เล่มที่ 7 บทที่ 187 ลวนลามบนถนน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเองก็เหมือนกับพวกนางมิใช่หรือ?”

ชิงหูยิ้มขณะมองหน้าหลินเมิ้งหยา ในสายตาของเขา หลินเมิ้งหยาคือผู้หญิงคนเดียวบนโลกที่ทั้งงดงามและน่ารัก

“ข้า?” นางส่ายหน้า เรื่องราวในอดีตหลั่งไหลเข้ามาดั่งสายน้ำ

อันที่จริงนางยังไม่อยากจะยอมรับ

แต่น่าเสียดาย แม้ไม่อยากจะยอมรับแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้?

ตอนนี้นางมิใช่นักเรียนแพทย์ในยุคปัจจุบันอีกแล้ว แต่นางเป็นชายาอวี้ในอดีตแห่งนี้

“เป็นอะไรไป? ช่วงนี้เจ้าดูขี้เกียจขึ้นนะ”

ชิงหูหรี่ตาพลางจ้องมองหลินเมิ้งหยา

ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปหรือไม่ เขารู้สึกว่าช่วงนี้เจ้าเด็กน้อยห่อเหี่ยวกว่าเดิมมาก

เหมือนนอนหลับและไม่อยากตื่นอย่างไรอย่างนั้น จิตใจไม่แจ่มใสเหมือนก่อน

“อาจเพราะต้องเจอเรื่องราวมากมาย ผ่านช่วงนี้ไปคงรู้สึกดีขึ้น เจ้าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าฤดูใบไม้ผลิก็ง่วงเหงา ฤดูใบไม้ร่วงก็เบื่อหน่ายหรือ?”

หลินเมิ้งหยาอ้าปากหาวเล็กน้อย บางทีอาจเพราะช่วงนี้นางนอนไม่ค่อยหลับกระมัง

สมองยังคงสะลึมสะลือมิแจ่มใส ดูเหมือนอาการนอนไม่หลับจะส่งผลต่อร่างกายของนางมากจริงๆ

“จริงสิ ข้าได้ยินหยุนจู๋เล่าว่าเจ้าตั้งชื่อกลุ่มว่ากลุ่มสามสหายอย่างนั้นหรือ?”

ใบหน้าของชิงหูพลันปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า นางรู้ได้ทันทีว่าชิงหูกำลังมีความคิดชั่วร้าย

“ข้าจะสามารถ…”

“พักผ่อน!”

หลินเมิ้งหยาถลึงตาโต ปฏิเสธความคิดของเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

ชิงหูรีบแสดงท่าทางขมขื่น

“ข้าก็แค่อยากช่วย”

“ข้าว่าเจ้าอยากจะเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเสียมากกว่า”

ไม่ต้องอ้าปากสักคำหลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาอยากเป็นหนึ่งในคุณชายทั้งสาม

แต่ถ้าให้เขาเข้าไปคัดกรองคนเหล่านั้น สุดท้ายเขาต้องต่อยตีคนพวกนั้นจนแขนขาขาดอย่างแน่นอน

นางไม่อยากให้คนในกลุ่มสามสหายของนางต้องกลายเป็นคนพิการ

“ข้าหวังดีจริงๆ นะ ครั้งเดียว…ครั้งเดียวนะ ได้หรือไม่?”

แม้ชิงหูจะไม่ใช่นักฆ่าที่เน้นใช้อาวุธ แต่เขาก็ใช้อาวุธได้อย่างเก่งกาจ อีกทั้งเขายังทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าไปก่อกวนคนที่มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเขาอย่างเย่

นานวันเข้า เมื่อเย่ได้เจอชิงหู เขาแทบจะหายไปไม่ปรากฏตัวออกมา

วิทยายุทธ์ของป๋ายซูและหลินจงอวี้เองก็สูงพอควร แต่เมื่อเทียบกับชิงหูแล้ว พวกเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้เขาจึงเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง

“เฮ้อ ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าไม่อนุญาต เช่นนั้นข้าเป็นตัวแทนคอยจัดการเรื่องอื่นก็แล้วกัน เจ้ายังจำสวนเล็กที่หูลู่หนานจับตัวเจ้าไปขังไว้ที่นั่นได้หรือไม่?”

ชิงหูยกแก้วชาขึ้นดื่มก่อนเอ่ยถาม

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ภาพความทรงจำ ณ ที่แห่งนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในสมองของนางมิเลือนราง

“ข้าซื้อที่นั่นเอาไว้แล้ว จากนี้ไปหากมีเรื่องเกี่ยวกับเจียงหูก็ไปจัดการที่นั่นเถิด”

สวนเล็กแถบชานเมือง? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด เหมาะสมอยู่เหมือนกัน

“ขอบใจ ลำบากเจ้าแล้ว! มาสิ ดื่มชาเยอะๆ”

หลินเมิ้งหยาหัวเราะคิกคักพลางมองชิงหู นางรู้ดีว่าคนที่ร่ำรวยที่สุดในตำหนักหลิวซินก็คือเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตรงหน้า

มองดูท่าทางที่เปลี่ยนไปของเด็กน้อย

ชิงหูชะงัก บ่นพึมพำ

“คนที่เจียงหูต่างเอ่ยว่าข้าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนสีหน้าไวเสียยิ่งกว่าข้าอีก”

“เจ้าพูดอะไรนะ?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ชิงหูรีบส่งยิ้มใสซื่อไร้เดียงสา

“ไม่มีอะไร ข้าไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย”

พูดจบเขาก็กระพริบตาใส่หลินเมิ้งหยาปริบ ๆ

เมื่อหลินเมิ้งหยาปรายตามองเขาแล้ว นางตัดสินใจที่จะเมินเฉยต่อจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนนี้

บนถนน เสียงของสาวใช้ทั้งสี่ดังเจื้อยแจ้วดึงดูดคนที่ผ่านไปมามากมาย

โชคดีที่ใบหน้าขึงขังและท่าทางน่าเกรงขามของหลินจงอวี้ทำให้พวกอันธพาลโรคจิตมิกล้าเข้าใกล้พวกนาง

สาวใช้ทั้งสี่ล้วนงดงามโดดเด่น แต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกันไป

ไม่นานพวกนางก็กลายเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง

“มีคนจับตามองพวกเราอยู่ พวกเจ้ารีบซื้อหน่อย ซื้อเสร็จแล้วจะได้กลับไปหาพี่สาว”

หลินจงอวี้กระซิบ สายตาชำเลืองมองทางโรงน้ำชาที่พี่สาวของเขาพักผ่อนอยู่

เขาอยากอยู่ข้างกายพี่สาว ทว่าสาวใช้ทั้งสามคือคนที่พี่สาวเอ็นดูมากที่สุด

หากเขาไม่มาคอยเฝ้า เกรงว่าพี่สาวจะต้องลงมาเองแน่

“เจ้าค่ะนายน้อยอวี้ พวกเราดูอีกนิดเดียวก็จะกลับแล้วเจ้าค่ะ”

แม้ป๋ายจีจะอารมณ์ดีแต่ก็มิได้ลืมหน้าที่

นางกระตุกป๋ายจื่อที่เดินเล่นสนุกสนานจนลืมตัว สาวใช้ที่เหลือจึงสงบลง

“นายน้อย อยู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่รอบๆ พวกเรา”

ประสาทสัมผัสของป๋ายซูไม่ด้อยไปกว่าหลินจงอวี้

ชำเลืองมองบริเวณรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง มิรู้ว่าคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นรอบกายพวกนางตั้งแต่เมื่อไหร่

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือคนกลุ่มนั้นพยายามเบียดให้พวกนางไปรวมกันอยู่ตรงกลาง

“คนที่มาย่อมไม่ประสงค์ดี พวกเราเดินไปทางโรงน้ำชากันเถิด”

หลินจงอวี้มองไปรอบๆ มือของป๋ายซูวางลงบนเอว

“นายน้อย ส่งสัญญาณดีหรือไม่เจ้าคะ?”

หลินจงอวี้มองไปรอบๆ ยังมีคนของพวกเขาคอยคุ้มกันอยู่เงียบๆ

ขอเพียงส่งสัญญาณ คนเหล่านั้นจะปรากฏตัวเข้าช่วยเหลือทันที

“ไม่ต้อง ต่อให้คนกลุ่มนี้ใจกล้าบ้าบิ่น แต่ก็ไม่มีทางลงมือบนถนนกลางวันแสกๆ เช่นนี้”

ใบหน้าเย็นชา หลินจงอวี้ส่งสัญญาณมือให้กับชิงหูด้านบนโรงน้ำชาสองครั้ง

ชิงหูเองก็มิอาจออกมาช่วยต่อหน้าได้

คนที่นี่มีมากมาย หากมีคนจำเขาได้ เกรงว่าวันเวลาอันแสนสงบสุขของเขาจะหมดลง

“พวกเราระวังตัวหน่อยก็พอ ไปเถอะ”

ป๋ายซูพยักหน้ารับ ทั้งสองเดินนำหน้าตามหลังกันคุ้มครองหญิงสาวทั้งสามตรงกลาง

ชายร่างกำยำสิบกว่าคนจ้องมองคนทั้งห้า

“โอ้ คุณชายที่ไหนกันนะที่พาสาวใช้สวยๆ พวกนี้มาเที่ยวเล่น หัวใจของเหยียคันยุบยิบไปหมด”

ชายสวมชุดสีน้ำตาลปรากฏขึ้นกลางกลุ่มคนเหล่านั้น

ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ แต่เพียงได้เห็นมุมปากก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนสับปลับ

หลินจงอวี้ไม่แม้แต่จะสนใจ ทว่าดวงตาของเขาเย็นชาลง

ป๋ายจี ป๋ายซ่าวและป๋ายจื่อไร้วิทยายุทธ์ ดังนั้นพวกนางจึงเข้ามาหลบด้านหลังหลินจงอวี้

นับตั้งแต่วันที่เข้าไปทำงานในจวน ไม่มีใครเคยปฏิบัติหยาบคายเช่นนี้กับพวกนาง

“ไสหัวไป”

ป๋ายซูตวาด จ้องหน้าชายคนนั้นเขม็ง

“อารมณ์รุนแรงมิต่างจากม้าพยศ เหยียถูกใจยิ่งนัก”

ไม่เหมือนกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ป๋ายซูมีรัศมีแห่งความเย็นชาแผ่ซ่าน

ฝ่ายชายแลบลิ้นเลียปาก จ้องมองป๋ายซูด้วยสายตาโลมเลีย

“อย่าได้คิดเอาชีวิตของเจ้ามาทิ้ง!”

ป๋ายซูจับกระบี่อ่อนที่เอวแน่น หากชายคนนั้นเข้ามาใกล้ นางพร้อมที่จะจัดการเขาทุกเมื่อ

ทว่าอันธพาลผู้นั้นกลับเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อผิดไป

ดวงตาหื่นกระหายจ้องมองเอวบางของนาง

“คิดจะถอดเสื้อผ้าตรงนี้เลยหรือ อย่าเพิ่งรีบร้อนสิคนสวย”

“ไปตายซะ”

ป๋ายซูตวาดดังลั่น นางดึงกระบี่อ่อนออกจากเอว

ใบหน้าเรียวเล็กเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา หมุนกระบี่ในมือแล้วจ่อคอของชายโรคจิตคนนั้น

“ฮึ ข้ามองเจ้าผิดไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหยียเป็นใคร?”

แม้จะตกเป็นรองแต่ชายหื่นกามคนนั้นกลับมิได้แสดงท่าทีตื่นตระหนก เขากลับส่งเสียงดังยิ่งขึ้น

“นังผู้หญิงบ้า ยังไม่รีบปล่อยคุณชายของข้าอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ พวกข้าคือคนของกลุ่มหลิวเย่ หากเจ้ากล้าทำให้พวกเราไม่พอใจ ครอบครัวของเจ้าอยู่ไม่เป็นสุขแน่”

กลุ่มหลิวเย่? สายตาของหลินจงอวี้แข็งทื่อ

ก่อนที่เขาจะถูกพี่สาวพากลับจวน เขาถูกกลุ่มหลิวเย่จับตัวไว้ใช้งาน

คนพวกนั้นปฏิบัติกับเขามิต่างจากหมาข้างถนน

เหยียดยิ้มเย็นยะเยือก

สวรรค์มีทางแต่เจ้าไม่เดิน พวกมันกลับเลือกที่จะเปิดประตูนรกกระนั้นหรือ

ในที่สุด เขาก็ได้แก้แค้นแล้ว

“ป๋ายซู ฆ่า!”

ส่งเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความสงสาร

เขาไม่สนใจหรอกว่ากลุ่มหลิวเย่จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน แต่เมื่อวันนี้มาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว คนพวกนี้จะต้องได้รู้จักกับคำว่าโชคร้าย

ไร้ซึ่งความลังเล กระบี่ในมือพุ่งออกไป

วินาทีต่อมา เลือดสีแดงสดพวยพุ่ง

ชายร่างกำยำเหล่านั้นตะลึงงัน

สวรรค์โปรด ที่เมืองหลวงแห่งนี้มีคนกล้ายุ่งกับพวกเขากลุ่มหลิวเย่ด้วยหรือ

เกรงว่ากระบี่ของหญิงสาวตรงหน้าจะกลายเป็นกระบี่วิญญาณไปเสียแล้ว

“เจ้า…พวกเจ้าซวยแล้ว พี่ใหญ่ของพวกเราไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไป”

“ไม่ปล่อยใครไปอย่างนั้นหรือ? กลุ่มหลิวเย่ของพวกเจ้าบังอาจยิ่งนัก ดูเหมือนการสั่งสอนคราวที่แล้วจะยังไม่มากพอใช่หรือไม่”

จู่ๆ เสียงอ่อนหวานก็พลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง ชายร่างกำยำร่างกายสั่นเทิ้ม ก่อนจะหันหลังกลับไป

พวกเขาเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามนางหนึ่งค่อยๆ สาวเท้าทีละก้าวเข้ามา

งดงามประหนึ่งภาพวาด ไม่มีใครเทียบเทียมได้

แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้พวกเขารู้สึกสั่นสะท้าน

จู่ๆ คำพูดของพี่ใหญ่ก็ดังขึ้นในสมอง

ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ห้ามเข้าไปยุ่งด้วย คนผู้นั้นคือชายาอวี้ หากพบเจอนางให้รีบหนีทันที

ได้ยินมาว่า ชายาอวี้งดงามดั่งเทพธิดา

ได้ยินมาว่า นางเคยจัดการชายร่างกำยำหลายสิบคนและเก็บเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปเลี้ยง

ได้ยินมาว่า นางสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา

ใบหน้างดงาม ข้างกายมีเด็กหนุ่ม หญิงสาวตรงหน้าตรงกับความคิดของเขาทุกอย่าง

หรือว่า…

“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน!”

เขารวบรวมความกล้า ส่งเสียงตะคอกเพราะคิดว่าสวรรค์คงมิลำเอียงต่อพวกเขา

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหัวเราะก่อนจะตอบ

“ข้าขอชีวิตของพวกเจ้าแล้วกัน แต่ข้าจะขอพูดอะไรสักหน่อย กลับไปบอกพี่ใหญ่ของพวกเจ้า หากคิดจะแก้แค้น ข้าชายาอวี้พร้อมเสมอ”

ที่แท้นางก็คือชายาอวี้!

ร่างกายของชายเหล่านั้นเริ่มสั่นเทิ้ม

ได้ยินมาว่าชายาอวี้โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก

แต่เพราะรูปร่างและการแต่งกายของนางทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวร่างบางตรงหน้าจะใจดำอำมหิต

“เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่จะตกใจกลัวอย่างนั้นหรือ? ข้าจะบอกเจ้า…อ๊าก…”

ชายที่อยู่ใกล้เขาที่สุดพูดได้เพียงครึ่งประโยค ก่อนจะพบว่าลิ้นของตนเองขาดร่วงลงพื้นไปเสียแล้ว

“ยังจะพูดอีกหรือไม่?”

ชายคนนั้นมีเลือดไหลทะลักท่วมกาย

เหตุเพราะนางเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายลม ยังไม่ทันที่จะรู้สึกเจ็บปวด ลิ้นของเขาก็ขาดไปแล้ว

เบิกตากว้างมองทางหลินเมิ้งหยา

ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก!