“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเองก็เหมือนกับพวกนางมิใช่หรือ?”
ชิงหูยิ้มขณะมองหน้าหลินเมิ้งหยา ในสายตาของเขา หลินเมิ้งหยาคือผู้หญิงคนเดียวบนโลกที่ทั้งงดงามและน่ารัก
“ข้า?” นางส่ายหน้า เรื่องราวในอดีตหลั่งไหลเข้ามาดั่งสายน้ำ
อันที่จริงนางยังไม่อยากจะยอมรับ
แต่น่าเสียดาย แม้ไม่อยากจะยอมรับแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้?
ตอนนี้นางมิใช่นักเรียนแพทย์ในยุคปัจจุบันอีกแล้ว แต่นางเป็นชายาอวี้ในอดีตแห่งนี้
“เป็นอะไรไป? ช่วงนี้เจ้าดูขี้เกียจขึ้นนะ”
ชิงหูหรี่ตาพลางจ้องมองหลินเมิ้งหยา
ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปหรือไม่ เขารู้สึกว่าช่วงนี้เจ้าเด็กน้อยห่อเหี่ยวกว่าเดิมมาก
เหมือนนอนหลับและไม่อยากตื่นอย่างไรอย่างนั้น จิตใจไม่แจ่มใสเหมือนก่อน
“อาจเพราะต้องเจอเรื่องราวมากมาย ผ่านช่วงนี้ไปคงรู้สึกดีขึ้น เจ้าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าฤดูใบไม้ผลิก็ง่วงเหงา ฤดูใบไม้ร่วงก็เบื่อหน่ายหรือ?”
หลินเมิ้งหยาอ้าปากหาวเล็กน้อย บางทีอาจเพราะช่วงนี้นางนอนไม่ค่อยหลับกระมัง
สมองยังคงสะลึมสะลือมิแจ่มใส ดูเหมือนอาการนอนไม่หลับจะส่งผลต่อร่างกายของนางมากจริงๆ
“จริงสิ ข้าได้ยินหยุนจู๋เล่าว่าเจ้าตั้งชื่อกลุ่มว่ากลุ่มสามสหายอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าของชิงหูพลันปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า นางรู้ได้ทันทีว่าชิงหูกำลังมีความคิดชั่วร้าย
“ข้าจะสามารถ…”
“พักผ่อน!”
หลินเมิ้งหยาถลึงตาโต ปฏิเสธความคิดของเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
ชิงหูรีบแสดงท่าทางขมขื่น
“ข้าก็แค่อยากช่วย”
“ข้าว่าเจ้าอยากจะเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเสียมากกว่า”
ไม่ต้องอ้าปากสักคำหลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาอยากเป็นหนึ่งในคุณชายทั้งสาม
แต่ถ้าให้เขาเข้าไปคัดกรองคนเหล่านั้น สุดท้ายเขาต้องต่อยตีคนพวกนั้นจนแขนขาขาดอย่างแน่นอน
นางไม่อยากให้คนในกลุ่มสามสหายของนางต้องกลายเป็นคนพิการ
“ข้าหวังดีจริงๆ นะ ครั้งเดียว…ครั้งเดียวนะ ได้หรือไม่?”
แม้ชิงหูจะไม่ใช่นักฆ่าที่เน้นใช้อาวุธ แต่เขาก็ใช้อาวุธได้อย่างเก่งกาจ อีกทั้งเขายังทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าไปก่อกวนคนที่มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเขาอย่างเย่
นานวันเข้า เมื่อเย่ได้เจอชิงหู เขาแทบจะหายไปไม่ปรากฏตัวออกมา
วิทยายุทธ์ของป๋ายซูและหลินจงอวี้เองก็สูงพอควร แต่เมื่อเทียบกับชิงหูแล้ว พวกเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้เขาจึงเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง
“เฮ้อ ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าไม่อนุญาต เช่นนั้นข้าเป็นตัวแทนคอยจัดการเรื่องอื่นก็แล้วกัน เจ้ายังจำสวนเล็กที่หูลู่หนานจับตัวเจ้าไปขังไว้ที่นั่นได้หรือไม่?”
ชิงหูยกแก้วชาขึ้นดื่มก่อนเอ่ยถาม
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ภาพความทรงจำ ณ ที่แห่งนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในสมองของนางมิเลือนราง
“ข้าซื้อที่นั่นเอาไว้แล้ว จากนี้ไปหากมีเรื่องเกี่ยวกับเจียงหูก็ไปจัดการที่นั่นเถิด”
สวนเล็กแถบชานเมือง? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด เหมาะสมอยู่เหมือนกัน
“ขอบใจ ลำบากเจ้าแล้ว! มาสิ ดื่มชาเยอะๆ”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะคิกคักพลางมองชิงหู นางรู้ดีว่าคนที่ร่ำรวยที่สุดในตำหนักหลิวซินก็คือเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตรงหน้า
มองดูท่าทางที่เปลี่ยนไปของเด็กน้อย
ชิงหูชะงัก บ่นพึมพำ
“คนที่เจียงหูต่างเอ่ยว่าข้าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนสีหน้าไวเสียยิ่งกว่าข้าอีก”
“เจ้าพูดอะไรนะ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ชิงหูรีบส่งยิ้มใสซื่อไร้เดียงสา
“ไม่มีอะไร ข้าไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย”
พูดจบเขาก็กระพริบตาใส่หลินเมิ้งหยาปริบ ๆ
เมื่อหลินเมิ้งหยาปรายตามองเขาแล้ว นางตัดสินใจที่จะเมินเฉยต่อจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนนี้
บนถนน เสียงของสาวใช้ทั้งสี่ดังเจื้อยแจ้วดึงดูดคนที่ผ่านไปมามากมาย
โชคดีที่ใบหน้าขึงขังและท่าทางน่าเกรงขามของหลินจงอวี้ทำให้พวกอันธพาลโรคจิตมิกล้าเข้าใกล้พวกนาง
สาวใช้ทั้งสี่ล้วนงดงามโดดเด่น แต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกันไป
ไม่นานพวกนางก็กลายเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง
“มีคนจับตามองพวกเราอยู่ พวกเจ้ารีบซื้อหน่อย ซื้อเสร็จแล้วจะได้กลับไปหาพี่สาว”
หลินจงอวี้กระซิบ สายตาชำเลืองมองทางโรงน้ำชาที่พี่สาวของเขาพักผ่อนอยู่
เขาอยากอยู่ข้างกายพี่สาว ทว่าสาวใช้ทั้งสามคือคนที่พี่สาวเอ็นดูมากที่สุด
หากเขาไม่มาคอยเฝ้า เกรงว่าพี่สาวจะต้องลงมาเองแน่
“เจ้าค่ะนายน้อยอวี้ พวกเราดูอีกนิดเดียวก็จะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
แม้ป๋ายจีจะอารมณ์ดีแต่ก็มิได้ลืมหน้าที่
นางกระตุกป๋ายจื่อที่เดินเล่นสนุกสนานจนลืมตัว สาวใช้ที่เหลือจึงสงบลง
“นายน้อย อยู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่รอบๆ พวกเรา”
ประสาทสัมผัสของป๋ายซูไม่ด้อยไปกว่าหลินจงอวี้
ชำเลืองมองบริเวณรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง มิรู้ว่าคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นรอบกายพวกนางตั้งแต่เมื่อไหร่
ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือคนกลุ่มนั้นพยายามเบียดให้พวกนางไปรวมกันอยู่ตรงกลาง
“คนที่มาย่อมไม่ประสงค์ดี พวกเราเดินไปทางโรงน้ำชากันเถิด”
หลินจงอวี้มองไปรอบๆ มือของป๋ายซูวางลงบนเอว
“นายน้อย ส่งสัญญาณดีหรือไม่เจ้าคะ?”
หลินจงอวี้มองไปรอบๆ ยังมีคนของพวกเขาคอยคุ้มกันอยู่เงียบๆ
ขอเพียงส่งสัญญาณ คนเหล่านั้นจะปรากฏตัวเข้าช่วยเหลือทันที
“ไม่ต้อง ต่อให้คนกลุ่มนี้ใจกล้าบ้าบิ่น แต่ก็ไม่มีทางลงมือบนถนนกลางวันแสกๆ เช่นนี้”
ใบหน้าเย็นชา หลินจงอวี้ส่งสัญญาณมือให้กับชิงหูด้านบนโรงน้ำชาสองครั้ง
ชิงหูเองก็มิอาจออกมาช่วยต่อหน้าได้
คนที่นี่มีมากมาย หากมีคนจำเขาได้ เกรงว่าวันเวลาอันแสนสงบสุขของเขาจะหมดลง
“พวกเราระวังตัวหน่อยก็พอ ไปเถอะ”
ป๋ายซูพยักหน้ารับ ทั้งสองเดินนำหน้าตามหลังกันคุ้มครองหญิงสาวทั้งสามตรงกลาง
ชายร่างกำยำสิบกว่าคนจ้องมองคนทั้งห้า
“โอ้ คุณชายที่ไหนกันนะที่พาสาวใช้สวยๆ พวกนี้มาเที่ยวเล่น หัวใจของเหยียคันยุบยิบไปหมด”
ชายสวมชุดสีน้ำตาลปรากฏขึ้นกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ แต่เพียงได้เห็นมุมปากก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนสับปลับ
หลินจงอวี้ไม่แม้แต่จะสนใจ ทว่าดวงตาของเขาเย็นชาลง
ป๋ายจี ป๋ายซ่าวและป๋ายจื่อไร้วิทยายุทธ์ ดังนั้นพวกนางจึงเข้ามาหลบด้านหลังหลินจงอวี้
นับตั้งแต่วันที่เข้าไปทำงานในจวน ไม่มีใครเคยปฏิบัติหยาบคายเช่นนี้กับพวกนาง
“ไสหัวไป”
ป๋ายซูตวาด จ้องหน้าชายคนนั้นเขม็ง
“อารมณ์รุนแรงมิต่างจากม้าพยศ เหยียถูกใจยิ่งนัก”
ไม่เหมือนกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ป๋ายซูมีรัศมีแห่งความเย็นชาแผ่ซ่าน
ฝ่ายชายแลบลิ้นเลียปาก จ้องมองป๋ายซูด้วยสายตาโลมเลีย
“อย่าได้คิดเอาชีวิตของเจ้ามาทิ้ง!”
ป๋ายซูจับกระบี่อ่อนที่เอวแน่น หากชายคนนั้นเข้ามาใกล้ นางพร้อมที่จะจัดการเขาทุกเมื่อ
ทว่าอันธพาลผู้นั้นกลับเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อผิดไป
ดวงตาหื่นกระหายจ้องมองเอวบางของนาง
“คิดจะถอดเสื้อผ้าตรงนี้เลยหรือ อย่าเพิ่งรีบร้อนสิคนสวย”
“ไปตายซะ”
ป๋ายซูตวาดดังลั่น นางดึงกระบี่อ่อนออกจากเอว
ใบหน้าเรียวเล็กเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา หมุนกระบี่ในมือแล้วจ่อคอของชายโรคจิตคนนั้น
“ฮึ ข้ามองเจ้าผิดไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหยียเป็นใคร?”
แม้จะตกเป็นรองแต่ชายหื่นกามคนนั้นกลับมิได้แสดงท่าทีตื่นตระหนก เขากลับส่งเสียงดังยิ่งขึ้น
“นังผู้หญิงบ้า ยังไม่รีบปล่อยคุณชายของข้าอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ พวกข้าคือคนของกลุ่มหลิวเย่ หากเจ้ากล้าทำให้พวกเราไม่พอใจ ครอบครัวของเจ้าอยู่ไม่เป็นสุขแน่”
กลุ่มหลิวเย่? สายตาของหลินจงอวี้แข็งทื่อ
ก่อนที่เขาจะถูกพี่สาวพากลับจวน เขาถูกกลุ่มหลิวเย่จับตัวไว้ใช้งาน
คนพวกนั้นปฏิบัติกับเขามิต่างจากหมาข้างถนน
เหยียดยิ้มเย็นยะเยือก
สวรรค์มีทางแต่เจ้าไม่เดิน พวกมันกลับเลือกที่จะเปิดประตูนรกกระนั้นหรือ
ในที่สุด เขาก็ได้แก้แค้นแล้ว
“ป๋ายซู ฆ่า!”
ส่งเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความสงสาร
เขาไม่สนใจหรอกว่ากลุ่มหลิวเย่จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน แต่เมื่อวันนี้มาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว คนพวกนี้จะต้องได้รู้จักกับคำว่าโชคร้าย
ไร้ซึ่งความลังเล กระบี่ในมือพุ่งออกไป
วินาทีต่อมา เลือดสีแดงสดพวยพุ่ง
ชายร่างกำยำเหล่านั้นตะลึงงัน
สวรรค์โปรด ที่เมืองหลวงแห่งนี้มีคนกล้ายุ่งกับพวกเขากลุ่มหลิวเย่ด้วยหรือ
เกรงว่ากระบี่ของหญิงสาวตรงหน้าจะกลายเป็นกระบี่วิญญาณไปเสียแล้ว
“เจ้า…พวกเจ้าซวยแล้ว พี่ใหญ่ของพวกเราไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไป”
“ไม่ปล่อยใครไปอย่างนั้นหรือ? กลุ่มหลิวเย่ของพวกเจ้าบังอาจยิ่งนัก ดูเหมือนการสั่งสอนคราวที่แล้วจะยังไม่มากพอใช่หรือไม่”
จู่ๆ เสียงอ่อนหวานก็พลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง ชายร่างกำยำร่างกายสั่นเทิ้ม ก่อนจะหันหลังกลับไป
พวกเขาเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามนางหนึ่งค่อยๆ สาวเท้าทีละก้าวเข้ามา
งดงามประหนึ่งภาพวาด ไม่มีใครเทียบเทียมได้
แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้พวกเขารู้สึกสั่นสะท้าน
จู่ๆ คำพูดของพี่ใหญ่ก็ดังขึ้นในสมอง
ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ห้ามเข้าไปยุ่งด้วย คนผู้นั้นคือชายาอวี้ หากพบเจอนางให้รีบหนีทันที
ได้ยินมาว่า ชายาอวี้งดงามดั่งเทพธิดา
ได้ยินมาว่า นางเคยจัดการชายร่างกำยำหลายสิบคนและเก็บเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปเลี้ยง
ได้ยินมาว่า นางสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา
ใบหน้างดงาม ข้างกายมีเด็กหนุ่ม หญิงสาวตรงหน้าตรงกับความคิดของเขาทุกอย่าง
หรือว่า…
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน!”
เขารวบรวมความกล้า ส่งเสียงตะคอกเพราะคิดว่าสวรรค์คงมิลำเอียงต่อพวกเขา
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหัวเราะก่อนจะตอบ
“ข้าขอชีวิตของพวกเจ้าแล้วกัน แต่ข้าจะขอพูดอะไรสักหน่อย กลับไปบอกพี่ใหญ่ของพวกเจ้า หากคิดจะแก้แค้น ข้าชายาอวี้พร้อมเสมอ”
ที่แท้นางก็คือชายาอวี้!
ร่างกายของชายเหล่านั้นเริ่มสั่นเทิ้ม
ได้ยินมาว่าชายาอวี้โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก
แต่เพราะรูปร่างและการแต่งกายของนางทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวร่างบางตรงหน้าจะใจดำอำมหิต
“เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่จะตกใจกลัวอย่างนั้นหรือ? ข้าจะบอกเจ้า…อ๊าก…”
ชายที่อยู่ใกล้เขาที่สุดพูดได้เพียงครึ่งประโยค ก่อนจะพบว่าลิ้นของตนเองขาดร่วงลงพื้นไปเสียแล้ว
“ยังจะพูดอีกหรือไม่?”
ชายคนนั้นมีเลือดไหลทะลักท่วมกาย
เหตุเพราะนางเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายลม ยังไม่ทันที่จะรู้สึกเจ็บปวด ลิ้นของเขาก็ขาดไปแล้ว
เบิกตากว้างมองทางหลินเมิ้งหยา
ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก!