เล่มที่ 7 บทที่ 190 อำนาจในการดูแลจวน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ผอจื่อมองดูเศษขวดที่แหลกละเอียดบนพื้นก่อนจะจ้องไปยังห้องนั้นเขม็ง

บางที อาจจะแค่บังเอิญ

“เจ้ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่? เหตุใดจึงยังไม่รีบย้ายของ?”

พระอาจารย์ไม่ทันเห็นเหตุการณ์ผิดปกติเมื่อครู่ เขาคิดว่าผอจื่อกำลังหลงระเริงจึงทำขวดใบนั้นแตกโดยไม่ทันระวัง

“ไอหยา ดูเจ้าสิ ทำของดีขนาดนี้พังเสียได้ ระวังหน่อย อย่าทำอะไรพังอีก”

พระอาจารย์มองดูเศษขวดบนพื้นด้วยความเสียดาย ก่อนจะหันไปหยิบกระถางต้นบอนไซขึ้นมา

คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เดินมาถึงตำแหน่งที่ผอจื่อยืนอยู่ กระถางของต้นบอนไซจะแตกออกเป็นสี่ห้าส่วน

“นายหญิง กระถางใบนั้นท่านเอามาจากบ้านเดิมของท่าน ราคาน่าจะหลายตำลึงมิใช่หรือเจ้าคะ?”

ภายในห้อง เสียงของป๋ายซ่าวเปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์

“หลายตำลึง? อย่าล้อเล่นน่า คุณชายใหญ่เป็นผู้ซื้อของชิ้นนั้นให้นายหญิงตั้งแต่ตอนที่นายหญิงอายุได้เพียงสามขวบ หากคุณชายใหญ่รู้เข้า มิรู้ว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”

เสียงอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูกของป๋ายจื่อดังขึ้นสำทับ

สิ่งของของนายหญิงที่ถูกวางในห้องของสาวใช้ล้วนมีเรื่องราว

สีหน้าของพระอาจารย์ซีดเผือดทันทีที่ได้รู้ว่ากระถางบอนไซเป็นของติดตัวมาจากบ้านเดิมของพระชายาอวี้

ทุกคนล้วนรู้ดีว่าตระกูลของชายาอวี้เป็นตระกูลนักรบ

ทั้งพ่อและพี่ชายล้วนมีความกล้าหาญชาญชัย

หากเขาถูกสกุลหลินหมายหัวแล้วล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่เทพเจ้าก็คงมิอาจช่วยได้

หน้าผากของพระอาจารย์จึงมีเม็ดเหงื่อผุดพราย

เมื่อเห็นว่าผอจื่อและพระอาจารย์กำลังตกที่นั่งลำบาก เหล่าสาวใช้ที่มาช่วยจึงหันไปสบตากัน

พวกนางล้วนเป็นคนนอก เหตุเพราะปกติไม่มีรายได้ ดังนั้นจึงตอบรับมาช่วยหัวหน้าผอจื่อ

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงย่างกรายเข้ามาที่ตำหนักแห่งนี้ พวกตนจะทำให้พระชายาต้องขุ่นเคืองพระทัย

“ไม่เป็นไร ใครทำพังก็ให้คนนั้นแลกเปลี่ยนด้วยชีวิต”

น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาเจือไว้ซึ่งความเย็นชา

แผ่นหลังของผอจื่อและพระอาจารย์ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ทั้งสองสบตากัน ดวงตาทั้งสองคู่เผยให้เห็นความรู้สึกคิดผิด

หากรู้เช่นนี้ พวกเขาคงไม่แตะต้องสิ่งของเหล่านี้

ตอนนี้จะย้ายก็ไม่ได้ จะไม่ย้ายก็ไม่ได้

เหตุเพราะได้พูดออกไปแล้ว จะมานึกเสียใจเอาตอนนี้เกรงว่ารังแต่จะทำให้พระชายาเกลียดชังพวกเขามากยิ่งขึ้น

“พระ…พระอาจารย์ เช่นนั้นพวกเราทำพิธีกันที่นี่เลยเถิด”

ผอจื่อยอมถอยหนึ่งก้าว ทว่าพระรูปนั้นกลับคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

“บางที…พวกเราอาจจะจับแน่นไป ลองดูใหม่เถิด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าของพวกนี้จะพังง่ายๆ ไปเสียทั้งหมด”

พระอาจารย์หมุนตัว เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเลือกเก้าอี้สีแดงตัวหนึ่ง

ของชิ้นนี้รูปร่างแข็งแรง กอดเอาไว้คงไม่เป็นไร

เขาค่อยๆ ยกเก้าอี้ขึ้นมาแล้วเดินไปทางประตู

“เปรี๊ยะ” เสียงไม้แตกดังลั่น จู่ๆ เก้าอี้ก็แตกออกจากกัน

“สวรรค์โปรด”

พระอาจารย์อุทานลั่นด้วยความตกใจ สีหน้าซีดเทา

“เฮ้อ พระชายาอวี้ชอบเก้าอี้ตัวนี้มากเสียด้วยสิ นี่พวกเจ้ากำลังขับไล่ปีศาจหรือกำลังทำลายข้าวของกันแน่?”

เสียงเอื่อยเฉื่อยของป๋ายจื่อดังออกมาจากภายใน

ผอจื่อและพระอาจารย์ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

ดูเหมือนตำหนักแห่งนี้จะแปลกประหลาดจริงๆ

“ทูลพระชายา เมื่อครู่หนู่ปี้มือลื่น พระชายาได้โปรดอภัยด้วยเพคะ”

แม้ผอจื่อจะโง่ แต่นางก็ยังรู้ว่าวันนี้พวกตนไม่อาจหยิบฉวยเอาสิ่งของใดๆ ออกจากตำหนักหลิวซินได้อย่างแน่นอน

นางจึงหันไปยอมรับผิดทางห้องที่พระชายาประทับอยู่แทน

“ตอนนี้รู้ตัวว่าผิดแล้วหรือ? แต่ของของพวกข้าพังไปแล้วนี่ แม้แต่ผ้าห่มของพวกข้าก็ถูกนำออกมาวาง ข้าวของล้วนสกปรกหมดแล้ว ดูท่าพวกเราคงไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป”

ป๋ายซ่าวส่งเสียงเย้ยหยัน หน้าผากของผอจื่อจึงมีเหงื่อซึมออกมา

ตอนแรกพระสนมเต๋อเฟยรับสั่งว่าให้เชิญพระอาจารย์มาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายแต่เพียงเท่านั้น

เหตุเพราะเคยเกิดการเสียชีวิตขึ้นที่ตำหนักหลิวซิน ดังนั้นจึงเป็นแหล่งอาศัยของพวกวิญญาณร้าย

แต่เพราะนางคือผอจื่อที่มาจากนอกจวน เพราะความคึกคะนองจึงคิดดูถูกพระชายา

พวกนางยิงธนูพลาดเป้าเสียแล้ว หลินเมิ้งหยาหาใช่คนที่จะยอมถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ

ตอนแรกคิดว่าพวกผอจื่อในจวนจะถูกหลินเมิ้งหยาซื้อใจจนมิอาจใช้งานได้แต่เพียงเท่านั้น

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาจะร้ายกาจเช่นนี้

“พระชายาเพคะ หนู่ปี้ผิดไปแล้ว ได้โปรดเห็นแก่ความหวังดีที่หนู่ปี้ได้มีให้กับจวนอวี้แล้วปล่อยหนู่ปี้ไปเถิดเจ้าค่ะ”

นานกว่าเสียงถอนหายใจจะดังขึ้นจากภายใน

ประตูห้องหลักพลันถูกเปิดออก

สาวใช้ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน สีหน้าของแต่ละคนเสมือนคนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

ผอจื่อคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น มิกล้าเงยหน้าขึ้น

“ตำหนักหลิวซินของข้ามีกฎมีเกณฑ์ ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าสิ่งใดที่เป็นของข้า หากคนนอกแตะต้อง ข้าไม่ต้องการมันอีก เจ้าลองไปตรวจสอบดูเถิด ตกลงว่าเจ้าทำสิ่งของชิ้นไหนของข้าเสียหายบ้าง ขอเพียงชดใช้มาก็เพียงพอ เท่านี้ข้าก็ไม่คิดเอาเรื่องเจ้าแล้ว”

หลินเมิ้งหยาส่งเสียงเรียบเรื่อยมิได้แสดงท่าทีถือตนข่มท่านแต่อย่างใด

สีหน้าของผอจื่อขาวซีด เคยได้ยินมาว่าสิ่งของในตำหนักหลิวซินล้วนเป็นของดีมีราคาทั้งสิ้น

นางเป็นเพียงผอจื่อระดับสามเท่านั้น นางจะชดใช้หมดได้อย่างไร

สายตาเหลือบมองทางอจื่อระดับสองที่ชายคาตำหนัก ทว่าได้เห็นพวกนางยืนยิ้มสะใจ ไร้ซึ่งความสงสาร

ตั้งสติให้มั่น ถึงอย่างไรคนที่คุ้มกะลาหัวนางอยู่ก็คือพระสนมเต๋อเฟย

คิดได้ดังนั้นนางจึงเอ่ย

“พระชายาอย่าทำให้หนู่ปี้ต้องลำบากเลยเจ้าค่ะ หนู่ปี้ได้รับคำสั่งมาจากพระสนมเต๋อเฟย พระสนมเต๋อเฟยต้องเป็นผู้รับผิดชอบถึงจะถูก”

หลินเมิ้งหยาซึ่งอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังสาวใช้เหยียดยิ้มเย็นชา

“ช่างเป็นสาวใช้ที่สมควรตายยิ่งนัก หมู่เฟยของข้าเป็นถึงพระสนมชั้นสูง สิ่งที่พระองค์ให้ความสำคัญที่สุดคือกฎระเบียบ หรือหมู่เฟยของข้าสอนให้เจ้าทำตัวต่ำช้าเช่นนี้? ฮึ ได้สิ หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม เช่นนั้นข้าจะจับตัวเจ้าไปตำหนักหยาเสวียนเพื่อขอคำอธิบายจากหมู่เฟย”

ผอจื่อคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะกล้าจับกุมตัวนางไปเผชิญหน้ากับพระสนมเต๋อเฟย

นางเป็นถึงนายหญิงของจวน แล้วแบบนี้ใครจะช่วยนางได้?

หากแม่สามีและลูกสะใภ้ฉีกหน้ากันเอง คนที่ซวยคงเป็นนาง

ดังนั้น นางจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วโขกศีรษะลงพื้น

“พระชายาได้โปรดลงโทษด้วย หนู่ปี้ผิดเองเจ้าค่ะ หนู่ปี้สมควรตาย สมควรตาย”

พูดจบ นางจึงรีบตบปากของตนเอง

เสียงสะท้อนดังลั่น ไม่ว่าใครต่างก็ได้ยินเสียงของฝ่ามือกระทบกับเนื้อ

นางสมควรโดนแล้ว

หลินเมิ้งหยาไม่มีความคิดที่จะร้องห้าม ผอจื่อคนนั้นตบปากตัวเองหลายสิบครั้งและส่งเสียงร้องขอความเมตตาไม่หยุด

ช่วยไม่ได้ นางคงต้องทำโทษให้หนักขึ้น

เหตุเพราะตบหน้าตนเองไปหลายครั้ง ดังนั้นใบหน้าของผอจื่อจึงบวมแดง มุมปากมีรอยเลือด

“พอแล้ว เจ้ากระทำเช่นนี้ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า มิกลัวว่าท่านจะตกใจกระนั้นหรือ?”

ป๋ายซ่าวปรายตาไปทางผอจื่อ ก่อนจะส่งเสียงเรียบ

เมื่อเห็นว่ามีคนร้องห้าม ผอจื่อจึงหยุดทำร้ายตนเอง

แต่ถึงกระนั้นก็ทำเพียงก้มหน้าลง มิกล้าแสดงความหยิ่งผยองอีก

“ตอนแรกข้าคิดว่าพระชายาจะเป็นคนใจอ่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะจัดการคนอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้”

น้ำเสียงหยิ่งยโสดังขึ้นที่หน้าประตู

หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้น มองดูร่างบางที่กำลังเดินฝ่ากลุ่มคนเข้ามา

ชุดสีเขียวอ่อนพอดีตัวทำให้รูปร่างของนางเด่นชัดขึ้น

ใบหน้างดงามดั่งดอกฝูหรง สายตาหยิ่งผยอง

หากลองมองให้ละเอียดจะพบว่าในดวงตาที่กำลังจ้องมองทางหลินเมิ้งหยาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง

“เจียงหรูฉิน เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

เหตุเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวย ดังนั้นเจียงหรูฉินจึงถูกส่งตัวกลับบ้าน ได้ยินมาว่านางกำลังจะถูกส่งไปยังแถบชนบท

ทั้งที่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่นางกลับกลับมาที่จวนอีกครั้ง

แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่โวยวาย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน

“ตกใจขนาดนั้นเชียวหรือที่ได้เจอข้า? ถูกต้อง ข้ากลับมาแล้ว คราวนี้ท่านป้าสั่งให้ข้ากลับมาเอง อีกทั้งท่านป้ายังรับสั่งด้วยว่าต่อจากนี้ไปข้าจะเป็นผู้ดูแลเรื่องภายในจวน ส่วนพี่สะใภ้ก็อยู่เงียบๆ ในจวนไปเถิด”

คำพูดของเจียงหรูฉินหยิ่งผยองเกินทน

ทุกคนล้วนถลึงตาโต

เกิดอะไรขึ้น? คุณหนูเจียงที่เพิ่งจะร้องห่มร้องไห้เพราะถูกส่งตัวกลับไป พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นคนของจวนแล้วหรือ

ยิ่งไปกว่านั้นนางยังกล้าเทียบชั้นกับพระชายา

คนทั้งจวนเริ่มตั้งข้อสงสัยต่างๆ นานา

ตอนแรกคิดว่าหลินเมิ้งหยาที่ถูกยั่วยุจะโมโหจนตัวสั่น แต่ใครจะรู้ว่านางกลับสงบนิ่ง

พลิกหน้าหนังสือไปอีกหน้า ก่อนจะเอ่ย

“ได้สิ ป๋ายซ่าว จงนำกุญแจและสมุดบัญชีมอบให้แก่คุณหนูเจียง ต่อจากนี้ไปคนของตำหนักหลิวซินจงใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ กับข้า”

ออกคำสั่งให้ป๋ายซ่าวมอบกุญแจและสมุดบัญชีให้แก่เจียงหรูฉิน

ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ถามสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย

แม้ป๋ายซ่าวจะสงสัย แต่ก็วางกุญแจและสมุดบัญชีลงในมือของเจียงหรูฉินแต่โดยดี

“คุณหนูเจียง ท่านต้องถือมันเอาไว้ให้ดี สมุดบัญชีหนักมากนะเจ้าคะ”

ป๋ายซ่าวยิ้ม

เจียงหรูฉินดีใจจนแทบเสียสติ คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้ครอบครองอำนาจในจวนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

ราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในความฝันก็มิปาน

พลิกหน้ากระดาษ มันคือสมุดบัญชีของจวนอวี้จริงๆ เจียงหรูฉินคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องกลัวท่านป้าและนางอย่างแน่นอน จึงยอมมอบให้แต่โดยดี

นางคล้องกุญแจไว้ที่เอว ก่อนจะส่งมอบสมุดบัญชีให้กับสาวใช้ทางด้านหลัง

“ของของใคร ไม่ช้าก็เร็วย่อมเป็นของของคนนั้น ไม่ว่าใครจะคิดมาแย่งก็ไม่สำเร็จ เข้ามา พวกเรากลับ”

เจียงหรูฉินดีใจยิ่งเพราะคิดว่าตนเองกำลังกำชัยชนะอยู่ในมือ ก่อนจะเดินออกจากตำหนักหลิวซินไป

ผอจื่อและพระอาจารย์ได้เห็นพระชายาถูกรวบอำนาจไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นนางจึงมีความกล้าขึ้นมา

ดูเหมือนพระชายาจะไร้น้ำยาแล้ว

“พระชายา เช่นนั้นหนู่ปี้จะพาคนไปย้ายของไปยังวัดนะเจ้าคะ”

ราวกับคนเหล่านั้นลืมเรื่องก่อนหน้า พวกเขารีบย้ายสิ่งของออกไปจากตำหนักหลิวซิน

“แยกย้ายกันไปทำงานของตนเองเถิด”

ป๋ายจีไล่ทุกคนออกไป กำชับให้ผอจื่อปิดประตูตำหนัก ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องหลัก