตว์กลายพันธุ์ชนิดนี้มีอยู่ทุกที่ ดูออกว่ามันไม่ระวังตัวเลยทว่าด้วยความเคยชินของสัตว์กลายพันธุ์ มันไม่น่าจะวิ่งไปทั่วอย่างนี้…”

“นายช่วยพูดเข้าประเด็นเลยได้ไหม?” สมาชิกทีมคนหนึ่งตัดบทเสี่ยวพานอย่างหวั่นๆ

เสี่ยวพานขานรับ “อ้อ” แล้วบอกว่า “ฉันว่า…น่าจะมีประมาณ 5 ตัวขึ้นไปล่ะมั้ง อีกอย่าง ฉันเดาไม่ถูกเลยว่าเป็นสัตว์กลายพันธุ์ชนิดไหน”

“5 ตัว?!”

นับจากที่ได้ยินตัวเลขนี้ ก็ไม่มีใครฟังคำพูดที่เหลือของเสี่ยวพานอีกเลย

ทุกคนต่างพากันหันไปมองรอบกายทันที บรรดาต้นไม้และต้นหญ้าที่สูงเท่าคนเหล่านั้น เดิมก็ดูน่ากลัวมากอยู่แล้ว เวลานี้กลับยิ่งดูน่ากลัวมากกว่าเดิม

และท่ามกลางหญ้ารกเหล่านั้น ราวกับว่ามีดวงตาสีแดงเลือดหลายคู่กำลังซุ่มซ่อนอยู่ในนั้น

สัตว์กลายพันธุ์ไม่ใช่ซอมบี้ พลังต่อสู้ของพวกมันแข็งแกร่งกว่า และมีอันตรายสูงกว่าด้วย

“ไม่คิดเลยว่าจะมีสัตว์กลายพันธุ์ด้วย…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลนลาน ลูกกระเดือกของเขาเกลือกกลิ้งขึ้นลงหนึ่งรอบ แล้วจึงค่อยเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา “ยังไงก็ต้องตามหา…อย่างน้อย ก็ต้องยืนยันให้ได้ว่าพวกนั้นหนีไปทางไหน”

พูดไป เขาก็ขานเรียกใครอีกคนออกมา “โจวเหล่าปา นายกลับไปรายงานเรื่องนี้ซะ”

โจวเหล่าปาได้ยินชื่อตัวเองถูกขานเรียก สีหน้าพลันซีดเผือดขึ้นมาทันที

“ถ้านายไม่ยอมไป ฉันจะกลับไปด้วยตัวเอง” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอก

“ฉันไป ฉันไปเอง…” โจวเหล่าปารับคำ พลางรีบหันหน้าวิ่งไปทางนิพพานสำนักงานใหญ่อย่างรวดเร็ว

คนที่เหลือยืนมองหน้ากันอยู่ที่เดิม ไม่นานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ้มขมขื่นแล้วบอกว่า “ไปกันเถอะ”

………..

ขณะเดียวกัน หลิงม่อกลับกำลังพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “ถ้าหากเดินแหวกพุ่มหญ้าไปอย่างนี้เรื่อยๆ พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบนาทีกว่าจะออกไปได้ใช่ไหม?”

ซย่าน่าหันมากระพริบตาปริบๆ ให้เขา แล้วตอบว่า “อื่ม เวลาประมาณนั้นแหละ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเส้นทางนะ เป็นเพราะเรามีตัวถ่วงมาด้วยต่างหาก…”

“เขาว่าแกนั่นแหละ” มู่เฉินฉวยโอกาสเตะชายแว่นดำอีกครั้ง

จู่ๆ ก็ถูกลูกหลง แต่ตอนนี้ชายแว่นดำกลับไม่มีแรงแม้แต่จะร้องครางแล้ว

ดูจากสภาพน่าอเนจอนาถของเขา ตอนนี้เขาคงยอมแพ้เรื่องดิ้นขัดขืนไปแล้ว

ตั้งแต่ที่เปลี่ยนคนลากเขามาเป็นมู่เฉิน ชายแว่นดำถึงได้ค้นพบว่า เทียบกับมู่เฉิน ท่าทีที่หลิงม่อปฏิบัติต่อเขานั้นถือว่าดีมากแล้ว

เทียบกับหลิงม่อที่ไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไหร่ มู่เฉินกลับเอาแต่จับตาดูเขาอยู่ตลอดเวลา!

มู่เฉินที่เพิ่งเตะเขาเงยหน้าขึ้น แต่กลับพบว่าคนที่ซย่าน่ามองอยู่ไม่ใช่ชายแว่นดำ แต่เป็นเหล่าหลันที่กำลังเดินรั้งท้ายสุด

เหล่าหลันถูกจ้องก็สะดุ้ง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ตาลุงแก่ๆ อย่างฉันมันก็แค่พวกมีความรู้แต่ชอบหมกตัวอยู่แต่ในบ้านนี่นา ฉันยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอมาก…”

“ลุงรู้ศัพท์วัยรุ่นอย่างนี้ด้วยหรอเนี่ย?” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย

หลันหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบส่ายหน้าอย่างได้ใจ “แน่นอนว่าฉันเป็นคนบอกเขา เป็นไงล่ะ พ่อที่ถูกอบรมโดยฉันไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?”

“สลับกันรึเปล่า…” มู่เฉินพึมพำเสียงเบา

หลิงม่อกลับถูกซย่าน่าดึงให้เข้ามายืนตรงกลางระว่างตัวเองกับเย่เลี่ยน

“เป็นไง ครั้งนี้พวกเราทำได้ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?” ซย่าน่าถามพลางยิ้มหน้าระรื่น

“ยังต้องให้บอกอีกหรือ…” หลิงม่อพยักหน้า พลางยกมือขึ้นหยิกแก้มเย่เลี่ยนเบาๆ

ซอมบี้สาวตัวนี้ยิ้มซื่อๆ พลางดึงหน้าหลบไปอีกทางเบาๆ

“พวกเธอวางแผนได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้มาก” หลิงม่อพูดจากใจจริงๆ

ระหว่างที่กำลังหนีออกมา นอกจากสลับมุมมองสายตาในเวลาที่จำเป็น หลิงม่อก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรายละเอียดการเคลื่อนไหวของพวกเย่เลี่ยนเลย

แต่พวกเย่เลี่ยนไม่เพียงเปิดทางหนีไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ทว่ายังจงใจสั่งให้ทัพหลังอย่างเสี่ยวป๋ายและอวี๋ซือหรานเดินไปอีกทางด้วย

เสี่ยวป๋ายได้ทิ้งกลิ่นกายสัตว์กลายพันธุ์ของตัวเองไว้บนทางหนีแล้ว หลังจากที่เลือกเส้นทางอื่น มันย่อมต้องทิ้งกลิ่นของตัวเองไว้ทุกที่แน่นอน

เมื่อเป็นอย่างนี้ เหล่าสมาชิกนิพพานที่ออกมาไล่ล่าพวกเขาก็จะตัดสินได้ยากว่าพวกหลิงม่อหนีไปทางไหน และหนีไปเมื่อไหร่

นึกย้อนไปถึงตอนที่ตัวเองถ่ายทอดคำสั่งผ่านกระแสจิต หลิงม่อก็อดชื่นชมไม่ได้

เขาแค่บอกว่า “เตรียมทางหนีทีไล่” แต่เหล่าซอมบี้สาวพวกนี้กลับเตรียมการได้อย่างสมบูรณ์แบบถึงขั้นนี้!

ส่วนเรื่องที่ล่อตัวทดลองออกมา ลอบโจมตีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และลั่นไกปืนกล พวกเธอก็ทำได้อย่างระมัดระวังและรอบคอบมาก

ความจริงสำหรับเหล่าซอมบี้สาวผู้ลึกลับ โดยเฉพาะสำหรับเฮยซือ การลอบโจมตีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและลั่นไกปืนไม่ถือเป็นเรื่องยากแต่อย่างใด…

ทว่าจุดที่ยากที่สุดของเรื่องทั้งหมด คือการให้ความร่วมมือกับหลิงม่อเป็นอย่างดี ในเวลาสั้นๆ ขนาดนั้น สามารถทำได้ถึงขั้นไร้ที่ติขนาดนี้ มีเพียงพวกเธอซึ่งมีจิตผูกพันกับหลิงม่ออย่างลึกซึ้งเท่านั้นที่จะสามารถทำได้

“ฉลาดหลักแหลมขึ้นมากเลยนะ…” หลิงม่อชม

ซย่าน่ากลับพูดด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “ถ้าฉันบอกไปพี่อาจจะไม่เชื่อก็ได้…” จู่ๆ เธอก็เขย่งปลายเท้าแล้วกระซิบข้างหูหลิงม่อเบาๆ ว่า “เรื่องเส้นทาง เฮยซือเป็นคนเสนอความคิดเห็นด้วยตัวเองเลยล่ะ”

“มันน่ะนะ?” หลิงม่อนึกถึงเสียงประหลาดๆ ของเฮยซือ แล้วสีหน้าของเขาก็แปลกไป

“ชะ…ใช่แล้ว…” เย่เลี่ยนยืนยันด้วย “ฉันก็…เห็นเหมือนกัน”

“แต่มันเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง…” หลิงม่อยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ

นับจากที่ดวงจิตของเฮยซือผูกติดกับอวี๋ซือหราน สถานการณ์ของมันก็ดูจะแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ…

ซย่าน่าหัวเราะคิกคัก แล้วบอกว่า “ตอนที่ซือหรานกลายพันธุ์ ก็น่าจะอายุ 11 ปีแล้วใช่ไหมล่ะ? พี่หลิง พี่คิดว่ามนุษย์คนหนึ่งจะเห็นและสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ได้มากมายขนาดไหนในช่วงอายุ 11 ปี? ถึงเธอจะไม่ได้ใส่ใจ แต่สิ่งที่เธอเคยเห็นกลับถูกกักเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเดิมเฮยซือก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความทรงจำอยู่แล้วด้วย หลังจากที่หลอมรวมกัน สติปัญญาของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

“ละทิ้งเรื่องรูปร่างหน้าตา แล้วหันไปเอาดีด้านสติปัญญางั้นสินะ…” หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “นี่ก็พอจะอธิบายได้แล้วว่าทำไมเฮยซือถึงได้ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่อวี๋ซือหรานยังคงโง่เหมือนเดิม…”

“ทว่าเจ้าสิ่งของชิ้นเล็กๆ ที่พี่หลิงพกติดตัว ก็ดูเหมือนจะใกล้วิวัฒนาการไปถึงระดับที่สูงกว่าเดิมแล้วสินะ” จู่ๆ ซย่าน่าก็พูดขึ้น

หลิงม่อรู้ว่าเธอพูดถึงเจ้ามาสเตอร์บอล จึงยกยิ้มมุมปากเบาๆ

ภารกิจในครั้งนี้ เจ้ามาสเตอร์บอลมีบทสำคัญมากอย่างไม่ต้องสงสัย…

“ใช่สิ จะว่าไปแล้ว ฉันตั้งชื่อให้มันด้วยล่ะ” หลิงม่อบอก

“ชื่อ…อะไร?” เย่เลี่ยนถามอย่างสงสัย

หลิงม่อกระแอมเบาๆ แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “เจ้ามาสเตอร์บอล! เป็นไงล่ะ?”

“…บ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยล่ะว่าเป็นคนชอบเล่นบอล…” ซย่าน่าพยักหน้า

“ช่วยอย่าทำลายความทรงจำวัยเด็กได้ไหม…” หลิงม่อบอก…

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มู่เฉินที่อยู่ข้างหลังก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ข้างหน้าไม่มีทางเดินแล้ว”