“อ๊าก…”
ชายที่ลิ้นถูกตัดแผดร้องเสียงดังลั่น
ดวงตาเหลือกโพลง ล้มลงต่อหน้าทุกคน
ชิงหูยืนอยู่ด้านหลังหลินเมิ้งหยา มีดสีขาวในมือชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด
“จงนำพวกเขาทั้งสองกลับไปยังกลุ่มหลิวเย่ของพวกเจ้า ฝากบอกหัวหน้าของพวกเจ้าด้วยว่าหากยังกล้าทำให้ข้าอารมณ์เสีย ข้าจะตามไปฆ่าถึงหน้าบ้าน”
เหล่าชายร่างกำยำที่ยืนล้อมกรอบอยู่ตอนนี้คือคนของกลุ่มหลิวเย่
ฉะนั้นชาวบ้านธรรมดาที่ได้เห็นฉากนองเลือดจึงมีไม่มาก
อันที่จริงกลุ่มหลิวเย่เป็นเพียงกลุ่มรวมอันธพาลกระหายกามแต่เพียงเท่านั้น พวกเขาเคยเจอเรื่องแบบนี้เสียที่ไหน
แบกสหายที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายขึ้นมา รวมไปถึงพี่ใหญ่ตู้ของพวกเขา
“กลับกันเถอะ”
นอกจากป๋ายซูและหลินจงอวี้ สาวใช้คนอื่นๆ ตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
“อย่ากลัวไปเลย นายหญิงไม่ทำร้ายพวกเราหรอก”
ป๋ายซูเก็บกระบี่ของตนเอง ก่อนจะเอ่ยปลอบหญิงสาวทั้งสาม
แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ป๋ายซูรู้ดีว่านางกับหญิงสาวเหล่านี้แตกต่างกัน
โชคชะตาของนางถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เกิด
เพื่อนายน้อย เพื่อนายหญิง ต่อให้ต้องเดินบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะต้องมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่กระพริบตา
“ข้ารู้ เจ้าเองก็จะคอยปกป้องพวกเราตลอดไป”
มือเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งถูกฝ่ามืออบอุ่นสองข้างประกบเข้าหากันแน่น
นางชะงัก ผินหน้าไปมองป๋ายจี
แม้สีหน้าของนางจะยังขาวซีด ทว่าดวงตาของนางกลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“พวกเจ้า…ไม่กลัวข้าหรือ?”
นับตั้งแต่วันที่ได้รู้จักกับป๋ายจี ป๋ายซูพยายามหลีกเลี่ยงการฆ่าคนต่อหน้าพวกนาง
เมื่อเทียบกับพวกนางแล้ว มือของนางเปื้อนไปด้วยเลือด มิต่างอะไรจากปีศาจ
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าเหล่านี้จะยังรู้สึกกับนางเหมือนเดิม
หากเอ่ยว่าไม่รู้สึกตื้นตันใจคงเป็นเรื่องโกหก
“เหตุใดต้องกลัวเจ้าด้วยเล่า? นับตั้งแต่วันที่เจ้าเข้ามาอยู่ในจวน พวกสาวใช้คนอื่นก็มิกล้าหาเรื่องพวกเราอีกต่อไป”
ป๋ายจื่อซึ่งอายุน้อยที่สุดคล้องแขนของป๋ายซู
แม้จะเป็นเพียงสาวใช้ แต่เมื่ออยู่ในจวน นอกจากหลินจงอวี้ ทุกคนล้วนรักใคร่เอ็นดูนาง
แม้แต่คุณหนูเองก็มักจะทำของอร่อยและแบ่งปันให้นางกิน
ป๋ายซ่าวกลับมาร่าเริงอีกครั้ง นางวางมือบนบ่าของป๋ายซู
“หากข้ามีวิทยายุทธ์เช่นเจ้า ข้าจะต่อยตีพวกที่เข้ามารังแกข้าให้กระจายกลับไปเลยทีเดียว ตอนนี้พวกเราเป็นเป็นดั่งพี่น้องกันแล้ว ต่อจากนี้ไปคงไม่มีใครกล้ามารังแกพวกเราอีก”
สาวใช้ทั้งสี่กลับมาสนิทสนมกันดังเดิม
หลินเมิ้งหยาหันหลังกลับไปมองพวกนาง มุมปากหยัดยิ้ม
เรื่องกลุ่มสามสหาย ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ต้องเข้าร่วม
หากไร้ซึ่งความกล้าแล้วจะเข้าร่วมกลุ่มนี้ได้อย่างไร?
“เจ้าเด็กน้อย คนที่จะอยู่ข้างกายเจ้าได้ หากไร้ซึ่งความกล้าก็ไร้ประโยชน์”
ชิงหูส่ายหน้า มองดูหลินเมิ้งหยา
“หากต้องอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ จะมัวขี้ขลาดอยู่ได้อย่างไร ไปเถิด กลับจวนกัน”
ราวกับว่ามิเคยเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น หลินเมิ้งหยาจ้างรถคันเล็กเพื่อนำของที่เพิ่งซื้อส่งไปให้พ่อแม่ของป๋ายจี
แต่พวกนางมิได้สังเกตเลยว่า ทางด้านหลังของหลินเมิ้งหยา มีสายตาคู่หนึ่งของคนแปลกหน้ากำลังจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชาจากบนชั้นสองของร้านอาหาร
“นางคือผู้คุ้มครองไอ้เด็กแสบนั่นหรือ? ดูเอาเรื่องใช้ได้ เมิ่งหยวน เจ้าจงไปตรวจสอบตัวตนของนางมาให้ละเอียด”
ด้านหลังของชายคนนั้น ชายผู้สวมใส่ชุดชาวต่างชาติตอบกลับด้วยความเคารพ
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
มือขาวราวหิมะบีบราวบันไดแน่น
“ไอ้เด็กแสบ ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า”
เมื่อกลับมาถึงจวน หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าพระสนมเต๋อเฟยกำลังจะกลับมาแล้ว
ส่วนหลงเทียนอวี้เข้าไปในวังแต่เช้า
“ทูลพระชายา ก่อนที่ท่านอ๋องจะไปได้ฝากข้อความเอาไว้ว่า หลังจากนี้พระองค์อย่าเพิ่งออกนอกจวนไปไหน จะเป็นการดีที่สุดหากจะอยู่แต่เพียงตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ให้นางออกไปข้างนอก? เพราะเหตุใดกัน?
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่เข้าใจ แต่หลงเทียนอวี้จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาพยักหน้ารับแล้วสั่งคนในตำหนักของนางมิให้ออกไปนอกจวน
“จริงซิ พระสนมเต๋อเฟยจะกลับมาตอนไหน? ข้าต้องไปถวายคำนับหรือไม่?”
พ่อบ้านเติ้งลังเลก่อนจะส่ายหน้า เอ่ยว่ามิรู้ว่าพระสนมเต๋อเฟยจะกลับมาเมื่อใด
หลินเมิ้งหยารู้สึกฉงน นับตั้งแต่ตอนที่นางกลับมาถึงจวน พวกคนรับใช้มิกล้าพูดด้วย แต่กลับพากันซุบซิบนินทา
“นายหญิง เหตุใดข้าจึงรู้สึกผิดปกติกันนะ?”
ป๋ายจื่อที่กลับมาจากโรงครัวหลังจากเข้าไปเตรียมอาหารเย็นขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เดินกลับมาถึงตำหนักหลิวซิน
“เกิดอะไรขึ้น? ใครทำให้เจ้าอารมณ์เสียกัน?”
ป๋ายจีกำลังเย็บผ้าลายดอกโบตั๋น มองดูสาวน้อยตรงหน้า
“ไม่มีหรอก แต่…พวกเขาถามข้าเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของนายหญิง”
คำพูดของของป๋ายจื่อทำให้หลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะเงยหน้าขึ้น
“เอ๋? พวกเขาพูดถึงข้าทำไมกัน?”
ป๋ายจื่อหยิบลูกแพร์ขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วพลิกซ้ายพลิกขวา
“พวกนางถามทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ แต่ที่ถามมากที่สุดคือฮูหยินตายได้อย่างไร แล้วยังถามเรื่องเมื่อครั้นนายหญิงยังเป็นเด็กอีกเจ้าค่ะ”
ครั้นนางยังเด็ก? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้จักนาง อีกทั้งคนส่วนใหญ่ยังรู้เรื่องเกี่ยวกับนาง
เหตุใดพวกเขาจึงมาขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของนางกัน?
“เช่นนั้นเจ้าตอบว่าอย่างไร?”
หลินเมิ้งหยาวางหนังสือในมือลงก่อนจะเอ่ยถาม
“ข้ามิได้ตอบอันใดเลยเจ้าค่ะ พี่ป๋ายจีเคยสั่งเอาไว้ว่าห้ามพูดจาเลื่อนเปื้อนเกี่ยวกับเรื่องของนายหญิง”
หลินเมิ้งหยาส่งสายตาชื่นชมไปทางป๋ายจี ดูเหมือนนางจะคิดถูกแล้วที่ปล่อยให้สาวใช้คนนี้ดูแลเรื่องในตำหนัก
“ไม่เป็นไร วางใจเถิด อาจเป็นเพียงการซุบซิบนินทาแต่เพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของข้าก็หาใช่ความลับอะไร”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด มิได้มีสิ่งไหนไม่ถูกต้อง
คนในจวนแห่งนี้มีมากมาย เมื่อผู้หญิงอยู่รวมกลุ่มกัน พวกนางมักจะพูดนู่นพูดนี่ไปเรื่อย
นางครุ่นคิด บางทีอาจเพราะช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจึงกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของผู้อื่น
“ถึงอย่างไรพวกนางก็มิกล้าติฉินนินทานายหญิงหรอกเจ้าค่ะ หากข้าได้ยินขึ้นมา ข้าจะแหกปากพวกนางให้หุบไม่ได้เลยทีเดียว”
ใช่แล้ว หลินเมิ้งหยาหัวเราะ มองดูป๋ายจีที่ส่งสายตากำราบไปทางป๋ายซ่าว
ตำหนักของนางยังมีสาวร้อนแรงคนนี้อยู่นี่นา
ใครจะกล้าหาเรื่องนางกัน?
รถม้าของพระสนมเต๋อเฟยเคลื่อนมาถึงในเวลาพลบค่ำ
นางที่เป็นลูกสะใภ้จึงพาสาวใช้ของตนเองและผอจื่อไปรอต้อนรับหน้าประตู
พระสนมเต๋อเฟยผู้สง่างามลงจากรถม้า
หลงเทียนอวี้จับมือของนางทว่าคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“ยินดีต้อนรับหมู่เฟยกลับจวนเพคะ”
หลินเมิ้งหยาถวายคำนับตามขนบธรรมเนียมประเพณี ขณะที่คิดจะเข้าไปพยุงแขนอีกข้างของนาง นางกลับเอี้ยวตัวหลบ
หลินเมิ้งหยาชะงักอยู่กับที่ ทำอะไรไม่ถูก
“อืม เปิ่นกงเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถิด ต่อจากนี้ไปหากมิมีเรื่องอันใดอย่าได้มาที่ตำหนักของเปิ่นกง”
ส่งเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความสนิทชิดเชื้อเหมือนก่อน
หลินเมิ้งหยาผงะ นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“พระชายากลับไปก่อนเถิดเพคะ จิ่นเยว่จากไปแล้ว เหนียงเหนียงอารมณ์ไม่ดีนัก”
น้าจิ้งเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงอ่อนโยน
หันไปมองน้าจิ้งเยว่ที่ไม่ค่อยพูดค่อยจากับตนเองเท่าไรนัก หลินเมิ้งหยาพยักหน้ารับ
นาง…จำไม่ได้ว่าตนเองทำอะไรผิด
“เพราะเหตุนี้เหนียงเหนียงจึงอารมณ์ไม่ดีสินะ น้าจิ่นเยว่จากไปแล้ว”
หลังจากกลับมายังตำหนักหลิวซิน พ่อบ้านเติ้งมาถวายคำนับนางเป็นกรณีพิเศษ
หลินเมิ้งหยาเพิ่งรู้ว่าน้าจิ่นเยว่ผู้อ่อนโยนป่วยตายในวังหลวง
ทว่านางไม่เชื่อ
ทั้งที่ก่อนที่จะแยกจากกับน้าจิ่นเยว่ น้าจิ่นเยว่ไม่มีวี่แววของอาการเจ็บป่วย
เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวังหลวง?
“ป๋ายจี เจ้าไปบอกท่านอ๋องหน่อยว่า หากพระองค์เสด็จกลับตำหนักแล้ว ข้ามีเรื่องจะปรึกษาพระองค์”
“เจ้าค่ะ”
ป๋ายจีรีบไปส่งข่าวที่ตำหนักฉินหวู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าสีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยผิดปกติไป
ไม่นาน ป๋ายจีรีบวิ่งกลับมายังตำหนักหลิวซิน
คิ้วของสาวใช้ขมวดเข้าหากันแน่นราวกับว่ามีเรื่องร้อนใจ
“เป็นอะไรไป? ใครทำอะไรเจ้า?”
ป๋ายจีส่ายหน้า ชำเลืองมองหลินเมิ้งหยา
“หม่อมฉันมิได้เข้าไปเรียนเชิญท่านอ๋องเพคะ เพียงไปถึงหน้าประตูตำหนักฉินหวู่ก็ถูกทหารองครักษ์ห้ามเอาไว้ พวกเขาเอ่ยว่าพระสนมเต๋อเฟยมีรับสั่งห้ามมิให้คนของตำหนักหลิวซินเข้าไปยังตำหนักฉินหวู่”
หลังจากได้ยินคำพูดของป๋ายจี คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น
เกิดอะไรขึ้น ตกลงนางทำอะไรให้พระสนมเต๋อเฟยเกลียดกันแน่?
“บางทีอาจเพราะท่านอ๋องกำลังเหนื่อย ช่างเถิด เอาไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
หลินเมิ้งหยารู้สึกสงสัยเล็กน้อย เมื่อก่อนพระสนมเต๋อเฟยมักจะให้น้าจิ่นเยว่โน้มน้าวท่านอ๋องมายังตำหนักของนาง
ทว่าวันนี้นางกลับออกคำสั่งมิให้ตนเองเข้าไปยังตำหนักของหลงเทียนอวี้
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทำให้นางทำตัวไม่ถูก
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นางส่งเสียงเรียกเบาๆ ในห้องของตนเอง
“เย่ อยู่หรือไม่?”
ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงสายลมอ่อนๆ พัดผ่านแต่เพียงเท่านั้น
เมื่อเงยหน้าขึ้น ร่างของเย่ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของนาง
“หากเจ้าสะดวก บอกข้าทีเถิดว่าวันนี้พระสนมเต๋อเฟยกับท่านอ๋องทำอะไรกันบ้าง? ได้พบกับใครหรือไม่?”
เย่ครุ่นคิด ท่านอ๋องเคยรับสั่งว่าจากนี้ไปจะต้องเชื่อฟังคำพูดของพระชายา ดังนั้นเขาจึงตอบเสียงเรียบ
“ท่านอ๋องเพียงแค่เข้าไปรับพระสนมเต๋อเฟยในวัง ส่วนเกิดอะไรขึ้นนั้นกระหม่อมเองก็ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ ทว่ ระหว่างทาง กระหม่อมได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างพระสนมเต๋อเฟยและท่านอ๋อง ตอนนั้นท่านอ๋องรับสั่งมิให้กระหม่อมเข้าใกล้ ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่ได้ยิน”
แปลก แม้หลงเทียนอวี้จะเย็นชา แต่เขาเป็นคนกตัญญู
ตกลงเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้หลงเทียนอวี้ทะเลาะกับพระสนมเต๋อเฟย?
หรือจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของพระสนมเต๋อเฟยในคราวนี้?