เล่มที่ 7 บทที่ 189 พระปีศาจ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เพียรเดาอยู่นานแต่หลินเมิ้งหยาก็ยังไม่ได้คำตอบ

“รบกวนเจ้าแล้ว ขอบใจมาก”

เย่พยักหน้าแล้วเร้นกายหายไปต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

แม้จะครุ่นคิดตลอดคืน ทว่าหลินเมิ้งหยายังคิดไม่ออก เหตุใดพระสนมเต๋อเฟยจึงปฏิบัติกับนางเช่นนี้

เช้าวันถัดมา ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะลุกขึ้นจากเตียง นางพลันได้ยินเสียงโวยวายจากสวนด้านนอก

ราวกับว่าป๋ายซ่าวกำลังสั่งสอนใครบางคน สาวใช้คนนี้มักจะใจร้อนเสมอ

“นายหญิง นายหญิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ? นอนต่ออีกสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ ยังเช้าอยู่เลย”

ป๋ายจีที่สังเกตเห็นว่านางตื่นแล้วรีบแหวกผ้าม่านเดินเข้ามา

แต่ใบหน้าของนางกลับประดับด้วยรอยยิ้มผิดธรรมชาติ

“เกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก?”

ป๋ายจีผงะ สุดท้ายส่ายหน้า ทว่าเมื่อถูกสายตาของหลินเมิ้งหยาจับจ้อง นางทำได้เพียงก้มหน้าลง ก่อนจะส่งเสียงขมขื่น

“ผอจื่อนอกตำหนัก มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด พวกนางพูดถึงนายหญิงโดยมิให้เกียรติ ป๋ายซูโกรธมากก็เลยทะเลาะกับนางเจ้าค่ะ”

ผอจื่อนอกตำหนัก? ปกติอำนาจของนางแผ่ไพศาลครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกตำหนัก ดังนั้นพวกข้ารับใช้ล้วนเกรงใจนาง

แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดผอจื่อที่ด้านนอกจึงทะเลาะกับป๋ายซ่าว

“พยุงข้าออกไปดู”

แม้ป๋ายซ่าวจะเป็นสาวใจร้อน แต่หาใช่คนที่ทำอะไรโดยไร้เหตุผล

“นายหญิง ปล่อยไปเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างสาวใช้ พวกนางไม่มีค่าพอให้นายหญิงสนใจหรอกเจ้าค่ะ”

ป๋ายจีรีบร้องห้ามหลินเมิ้งหยาโดยไม่ทันคิด

ดวงตาสั่นไหว หลินเมิ้งหยายิ่งอยากออกไปดูเหตุการณ์ทางด้านนอก

เมื่อเห็นว่าห้ามไม่ได้ ป๋ายจีจึงทำได้เพียงภาวนาให้การทะเลาะวิวาทด้านนอกสงบลงให้เร็วที่สุด

“ฮึ ข้าบอกแล้วว่าจวนอวี้มีกลิ่นอายของปีศาจคละคลุ้งไปทั่ว แม่นางป๋ายซ่าว เจ้ายังเด็กจึงไม่รู้เรื่องนี้ พระอาจารย์ท่านนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ข้าเองก็แค่หวังดีจึงเชิญท่านมาที่นี่ แต่เจ้ากลับขวางทางเอาไว้ ตรองดูเถิดว่าเจ้ากำลังดูหมิ่นน้ำใจกันอยู่หรือไม่?”

เพียงเดินผ่านประตูออกมา หูพลันได้ยินเสียงของผอจื่อที่ไม่รู้จัก

แม้ป๋ายซ่าวจะหันหน้าประชันกับนาง ทว่ามือทั้งสองข้างเหยียดออกขวางประตูเอาไว้ ไม่ยอมถอยหนี

“ปล่อยเจ้าเข้าไปทำเรื่องไร้สาระสิไม่ว่า คนในตำหนักหลิวซินของพวกเราล้วนปฏิบัติตนตามครรลองคลองธรรม ไม่มีภูตผีปีศาจอย่างที่เจ้าว่า อีกอย่าง หากเจ้าโล้นนี่ยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะฉีกปากของพวกเจ้าทิ้ง”

ไม่มีใครคาดคิดว่าคำด่าของป๋ายซ่าวจะแสบลึกถึงทรวงใน

เมื่อคำด่าถูกพ่นออกไป ทั้งผอจื่อและพระอาจารย์ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“แม่นาง ในเมื่อเจ้าพูดจาไม่มีเยื่อใยเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจ เข้ามา เอาตัวนางคนนี้ออกไป”

ผอจื่อคนนั้นทั้งอายทั้งโกรธ ดังนั้นจึงออกคำสั่ง

หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น นานมากแล้วที่ไม่มีใครในจวนกล้าเข้ามายุ่งกับนาง

“ใครกล้าเหยียบเข้ามาในตำหนักหลิวซิน จงตัดขาให้หมดแล้วโยนออกไป”

น้ำเสียงเย็นชาเจือไว้ด้วยความดุุดันดังขึ้น

ร่างบางปรากฏกายต่อหน้าทุกคน

ด้านนอกมีผอจื่อและสาวใช้เข้ามามุงดูเป็นจำนวนมาก

คนพวกนี้หาได้มาขับไล่ภูตผีวิญญาณแต่มาเพื่อรื้อค้นบ้านช่องเสียมากกว่า

ดวงตาของหัวหน้าผอจื่อแข็งทื่อ นางไม่เหมือนคนรับใช้ในจวน

ส่วนด้านข้างคือชายสวมชุดสีแดงหัวโล้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นพระ

ทว่าพระรูปนี้กลับมีใบหน้ากลมกลึง ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญตน

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้เห็นสาวใช้ทั้งสี่ในตำหนักของนาง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองทรวดทรงองค์เอวของพวกนางเขม็ง ท่าทางไม่ต่างจากพวกโรคจิต

“ไอหยา ทั้งหมดนี้ก็เพราะแม่นางป๋ายซ่าวมิรู้ความ สุดท้ายทำให้พระชายาต้องตื่นตระหนก หนู่ปี้ขอถวายคำนับพระชายา ขอให้พระชายามีอายุยืนยาวเพคะ”

ผอจื่อคนนั้นจ้องมองหลินเมิ้งหยา ก่อนจะแสดงกิริยาท่าทางว่านอนสอนง่าย

ตอนที่นางไม่อยู่ตรงนี้ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะถวายคำนับ อีกทั้งยังโยนความผิดให้กับป๋ายซ่าว

ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาไร้รอยยิ้ม

สายตาเย็นชาทำให้พวกนางเริ่มรู้สึกหวั่นใจ

“เจ้าเป็นหนู่ฉายของผู้ใด เหตุใดจึงมิรู้จักกฎระเบียบของจวนอวี้?”

หลินเมิ้งหยาเป็นนายหญิงแห่งจวนอวี้ เพียงนางปรากฏตัวออกมา คนเหล่านั้นจึงสงบลง

ทว่าผอจื่อคนนี้เป็นคนนอกจวน นางจึงมิรู้จักอุปนิสัยใจคอของหลินเมิ้งหยา

“หนู่ปี้มาจากนอนจวนเจ้าค่ะ แต่หนู่ปี้ได้รับคำสั่งจากพระสนมเต๋อเฟยว่าให้เชิญท่านอาจารย์มาขับไล่ปีศาจที่จวนเจ้าค่ะ”

คิ้วของหลินเมิ้งหยาเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย มองดูพระหัวโล้น

พระสนมเต๋อเฟยเป็นคนธรรมะธัมโม นางหาใช่คนที่จะเชื่อคำหลอกลวงของใครง่ายๆ

อันที่จริงพระสนมเต๋อเฟยทำเพื่อต้องการจะปกปิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของตนเองแต่เพียงเท่านั้น

ฉะนั้นจึงหาผู้อื่นมาเป็นตัวแทน ซ้ำยังเป็นผอจื่อที่ไม่รู้จัก

ขณะนี้หัวใจของหลินเมิ้งหยาเปี่ยมไปด้วยคำถาม

“กฎของจวนอวี้มีอยู่ว่า หากมิได้รับคำยินยอมจากเจ้านาย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้ อย่าว่าแต่เจ้าเลย ขนาดพ่อบ้านเติ้งยังมิมีอำนาจเข้ามา”

ป๋ายจีเข้ามายืนด้านหน้าหลินเมิ้งหยา ก่อนจะส่งเสียงอ่อนโยน

ตอนนี้นางเป็นผู้ดูแลเรื่องทั้งภายในและภายนอกตำหนัก นางจึงกลายเป็นผู้ดูแลจวนไปโดยปริยาย

ฉะนั้นคนภายในจวนจึงมิกล้าคิดลองดีกับนาง

ตอนนี้ป๋ายจีมีหน้าที่จ่ายเงินเดือนให้ข้ารับใช้ในจวน

คนเหล่านี้ล้วนประทังชีวิตด้วยเงินเดือน หากทำให้ป๋ายจีขุ่นเคืองก็มิต่างอะไรกับการตัดอนาคตเรื่องเงินของตนเอง

“แต่หนู่ปี้ได้รับคำสั่งจากพระสนมเต๋อเฟย เช่นนั้นระหว่างพระสนมเต๋อเฟยกับพระชายาใครใหญ่กว่ากันเล่า?”

ผอจื่อคนนั้นแสดงท่าทางหยิ่งผยอง

หลินเมิ้งหยาจ้องมองนาง ริมฝีปากเหยียดยิ้มขึ้น

นี่นับเป็นเรื่องใหม่ที่มีคนกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับตำหนักของนาง

“ได้ ในเมื่อเจ้าได้รับคำสั่งจากพระสนมเต๋อเฟย ข้าเองก็จะไม่ห้ามเจ้า ทว่า กฎระเบียบในตำหนักของข้ามีมากมาย หากเจ้าเหยียบย่างเข้ามาแล้ว เช่นนั้นเจ้าต้องปฏิบัติตามกฎของข้า มิเช่นนั้น ต่อให้เป็นพระสนมเต๋อเฟยก็มิอาจปกป้องเจ้าได้”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเรียบทว่าเจือด้วยความเย็นชา

เมื่อนายหญิงเอ่ยเช่นนั้น เหล่าสาวใช้จึงเลิกยืนขวางประตู

ผอจื่อคนนั้นกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างลำพองใจ มีแต่คนเอ่ยว่าชายาอวี้เป็นคนที่รับมือด้วยยาก แต่เพราะวันนี้นางได้รับคำสั่งจากพระสนมเต๋อเฟย พระชายาจึงแสดงกิริยาว่านอนสอนง่าย

“พระชายาโปรดวางพระทัย หนู่ปี้รู้กฎระเบียบเป็นอย่างดี ไม่มีทางทำผิดกฎระเบียบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

“ดี เช่นนั้นก็เชิญ”

หลินเมิ้งหยาหมุนตัวเดินเข้าไปในตำหนัก

นี่…คือพระชายาของพวกนางจริงหรือ?

นั่งอยู่ในห้อง ป๋ายจีช่วยหลินเมิ้งหยาหวีผม

 เมื่อครู่นางรีบร้อนออกไป ดังนั้นเส้นผมจึงปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง

หลินเมิ้งหยามองผ่านกระจก นางเห็นพระหัวโล้นเริ่มชี้โน่นชี้นี่

หยิบหวีที่อยู่ข้างกายมาหวีผมของตนเอง

“นายหญิง ชิงหูเอ่ยว่าเตรียมการพร้อมแล้วเจ้าค่ะ ที่เหลือรอเพียงแค่พวกเขาโยนหินลงเท้าตัวเองแต่เพียงเท่านั้น”

ป๋ายจีส่งเสียงเรียบ ราวกับว่าได้เตรียมการทำให้คนเหล่านั้นพบกับเรื่องเลวร้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“อืม ทำตามที่เขาบอกเถิด ขอเพียงอย่าถึงกับเอาชีวิตผู้อื่นก็พอ เข้ามา ปิดประตูตำหนักของข้า หากข้ามิสั่ง ห้ามมิให้ผู้ใดออกไปจากที่นี่”

“เจ้าค่ะ”

เพิ่งจะเข้ามาในตำหนักได้ไม่นาน สาวใช้ทั้งสี่รีบกลับเข้ามาในตำหนักด้วยความขุ่นเคือง

ผอจื่อยังคงลำพองใจเดินนำพระอาจารย์รูปนั้นสำรวจตำหนัก

ห้องในเรือนเล็กข้างตำหนักล้วนเป็นที่อยู่ของผอจื่อในตำหนักหลิวซิน เหตุเพราะเจ้านายใจกว้าง ภายในห้องจึงประดับตกแต่งอย่างสวยงาม

โดยเฉพาะห้องของสาวใช้ทั้งสี่ ห้องของพวกนางงดงามมิต่างอะไรจากห้องของคุณหนูชนชั้นสูง

ประกายไฟแห่งความริษยาปรากฏขึ้นในดวงตาของผ๋อจื่อ

“ไม่เลวเลยนี่นา ดูเหมือนตำหนักหลิวซินจะงดงามเสียยิ่งกว่าตำหนักใดในจวนอวี้”

มือยื่นเข้าไปสัมผัสกับขวดสีเขียวในห้องของป๋ายจื่อ

สมองพลันครุ่นคิดว่าจะเปิดขวดใบนี้เช่นไร

“เช่นนั้นพระอาจารย์เริ่มทำพิธีจากห้องนี้เถิดเจ้าค่ะ”

ผอจื่อและพระรูปนั้นสบตากันเพื่อทำความเข้าใจกับอีกฝ่าย

มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ก่อนที่พระรูปนั้นจะเริ่มสวดมนต์ทำพิธี

“ตำหนักหลิวซินมีไอแห่งความชั่วร้ายปกคลุมอยู่ เข้ามา ยกของในห้องนี้ออกไปตากแดดเพื่อรับพลังจากแสดงอาทิตย์”

ผอจื่อที่ร่างกายแข็งแรงดีหลายคนมิพูดพร่ำทำเพลง พวกนางเข้าไปยกของในห้องออกมา

แม้แต่หมอนหรือผ้าห่มเองก็ไม่เว้น

ไม่นาน ภายในสวนก็เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้

ผอจื่อและพระรูปนั้นยกยิ้มไม่หุบ

หากของเหล่านี้ถูกพวกเขาเอาไป เกรงว่าปีนี้คงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอีกแล้ว

“อมิตตพุทธ ดูเหมือนของเหล่านี้จะถูกความชั่วร้ายครอบงำจนมิอาจชะล้างได้แล้ว”

พระอาจารย์ยังคงแสดงละคร ผอจื่อเข้าใจความหมายของเขาทันที นางจึงแผดเสียงร้องออกมาดังลั่น

“เช่นนั้นต้องจัดการของพวกนี้อย่างไรหรือเจ้าคะ?”

พระอาจารย์สวดมนต์อีกครั้ง

“เช่นนั้นเอาไปไว้ที่วัดเถิด พระพุทธเจ้าจะได้คุ้มครองและปัดเป่าความชั่วร้าย”

หากย้ายไปไว้ที่วัดจริง เกรงว่าจะกลายเป็นผุยผงเสียมากกว่า

ทว่าเจ้านายในห้องยังคงนิ่งเงียบ ความอาจหาญของผอจื่อจึงมีมากขึ้น

“เข้ามา ขนของพวกนี้ไปให้หมด”

ผอจื่อที่รู้สึกราวกับว่าได้คว้าชัยชนะเข้าไปจับขวดสีเขียวด้วยตนเอง เริ่มคิดคำนวณในใจ ของข้างในจะต้องมีค่าเหลือประมาณจนนางมีกินมีใช้ตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

ทว่าขณะที่นางกำลังคิดและใช้มือตบลงไปเบาๆ ดัง “เพียะ เพียะ” นั้น จู่ๆ ขวดในอ้อมกอดใบนั้นก็ระเบิดออก

“เพล้ง” เสียงขวดดังลั่นก่อนที่ขวดใบนั้นจะแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ

ผอจื่อหลบหลีกได้ทันท่วงที ดังนั้นจึงมิถูกเศษขวดบาดใบหน้า

“ไอหยา ขวดของข้าใบนี้มีราคามากถึงห้าตำลึงเชียวนะ”

ภายใน อยู่ๆ เสียงร้องของป๋ายจื่อพลันดังออกมา

แต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไร ก็รู้สึกราวกับว่านางกำลังดีใจมากกว่าเสียใจ

“ไม่มีทางเลือก พวกเขาทำหน้าที่นี้แทนพระสนมเต๋อเฟย หากทำของของพวกเราแตก เช่นนั้นก็ต้องชดใช้มิใช่หรือ?”

เสียงของป๋ายซ่าวดังสำทับ ไม่ว่าใครต่างก็ฟังออกว่านางกำลังหัวเราะเยาะ

ผอจื่อชะงัก มองยังมือของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดขวดที่สมบูรณ์ดีอยู่เมื่อครู่จึงระเบิดได้?