บทที่ 184 บทนำสู่สงคราม[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 184 บทนำสู่สงคราม[รีไรท์]

วันรุ่งขึ้น!

เสียงคำรามอันเย่อหยิ่งของหลงอ๋าวดังขึ้นบนภูเขาเฉียนหลง ในที่สุดเขาก็ทะลวงผ่านขั้นเก้ามาได้ เขาใช้เวลานานกว่าสิบปีในขั้นแปด ซึ่งยาวนานมากจริง ๆ

“ไอ้หนุ่ม ขอยาให้ฉันอีกเถอะนะ” หลงอ๋าวเอ่ยปากขอออกมา

ยาอายุวัฒนะถือว่าเป็นยาเทวดาจริงๆ หลังจากกินเสร็จเขาก็ทะลวงผ่านมาได้ หนึ่งขั้นทันทีและรากฐานของเขาตอนนี้ถือว่ามั่นคงมาก มันเหมือนเป็นยาครอบจักรวาล

“ยาอายุวัฒนะสามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และผลจะลดลงอย่างมาก ถ้าคุณกินมันอีกครั้ง” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น

หลงอ๋าวไม่ยอมแพ้และพูดต่อ “งั้น เอ็งยังมียาที่สามารถทำให้ทะลวงขอบเขตได้ง่ายๆ แบบนี้อีกไหม”

“มีสิ” ฉู่ชวิ๋นตอบโดยไม่ต้องคิด

“จริงหรอ?” ดวงตาของหลงอ๋าวเปล่งประกาย ฉู่ชวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา “ยาเจินหยวน หลังจากกินมันเข้าไปมันสามารถทะลวงผ่านขอบเขตต่อไปได้ทันที”

“แล้วเอ็งปรุงยา นี้ได้ไหม?”

“ได้ แต่วัสดุหายากมาก”

“วัสดุที่จำเป็นต้องใช้ คุณบอกมา ฉันจะหามันเอง” หลงอ๋าวกล่าว

“ก่อนอื่น คุณลุงต้องไปหาพญาอสรพิษที่ฝึกฝนมาหลายพันปี แล้วหลังจากนั้นคุณลุงต้องไปหาหยดเลือดจากผู้ฝึกตนเป็นเซียนที่แข็งแกร่ง ในขอบเขตนิรันดร์ แล้วก็….”

“หยุด….หยุดเลย!” หลงอ๋าวพูดอย่างมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ที่จะหามันมา

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องห่วง บางทีอาจจะมีโอกาสที่ผมจะหามันได้”

ทันใดนั้น จู่ ๆ ทั้งสองก็เห็นออร่าบางอย่างอยู่รอบ ๆ

“ชิงหวู่กำลังจะทะลวงผ่านแล้ว” ฉู่ชวิ๋นชื่นชม เขาเหยียดมือออกไปและมองไปรอบ ๆ เพื่อรวบรวมพลังไปเพิ่มขีดความสามารถ จากตำแหน่งหน้าผากฮวาชิงหวู่โดยตรง

หลังจากนั้นไม่นาน ฮวาชิงหวู่ก็ลืมตาของเธอขึ้น ดวงตาของเธอแหลมคม ร่างกายเปล่งประกายด้วยแสงสีทองลมหายใจของเธอเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล

“ฉันจะช่วยเธอสร้างรากฐานให้มั่นคงกว่านี้เอง” ฉู่ชวิ๋นสะบัดมือของเขาและพลังอันยิ่งใหญ่ของธาตุบริสุทธิ์ก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของฮวาชิงหวู่ ชำระล้างแขน ขา กระดูกและอวัยวะของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลังจากนั้นไม่นานฉู่ชวิ๋นก็หยุดลง ลมหายใจของฮวาชิงหวู่นั้นคล่องแคล่วมากขึ้น ผิวพรรณก็งดงามราวกับเป็นนางฟ้า

“ในตอนนี้ฉันต่อสู้กับจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ได้ไหม?” เมื่อรู้สึกถึงพลังภายในร่างกาย เธอก็รู้สึกดีใจอย่างมาก

ฉู่ชวิ๋นยิ้มและส่ายหัว “เธอเป็นปรมาจารย์แล้วรึไง? มีปรมาจารย์คนไหนบ้างที่ไม่เก่งและไม่มีความสามารถ ตอนนี้เธอสามารถรับมือได้แค่กับพวกขั้นนักสู้พลังชีพจรเท่านั้น แต่สำหรับปรมาจารย์ เธอยังเอาชนะพวกเขาไม่ได้”

ฮวาชิงหวู่ได้ยินที่แบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธอไม่ได้อยากต่อสู้กับใคร แต่เธอยินดีที่จะต่อสู้กับปรมาจารย์ ถ้าเพื่อช่วยเหลือฉู่ชวิ๋น

“นี่สำหรับเธอ” ฉู่ชวิ๋นหยิบกระบี่ไม้ออกมา ฮวาชิงหวู่เคยเห็นฉู่ชวิ๋นใช้กระบี่ไม้นี้มาก่อน เธอโบกมือแล้วส่ายหัวทันทีมันไม่มีประโยชน์ที่จะเอากระบี่ข้างกายของฉู่ชวิ๋นมาอยู่ในมือของเธอหรอก

“รับไปสิ! มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉันอีกแล้ว” ฉู่ชวิ๋นพูดเรื่องจริงอยู่ ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของขั้นสร้างรากฐาน แค่การสะบัดมือของเขาหรือการกระทืบเท้าก็รุนแรงกว่าตอนใช้กระบี่ไม้ซะอีก

“กระบี่ไม้นี้เป็นอาวุธเซียน กระบี่คือการโจมตีหลัก ถ้าหากเธอใช้มัน แม้ว่าเธอจะเจอกับปรมาจารย์ขั้นหนึ่งหรือขั้นสอง เธอก็พอจะป้องกันตัวได้ แม้ว่าจะไม่ชนะถ้าเธอได้เก็บมันเอาไว้ ฉันจะได้มั่นใจมากขึ้น” ฉู่ชวิ๋นกล่าว

เมื่อได้ยินว่ากระบี่นี้ไม่มีประโยชน์แล้วสำหรับฉู่ชวิ๋น ฮวาชิงหวู่จึงรับมันไว้และลองใส่พลังธาตุบริสุทธิ์เข้าไป เธอเห็นแสงสีทองไหลเข้าไปในของตัวกระบี่ และกระบี่ก็แผ่รังสีออกมา

เธอวาดกระบี่เป็นแนวนอน ซึ่งในขณะเดียวรังสีของกระบี่ก็ปรากฏออกมาตามการเคลื่อนไหวของเธอ

ตู้ม!

หินสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดครึ่งตารางเมตรบนภูเขาถูกเป่ากระจุยภายในกระบี่เดียว

ฮวาชิงหวู่รู้สึกตกใจมาก เธอแลบลิ้นออกมาแล้วรู้สึกชื่นชมความแข็งแกร่งของตัวเอง

ในตอนนี้ ดวงอาทิตย์ได้อยู่ ณ กลางท้องฟ้าแล้ว ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงตรง ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจแล้วมองไปทางเขตแดน “ลาก่อนนะ!”

เขามองไปที่ถางโร้วและเฉินฮั่นหลง ผู้กำลังอยู่ในกระบวนการ ฝึกตนและจากนั้นก็หันหลังให้พวกเขา ทั้งสามพากันไปที่เชิงเขา มือของฉู่ชวิ๋นประสานกัน เขาทำให้เมฆที่ปกคลุมภูเขาเคลื่อนเข้ามาจนหนาแน่น ภูเขาเฉียนหลงทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆหมอก แม้ว่าจะมองลงมาจากที่สูงก็จะไม่มีใครเห็นอะไรเลย

ตู้มม!

ภายในเมฆนั้น มีคลื่นหลากสีสันสั่นเป็นระลอก ๆ และในที่สุดก็โปร่งใสซ่อนตัวอยู่ภายในหมอก

ภูเขาเฉียนหลงถูกปิดผนึก หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาในครั้งนี้ อีกสิบปีต่อมาวงเวทจะคลายตัวของมันเอง

จนกว่าจะถึงวันนั้น ถางโร้วและเฉินฮั่นหลงก็คงสามารถปกป้องตนเองได้แล้ว

“ไปกันเถอะ!” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมา

ในขณะเดียวกัน ทั่วทั้งยุทธภพก็กำลังเดือดร้อนรน จอมยุทธ์เกือบทั้งหมดต่างก็มีจุดมุ่งหมายไปที่ภูเขาเซวียนฉี

การปะทะกันระหว่างจอมมารฉู่และสำนักสวรรค์ฟ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากในรอบร้อยปี ถ้าพลาดเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ คงจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต

มีคนปรากฏตัวรออยู่รอบ ๆ ภูเขาเซวียนฉี ตอนนี้มีฝูงชนมากมายในทุก ๆ ที่มีสำนักหรือขุมกำลังต่าง ๆ พร้อมการป้องกันหนาแน่นซึ่งสามารถบอกได้เลยว่า มีผู้คนมากมายขนาดไหน

ฉู่ชวิ๋นและสำนักสวรรค์ฟ้ายังไม่ได้เริ่มอะไร แต่กองกำลังเหล่านี้ที่อยู่รอบ ๆ ภูเขาเซวียนฉีได้ต่อสู้กันหลายครั้งแล้ว เพื่อชิงตำแหน่งที่น่าจับตามอง

ผู้คนจากสำนักภูผาทมิฬมาที่นี่พร้อมกับเจ้าสำนัก ที่เป็นชายวัยกลางคนที่สูงศักดิ์ เมื่อเขาเดินหนึ่งก้าวแผ่นดินจะสั่นไหว มีหญิงสาวแสนสวยเดินตามเขามาด้วย พร้อมชายชราที่ทรงพลังหลายคน ทั้งสองเคยไปยังภูเขาเฉียนหลง พวกเขายึดภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นภูเขาทั้งสามที่สูงเสียดฟ้าของภูเขาเซวียนฉีได้อย่างชัดเจน

“เจ้าสำนักภูผาทมิฬ ขออภัยที่รบกวนนะ ฉันไม่ได้พบคุณมานานแล้ว!” คนบนเนินเขาไม่ไกลกันเท่าไรกล่าวทักทาย เสียงอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาเหมือนกับสายฟ้าและกลบเสียงอึกทึกของคนอื่น ๆ

ชายวัยกลางคนของสำนักภูผาทมิฬมองกลับไป สายตาของเขาเฉียบแหลมเหมือนเหยี่ยวบนท้องฟ้าหลังจากที่ได้เห็นอีกฝ่าย เขาก็ยิ้มแล้วพูด “อ้า! นั่นท่านเจ้าสำนักเทียนหวู่นิ คุณอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” สำนักเทียนหวู่นั้นได้สืบทอดมาหลายร้อยปี มีวรยุทธ์โบราณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ความแข็งแกร่งโดยรวมของสำนักเทียนหวู่นับว่าแข็งแกร่งงมาก

พวกเขานั้นหนึ่งมาจากทางใต้และอีกหนึ่งมาจากทางเหนือ ถือว่าเป็นลําธารและสายน้ำที่ไม่ล่วงล้ำกับ ไม่ใช่เพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ศัตรู

“จอมมารฉู่นี้มีความรุ่งโรจน์มากนัก ฆ่าราชาปีศาจ ทำลายดาบทองคำและบังคับให้ราชาพิษละทิ้งลูกศิษย์และหุบเขาหนีไป ตอนนี้เขาเป็นเหมือนลมพายุที่ทำให้โลกยุทธภพต้องโกลาหลและคราวนี้ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ เขาคนเดียวจะมุ่งหน้าไปที่สำนักสวรรค์ฟ้า ไม่ต้องพูดเลยว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ นับแค่ความกล้าหาญเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถมีได้ ฉันเองก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้และคิดว่าไม่ใช่แค่ฉัน คาดกันว่าคนอื่นก็เหมือนกัน…” เจ้าสำนักเทียนหวู่กล่าว เขาเหยียดนิ้วของเขาและชี้ไปหลายทิศทาง เจ้าสำนักภูผาทมิฬมองด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“ไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือ?” เจ้าสำนักเทียนหวู่ถาม

“คิดคนอื่นก็คงไม่สามารถจริง ๆ” เจ้าสำนักภูผาทมิฬไม่ได้ปกปิดความจริง

อีกด้านหนึ่ง การมาถึงของสำนักมังกรทมิฬนั้น ราวกับการมาถึงของเทพเจ้า อีกทั้งยังมีคนของหุบเขาภูตผี … มีเหล่านิกายและสำนักมากมายที่ไม่อยากพลาดเรื่องราวในครั้งนี้

ในหมู่สำนักต่าง ๆ หุบเขาภูตผีและนิกายโลหิต นับว่าเป็นฝ่ายอธรรมเต็มตัวพวกเขาเป็นสิ่งที่เลวร้ายในสายตาทุกคนและคราวนี้พวกเขาได้ปรากฏตัวพร้อมกับเสียงแตรอันยิ่งใหญ่

เจ้าสำนักภูผาทมิฬขมวดคิ้วอย่างเงียบ ๆ และพูดขึ้นมา “คอยดูให้ดี นี้อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้เห็นเรื่องแบบนี้”

“ครั้งนี้ฉันรู้ตื่นเต้นมากจริง ๆ ที่ได้เห็นเรื่องใหญ่แบบนี้กับตาตัวเอง” เจ้าสำนักเทียนหวู่พูดประโยคที่มีความหมายเลศนัยออกมาเจ้าสำนักภูผาทมิฬพยักหน้า สำนักที่ยิ่งใหญ่จำนวนมากมารวมกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเรื่องกัน!!!

ทุกคนต้องก่อนสงครามอยู่แล้ว ซึ่งฉู่ชวิ๋นเองก็ยังไม่ปรากฏตัว และสำนักสวรรค์ฟ้าก็ยังไม่ตอบสนองใด ๆ

ทุกคนเริ่มเบื่อ ใครบางคนเริ่มพนันกันว่าใครจะชนะ ระหว่างฉู่ชวิ๋นและสำนักสวรรค์ฟ้า

“สาวน้อย ฉันได้ยินมาว่าเธอได้เจอจอมมารฉู่มาก่อน ละพูดคุยกับเขามาแล้วข่าวลือที่ว่านี้เป็นความจริงหรือไม่?” เจ้าสำนักเทียนหวู่ถามพร้อมรอยยิ้ม

เด็กสาวมองมาที่เขาและพูดออกมาสั่นๆ “เขาเป็นเสมือนนิรันดร์”

เจ้าสำนักเทียนหวู่นั้นชะงักไปครู่หนึ่งทันทีที่ได้ยินแบบนี้ จากนั้นเขาก็ปรบมือและหัวเราะออกมา “ใส่ไปห้าสิบล้าน ฉู่ชวิ๋นชนะ” เจ้าสำนักภูผาทมิฬมองเจ้าสำนักเทียนหวู่ด้วยสายตาแปลก ๆ ในเวลานั้นเอง หญิงสาวก็เดินออกมา

“เธอจะทำอะไร?” เจ้าสำนักภูผาทมิฬถาม

“ร้อยล้าน เดิมพันฉู่ชวิ๋นชนะ!” หญิงสาวพูดโดยไม่หันกลับไปมองเจ้าสำนักภูผาทมิฬตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมา

“ใครบอกว่าผู้หญิงอ่อนด้อยในโลกยุทธภพ ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนั้นหรอกนะ!”