ผอจื่อมองดูเศษขวดที่แหลกละเอียดบนพื้นก่อนจะจ้องไปยังห้องนั้นเขม็ง
บางที อาจจะแค่บังเอิญ
“เจ้ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่? เหตุใดจึงยังไม่รีบย้ายของ?”
พระอาจารย์ไม่ทันเห็นเหตุการณ์ผิดปกติเมื่อครู่ เขาคิดว่าผอจื่อกำลังหลงระเริงจึงทำขวดใบนั้นแตกโดยไม่ทันระวัง
“ไอหยา ดูเจ้าสิ ทำของดีขนาดนี้พังเสียได้ ระวังหน่อย อย่าทำอะไรพังอีก”
พระอาจารย์มองดูเศษขวดบนพื้นด้วยความเสียดาย ก่อนจะหันไปหยิบกระถางต้นบอนไซขึ้นมา
คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เดินมาถึงตำแหน่งที่ผอจื่อยืนอยู่ กระถางของต้นบอนไซจะแตกออกเป็นสี่ห้าส่วน
“นายหญิง กระถางใบนั้นท่านเอามาจากบ้านเดิมของท่าน ราคาน่าจะหลายตำลึงมิใช่หรือเจ้าคะ?”
ภายในห้อง เสียงของป๋ายซ่าวเปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“หลายตำลึง? อย่าล้อเล่นน่า คุณชายใหญ่เป็นผู้ซื้อของชิ้นนั้นให้นายหญิงตั้งแต่ตอนที่นายหญิงอายุได้เพียงสามขวบ หากคุณชายใหญ่รู้เข้า มิรู้ว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”
เสียงอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูกของป๋ายจื่อดังขึ้นสำทับ
สิ่งของของนายหญิงที่ถูกวางในห้องของสาวใช้ล้วนมีเรื่องราว
สีหน้าของพระอาจารย์ซีดเผือดทันทีที่ได้รู้ว่ากระถางบอนไซเป็นของติดตัวมาจากบ้านเดิมของพระชายาอวี้
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าตระกูลของชายาอวี้เป็นตระกูลนักรบ
ทั้งพ่อและพี่ชายล้วนมีความกล้าหาญชาญชัย
หากเขาถูกสกุลหลินหมายหัวแล้วล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่เทพเจ้าก็คงมิอาจช่วยได้
หน้าผากของพระอาจารย์จึงมีเม็ดเหงื่อผุดพราย
เมื่อเห็นว่าผอจื่อและพระอาจารย์กำลังตกที่นั่งลำบาก เหล่าสาวใช้ที่มาช่วยจึงหันไปสบตากัน
พวกนางล้วนเป็นคนนอก เหตุเพราะปกติไม่มีรายได้ ดังนั้นจึงตอบรับมาช่วยหัวหน้าผอจื่อ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงย่างกรายเข้ามาที่ตำหนักแห่งนี้ พวกตนจะทำให้พระชายาต้องขุ่นเคืองพระทัย
“ไม่เป็นไร ใครทำพังก็ให้คนนั้นแลกเปลี่ยนด้วยชีวิต”
น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาเจือไว้ซึ่งความเย็นชา
แผ่นหลังของผอจื่อและพระอาจารย์ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทั้งสองสบตากัน ดวงตาทั้งสองคู่เผยให้เห็นความรู้สึกคิดผิด
หากรู้เช่นนี้ พวกเขาคงไม่แตะต้องสิ่งของเหล่านี้
ตอนนี้จะย้ายก็ไม่ได้ จะไม่ย้ายก็ไม่ได้
เหตุเพราะได้พูดออกไปแล้ว จะมานึกเสียใจเอาตอนนี้เกรงว่ารังแต่จะทำให้พระชายาเกลียดชังพวกเขามากยิ่งขึ้น
“พระ…พระอาจารย์ เช่นนั้นพวกเราทำพิธีกันที่นี่เลยเถิด”
ผอจื่อยอมถอยหนึ่งก้าว ทว่าพระรูปนั้นกลับคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
“บางที…พวกเราอาจจะจับแน่นไป ลองดูใหม่เถิด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าของพวกนี้จะพังง่ายๆ ไปเสียทั้งหมด”
พระอาจารย์หมุนตัว เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเลือกเก้าอี้สีแดงตัวหนึ่ง
ของชิ้นนี้รูปร่างแข็งแรง กอดเอาไว้คงไม่เป็นไร
เขาค่อยๆ ยกเก้าอี้ขึ้นมาแล้วเดินไปทางประตู
“เปรี๊ยะ” เสียงไม้แตกดังลั่น จู่ๆ เก้าอี้ก็แตกออกจากกัน
“สวรรค์โปรด”
พระอาจารย์อุทานลั่นด้วยความตกใจ สีหน้าซีดเทา
“เฮ้อ พระชายาอวี้ชอบเก้าอี้ตัวนี้มากเสียด้วยสิ นี่พวกเจ้ากำลังขับไล่ปีศาจหรือกำลังทำลายข้าวของกันแน่?”
เสียงเอื่อยเฉื่อยของป๋ายจื่อดังออกมาจากภายใน
ผอจื่อและพระอาจารย์ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
ดูเหมือนตำหนักแห่งนี้จะแปลกประหลาดจริงๆ
“ทูลพระชายา เมื่อครู่หนู่ปี้มือลื่น พระชายาได้โปรดอภัยด้วยเพคะ”
แม้ผอจื่อจะโง่ แต่นางก็ยังรู้ว่าวันนี้พวกตนไม่อาจหยิบฉวยเอาสิ่งของใดๆ ออกจากตำหนักหลิวซินได้อย่างแน่นอน
นางจึงหันไปยอมรับผิดทางห้องที่พระชายาประทับอยู่แทน
“ตอนนี้รู้ตัวว่าผิดแล้วหรือ? แต่ของของพวกข้าพังไปแล้วนี่ แม้แต่ผ้าห่มของพวกข้าก็ถูกนำออกมาวาง ข้าวของล้วนสกปรกหมดแล้ว ดูท่าพวกเราคงไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป”
ป๋ายซ่าวส่งเสียงเย้ยหยัน หน้าผากของผอจื่อจึงมีเหงื่อซึมออกมา
ตอนแรกพระสนมเต๋อเฟยรับสั่งว่าให้เชิญพระอาจารย์มาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายแต่เพียงเท่านั้น
เหตุเพราะเคยเกิดการเสียชีวิตขึ้นที่ตำหนักหลิวซิน ดังนั้นจึงเป็นแหล่งอาศัยของพวกวิญญาณร้าย
แต่เพราะนางคือผอจื่อที่มาจากนอกจวน เพราะความคึกคะนองจึงคิดดูถูกพระชายา
พวกนางยิงธนูพลาดเป้าเสียแล้ว หลินเมิ้งหยาหาใช่คนที่จะยอมถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ
ตอนแรกคิดว่าพวกผอจื่อในจวนจะถูกหลินเมิ้งหยาซื้อใจจนมิอาจใช้งานได้แต่เพียงเท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาจะร้ายกาจเช่นนี้
“พระชายาเพคะ หนู่ปี้ผิดไปแล้ว ได้โปรดเห็นแก่ความหวังดีที่หนู่ปี้ได้มีให้กับจวนอวี้แล้วปล่อยหนู่ปี้ไปเถิดเจ้าค่ะ”
นานกว่าเสียงถอนหายใจจะดังขึ้นจากภายใน
ประตูห้องหลักพลันถูกเปิดออก
สาวใช้ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน สีหน้าของแต่ละคนเสมือนคนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ผอจื่อคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น มิกล้าเงยหน้าขึ้น
“ตำหนักหลิวซินของข้ามีกฎมีเกณฑ์ ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าสิ่งใดที่เป็นของข้า หากคนนอกแตะต้อง ข้าไม่ต้องการมันอีก เจ้าลองไปตรวจสอบดูเถิด ตกลงว่าเจ้าทำสิ่งของชิ้นไหนของข้าเสียหายบ้าง ขอเพียงชดใช้มาก็เพียงพอ เท่านี้ข้าก็ไม่คิดเอาเรื่องเจ้าแล้ว”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงเรียบเรื่อยมิได้แสดงท่าทีถือตนข่มท่านแต่อย่างใด
สีหน้าของผอจื่อขาวซีด เคยได้ยินมาว่าสิ่งของในตำหนักหลิวซินล้วนเป็นของดีมีราคาทั้งสิ้น
นางเป็นเพียงผอจื่อระดับสามเท่านั้น นางจะชดใช้หมดได้อย่างไร
สายตาเหลือบมองทางอจื่อระดับสองที่ชายคาตำหนัก ทว่าได้เห็นพวกนางยืนยิ้มสะใจ ไร้ซึ่งความสงสาร
ตั้งสติให้มั่น ถึงอย่างไรคนที่คุ้มกะลาหัวนางอยู่ก็คือพระสนมเต๋อเฟย
คิดได้ดังนั้นนางจึงเอ่ย
“พระชายาอย่าทำให้หนู่ปี้ต้องลำบากเลยเจ้าค่ะ หนู่ปี้ได้รับคำสั่งมาจากพระสนมเต๋อเฟย พระสนมเต๋อเฟยต้องเป็นผู้รับผิดชอบถึงจะถูก”
หลินเมิ้งหยาซึ่งอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังสาวใช้เหยียดยิ้มเย็นชา
“ช่างเป็นสาวใช้ที่สมควรตายยิ่งนัก หมู่เฟยของข้าเป็นถึงพระสนมชั้นสูง สิ่งที่พระองค์ให้ความสำคัญที่สุดคือกฎระเบียบ หรือหมู่เฟยของข้าสอนให้เจ้าทำตัวต่ำช้าเช่นนี้? ฮึ ได้สิ หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม เช่นนั้นข้าจะจับตัวเจ้าไปตำหนักหยาเสวียนเพื่อขอคำอธิบายจากหมู่เฟย”
ผอจื่อคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะกล้าจับกุมตัวนางไปเผชิญหน้ากับพระสนมเต๋อเฟย
นางเป็นถึงนายหญิงของจวน แล้วแบบนี้ใครจะช่วยนางได้?
หากแม่สามีและลูกสะใภ้ฉีกหน้ากันเอง คนที่ซวยคงเป็นนาง
ดังนั้น นางจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วโขกศีรษะลงพื้น
“พระชายาได้โปรดลงโทษด้วย หนู่ปี้ผิดเองเจ้าค่ะ หนู่ปี้สมควรตาย สมควรตาย”
พูดจบ นางจึงรีบตบปากของตนเอง
เสียงสะท้อนดังลั่น ไม่ว่าใครต่างก็ได้ยินเสียงของฝ่ามือกระทบกับเนื้อ
นางสมควรโดนแล้ว
หลินเมิ้งหยาไม่มีความคิดที่จะร้องห้าม ผอจื่อคนนั้นตบปากตัวเองหลายสิบครั้งและส่งเสียงร้องขอความเมตตาไม่หยุด
ช่วยไม่ได้ นางคงต้องทำโทษให้หนักขึ้น
เหตุเพราะตบหน้าตนเองไปหลายครั้ง ดังนั้นใบหน้าของผอจื่อจึงบวมแดง มุมปากมีรอยเลือด
“พอแล้ว เจ้ากระทำเช่นนี้ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า มิกลัวว่าท่านจะตกใจกระนั้นหรือ?”
ป๋ายซ่าวปรายตาไปทางผอจื่อ ก่อนจะส่งเสียงเรียบ
เมื่อเห็นว่ามีคนร้องห้าม ผอจื่อจึงหยุดทำร้ายตนเอง
แต่ถึงกระนั้นก็ทำเพียงก้มหน้าลง มิกล้าแสดงความหยิ่งผยองอีก
“ตอนแรกข้าคิดว่าพระชายาจะเป็นคนใจอ่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะจัดการคนอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้”
น้ำเสียงหยิ่งยโสดังขึ้นที่หน้าประตู
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้น มองดูร่างบางที่กำลังเดินฝ่ากลุ่มคนเข้ามา
ชุดสีเขียวอ่อนพอดีตัวทำให้รูปร่างของนางเด่นชัดขึ้น
ใบหน้างดงามดั่งดอกฝูหรง สายตาหยิ่งผยอง
หากลองมองให้ละเอียดจะพบว่าในดวงตาที่กำลังจ้องมองทางหลินเมิ้งหยาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
“เจียงหรูฉิน เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
เหตุเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวย ดังนั้นเจียงหรูฉินจึงถูกส่งตัวกลับบ้าน ได้ยินมาว่านางกำลังจะถูกส่งไปยังแถบชนบท
ทั้งที่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่นางกลับกลับมาที่จวนอีกครั้ง
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่โวยวาย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน
“ตกใจขนาดนั้นเชียวหรือที่ได้เจอข้า? ถูกต้อง ข้ากลับมาแล้ว คราวนี้ท่านป้าสั่งให้ข้ากลับมาเอง อีกทั้งท่านป้ายังรับสั่งด้วยว่าต่อจากนี้ไปข้าจะเป็นผู้ดูแลเรื่องภายในจวน ส่วนพี่สะใภ้ก็อยู่เงียบๆ ในจวนไปเถิด”
คำพูดของเจียงหรูฉินหยิ่งผยองเกินทน
ทุกคนล้วนถลึงตาโต
เกิดอะไรขึ้น? คุณหนูเจียงที่เพิ่งจะร้องห่มร้องไห้เพราะถูกส่งตัวกลับไป พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นคนของจวนแล้วหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังกล้าเทียบชั้นกับพระชายา
คนทั้งจวนเริ่มตั้งข้อสงสัยต่างๆ นานา
ตอนแรกคิดว่าหลินเมิ้งหยาที่ถูกยั่วยุจะโมโหจนตัวสั่น แต่ใครจะรู้ว่านางกลับสงบนิ่ง
พลิกหน้าหนังสือไปอีกหน้า ก่อนจะเอ่ย
“ได้สิ ป๋ายซ่าว จงนำกุญแจและสมุดบัญชีมอบให้แก่คุณหนูเจียง ต่อจากนี้ไปคนของตำหนักหลิวซินจงใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ กับข้า”
ออกคำสั่งให้ป๋ายซ่าวมอบกุญแจและสมุดบัญชีให้แก่เจียงหรูฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ถามสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
แม้ป๋ายซ่าวจะสงสัย แต่ก็วางกุญแจและสมุดบัญชีลงในมือของเจียงหรูฉินแต่โดยดี
“คุณหนูเจียง ท่านต้องถือมันเอาไว้ให้ดี สมุดบัญชีหนักมากนะเจ้าคะ”
ป๋ายซ่าวยิ้ม
เจียงหรูฉินดีใจจนแทบเสียสติ คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้ครอบครองอำนาจในจวนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในความฝันก็มิปาน
พลิกหน้ากระดาษ มันคือสมุดบัญชีของจวนอวี้จริงๆ เจียงหรูฉินคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องกลัวท่านป้าและนางอย่างแน่นอน จึงยอมมอบให้แต่โดยดี
นางคล้องกุญแจไว้ที่เอว ก่อนจะส่งมอบสมุดบัญชีให้กับสาวใช้ทางด้านหลัง
“ของของใคร ไม่ช้าก็เร็วย่อมเป็นของของคนนั้น ไม่ว่าใครจะคิดมาแย่งก็ไม่สำเร็จ เข้ามา พวกเรากลับ”
เจียงหรูฉินดีใจยิ่งเพราะคิดว่าตนเองกำลังกำชัยชนะอยู่ในมือ ก่อนจะเดินออกจากตำหนักหลิวซินไป
ผอจื่อและพระอาจารย์ได้เห็นพระชายาถูกรวบอำนาจไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นนางจึงมีความกล้าขึ้นมา
ดูเหมือนพระชายาจะไร้น้ำยาแล้ว
“พระชายา เช่นนั้นหนู่ปี้จะพาคนไปย้ายของไปยังวัดนะเจ้าคะ”
ราวกับคนเหล่านั้นลืมเรื่องก่อนหน้า พวกเขารีบย้ายสิ่งของออกไปจากตำหนักหลิวซิน
“แยกย้ายกันไปทำงานของตนเองเถิด”
ป๋ายจีไล่ทุกคนออกไป กำชับให้ผอจื่อปิดประตูตำหนัก ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องหลัก