ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 105 คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

บัดนี้บรรดาคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างก็รู้สึกเข้าตาจน

บรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกในโลกปัจจุบัน หอคลื่นโหมมีท่าทีที่ค่อนข้างปิดกั้น น้อยยิ่งนักที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายน้อย อีกทั้งไม่โอนเอนไปทางฝ่ายใดเลย

ตำหนักอัสนีสวรรค์และเมืองทะเลมรกตมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ทว่ายังไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเขากว่างเฉิงและเขาไร้พรมแดนมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังไม่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์

ความสัมพันธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ค่อนข้างแน่นแฟ้น ถึงกระนั้นตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ถูกเมืองทะเลมรกตควบคุมเอาไว้ มงกุฎจันทรา อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองทะเลมรกตครอบครองอยู่ในขณะนี้ก็ถูกนำมาจากปฐพีพิภพ

ปัจจุบันเขาไร้พรมแดนมีท่าทีวางตนเป็นคนนอก ปล่อยเรื่องไปตามน้ำ

เมื่อหวงกวงเลี่ยยังไม่ออกฌาน สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ

“ถึงแม้ว่าหยวนเจิ้งเฟิงจะยังมีอาการบาดเจ็บเดิมอยู่ เข้าฌานเพื่อบรรลุเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์จึงเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แต่หากประสบความสำเร็จขึ้นมา กำลังของเขากว่างเฉิงก็จะเพิ่มสูงขึ้น”

แสงรัตติกาลกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ความสำเร็จของท่านอาจารย์ลุงหวงจะเพิ่มขึ้นอีกขั้น และหยวนเจิ้งเฟิงบรรลุขึ้นอีกระดับเช่นกัน แต่สถานการณ์ก็จะไม่ต่างกับตอนนี้”

“กระนั้น แม้ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะได้เปรียบ แต่ก็ไม่อาจกดเขากว่างเฉิงได้โดยสิ้นเชิง”

การเลือกผู้ที่จะรับช่วงต่อเจ้าสำนักก็ต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆ ด้าน ทว่าสำหรับจอมยุทธ์อย่างเดียวแล้ว เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศิษย์ที่หยวนเจิ้งเฟิง เจ้าสำนักอาวุโสภาคภูมิใจมากที่สุด

อย่างไรอนาคตก็ยังมีผู้สืบทอด นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หยวนเจิ้งเฟิงตัดสินใจเสี่ยงเข้าฌาน

หากเยี่ยนตี๋ตาย ไม่เพียงแต่จะตัดศิษย์รุ่นกลางผู้เป็นความหวังอันดับหนึ่งของเขากว่างเฉิงไป ยังเกิดเป็นเงามืดภายในก้นบึ้งจิตใจของหยวนเจิ้งเฟิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเขาเช่นกัน

ต่อให้หยวนเจิ้งเฟิงยังคงมุ่งมั่นที่จะเข้าฌานเพื่อบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าหากในใจยังมีเรื่องให้ห่วงอยู่มาก ระดับความยากก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน

จรัสแสงกล่าวว่า “ครั้งนี้พวกเราแพ้ไปครั้งหนึ่ง ตอนนี้มาคิดดีกว่าว่าทำอย่างไรให้แพ้น้อยที่สุด”

พานป๋อไท่มองผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกตผู้นั้นด้วยสายตาที่เยือกเย็น “เมืองทะเลมรกต…มันเหิมเกริมได้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ อีกไม่นานจะถึงการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สามแล้ว พวกเขาได้ใจอีกไม่นานหรอก!”

ในตอนนี้เอง ไกลออกไปมีแสงเจิดจ้ามหาศาลส่องสว่างขึ้น เป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ายอดฝีมือแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นพานป๋อไท่ จรัสแสง และแสงรัตติกาลเสียอีก!

ประหนึ่งกับมีเขตแบ่งที่ไร้รูปร่างกรีดโลกออกเป็นสองซีก ครึ่งหนึ่งเป็นเหมือนปกติ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลายเป็นโลกแห่งแสง

ทุกคนที่อยู่ตรงนี้พากันหันหลังหลบพลังนั้น เพราะแสงฉายเจิดจ้า สาดส่องไปทั่วฟ้าดิน

เยี่ยนตี๋ สือเถี่ย และผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกตผู้นั้นยังคงมีสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มองไปยังทิศทางที่เต็มไปด้วยแสงสีขาวนั้นอย่างเงียบๆ

แสงสีขาวแล่นผ่านไปในชั่วพริบตา และที่ตามติดมาก็คือดวงจันทร์ดวงหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนขึ้นจากฟากฟ้าไกลออกไปอย่างช้าๆ!

ราวกับเป็นแสงจันทร์ที่สามารถแข่งกันส่องสว่างกับดวงตะวันของจริงได้!

เมื่อแสงจันทร์อันสุกสกาวสาดส่องลงมา ดวงอาทิตย์ที่แปรสภาพมาจากวรยุทธ์วิชาของพานป๋อไท่และคนอื่นๆ ก็ดูมืดลงไปในพริบตา

ภายใต้แสงจันทร์อันเยือกเย็น ทั่วหล้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็บเฉียบในพริบตา

ดวงจันทร์ค้างเติ่งอยู่กลางท้องฟ้า แม้ว่ามันจะเพิ่งปรากฏขึ้น ทว่าก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน เพราะนั่นก็คือการแปรสภาพพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มงกุฎจันทรา!

ส่วนโลกที่เต็มไปด้วยแสงสีขาวนั้นคือมาตรสุริยันวัดสวรรค์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน

เหมือนกับการขึ้นและตกลงของดวงอาทิตย์ที่ลอยลัดฟ้าไปอย่างไรอย่างนั้น

ทว่ามาตรสุริยันวัดสวรรค์ในตอนนี้กลับไม่มีความคิดที่จะยืดเยื้ออยู่กับมงกุฎจันทราให้มากกว่านี้ และก็ไม่ได้สนใจเยี่ยนตี๋และคนอื่นๆ แต่กลับพาพวกของพานป๋อไท่ไปในทิศทางที่ไกลออกไป

“ตอบโต้รวดเร็วยิ่งนัก หากหวงซวี่ลังเลไปเพียงเล็กน้อย ก็คงถูกมงกุฎจันทรากับชุดคลุมนภาของสำนักท่านร่วมกันจับตัวเอาไว้แล้ว” ผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกตเบะปาก

เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ร่างกายถูกแสงจันทร์สุกสกาวห่อหุ้มเอาไว้

สือเถี่ยกล่าวกับเยี่ยนตี๋ว่า “ศิษย์น้อง เจ้าคุมการณ์อยู่ที่เกาะนภาตะวันออกนี่แหละ พวกเจ้าพ่อลูกจะได้มีเวลาพูดคุยกัน ข้าจะตามไปไล่ล่ามงกุฎจันทราเอง”

เยี่ยนตี๋พยักหน้า “ลำบากศิษย์พี่ใหญ่แล้วขอรับ”

สือเถี่ยลอยตัวขึ้น หลอมรวมเข้ากับแสงจันทร์สุกสกาวนั้น ไล่ตามมาตรสุริยันวัดสวรรค์กับกลุ่มคนของพานป๋อไท่ที่ออกไปไกลแล้ว

ครั้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า เยี่ยนจ้าวเกอก็สามารถรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนไปทั่วของท้องฟ้าและแผ่นดินโดยรอบ

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้รางๆ ว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์กำลังเรียกหากัน และยังรู้สึกได้อีกว่านอกจากมงกุฎจันทรา รวมถึงมาตรสุริยันวัดสวรรค์แล้ว ที่ไกลออกไปยังปรากฏความยิ่งใหญ่ กำลังสั่นสะเทือนฟ้าดินผืนนี้อยู่

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคงจะเป็นหยวนเจิ้งเฟิง อาจารย์ปู่ของตนที่ขับเคลื่อนชุดคลุมนภา อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งเขากว่างเฉิง และกำลังมาที่นี่โดยมีมาตรสุริยันวัดสวรรค์เป็นเป้าหมาย

ฝ่ายหนึ่งหลีกหนี อีกฝ่ายไล่ล่า ชั่วพริบตาเดียวก็ออกไปไกลหายลับไปจากขอบฟ้า

ถึงกระนั้นบริเวณที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่ ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนและแรงกดดันที่ถูกส่งมาเป็นพักๆ

พอกลุ่มคนของสือเถี่ยปลีกตัวออกไป เยี่ยนตี๋ก็รวบรวมคนของสำนักเขากว่างเฉิงมาที่นี่เป็นอันดับแรก แล้วจึงจัดแบ่งหน้าที่ให้

ครั้งนี้กำหนดไว้แล้วว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกขับไล่ออกจากถังตะวันออก รวมถึงเกาะนภาตะวันออกด้วย จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงที่กำลังต่อสู้อยู่ที่อื่นๆ จึงเริ่มการขับไล่คู่ต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ

หยวนเจิ้งเฟิงนำชุดคลุมนภาออกมาด้วยตนเอง และไล่ตามมาตรสุริยันวัดสวรรค์พร้อมกันกับมงกุฎจันทรา จนไปถึงอัคคีพิภพ

เขากว่างเฉิงและเมืองมรกตก็มีจอมยุทธ์ตามไปด้วยเช่นกัน เพื่อแย่งชิงทรัพยากรและยึดครองพื้นที่

“ผลประโยชน์ด้านทรัพยากรยังพอพูดได้อยู่บ้าง แต่ถ้าหากคิดจะกวาดล้างแล้วยึดครองอาณาเขตนั้นก็ยากอยู่” เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทิศทางที่เป็นที่ตั้งของอัคคีพิภพ “หากมาตรสุริยันวัดสวรรค์ไม่เสียหาย เมื่อหวงกวงเลี่ยออกฌาน จะต้องมาแย่งชิงพื้นที่ที่เราครองเอาไว้ตอนนี้คืนแน่”

เยี่ยนตี๋ปล่อยกายลงสู่พื้นดิน แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ปฏิกิริยาของหวงซวี่ว่องไวมาก เขาถอนกำลังออกไปตั้งแต่ตอนแรก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน”

“หากนำมาตรสุริยันวัดสวรรค์มาได้ และสามารถบังคับทำให้หวงกวงเลี่ยออกจากฌานมาได้ แน่นอนว่าจะเป็นการดีที่สุด แต่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่นิ่งดูดายเป็นแน่”

“ทว่าต่อให้ครั้งนี้พวกเขาไม่สิ้นชีพ ก็ต้องถูกถลกหนังออกมาแน่ และก่อนที่หวงกวงเลี่ยจะออกฌาน พวกเขาก็คงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้ว”

เยี่ยนตี๋ไพล่มือทั้งสองเอาไว้ข้างหลัง สายตาทอดมองออกไปไกลเช่นเดียวกัน “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านอาจารย์ก็จะสามารถเข้าฌานได้อย่างวางใจ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะถูกศัตรูรุกราน ส่วนสิ่งที่เราได้มาคราวนี้ก็มีประโยชน์ต่อการพัฒนาขึ้นอีกขั้นของสำนักเช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก “มงกุฎจันทรา ถ้าพูดให้ถูกก็ไม่ใช่สิ่งที่เมืองมรกตมีเท่านั้น”

“หากจะช่วยเมืองทะเลมรกตเก็บมงกุฎจันทราเอาไว้ เช่นนั้นก็กำหนดไว้แล้วว่าจะให้เขาไร้พรมแดนอยู่ฝ่ายเดียวกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ แม้แต่หอคลื่นโหมก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน” เยี่ยนตี๋กล่าว

ผู้เป็นบุตรผงกศีรษะ “เป็นเช่นนี้เอง”

ตรงกันข้าม ถ้าหากเมืองทะเลมรกตยึดครองมงกุฎจันทราไว้ฝ่ายเดียว ความสัมพันธ์กับเขากว่างเฉิงอาจจะไม่แน่นแฟ้นเหมือนในตอนนี้ก็ได้

“แท้จริงแล้วครั้งนี้ก็มีความเสี่ยงและอันตรายอยู่บ้างเช่นกัน หากผิดไปแม้ขั้นตอนเดียว ผลลัพธ์ก็อาจจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้” เยี่ยนตี๋หันศีรษะกลับมามองเยี่ยนจ้าวเกอ “ก็เหมือนกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ พวกเขามีจุดบอดที่เจ้าจับได้ ก็เลยถูกพวกเราแก้เผ็ด”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้กล่าวจนจบ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วเยี่ยนตี๋มีความรู้สึกผิดอยู่ภายในใจ

และถึงแม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะตั้งใจเสี่ยงอันตรายครั้งนี้เอง กระนั้นหากหยวนเจิ้งเฟิงยืนกรานว่าไม่แล้วละก็ เช่นนั้นชายหนุ่มก็คงต้องออกจากถังตะวันออก แล้วกลับเขากว่างเฉิงเท่านั้น

มีคนจับไต๋แผนการของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ว่าอย่างไรแผนการครั้งนี้ก็ต้องล้มเหลว เพียงแต่ว่าเขากว่างเฉิงเองก็อยากจะใช้โอกาสครั้งนี้แก้เผ็ดสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สักตั้ง

นี่จึงจำเป็นต้องให้เยี่ยนจ้าวเกอแสดงละครต่อไป

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะร่า พลางกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ใช่แล้ว ท่านคงไม่รู้ละสิว่าเมื่อครู่มีตั้งหลายครั้งที่ข้าตกใจจนหัวใจแทบจะตกไปถึงตาตุ่ม ดังนั้นท่านต้องให้รางวัลแก่ข้าอย่างงามสักหน่อยแล้วขอรับ”

ตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ระมัดระวังและเพียรพยายามกลมกลืนเข้ากับที่นี่

การเข้าใกล้กับคนสนิทของเจ้าของร่างคนเดิมนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าหวั่นใจมากที่สุด ทว่าก็เป็นหนทางที่จะช่วยให้ตนกลมกลืนเข้ากับโลกใบนี้ได้ดีที่สุดเช่นกัน

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากอาหู่แล้ว คนที่เยี่ยนจ้าวเกอใกล้ชิดมากที่สุด เห็นทีจะเป็นบิดาสุดโหดของตนเองนี่แหละ

คนที่สนิทสนมมากที่สุด กล่าวอีกมุมหนึ่งก็คือมีความรู้สึกลึกซึ้งมากที่สุดเช่นกัน

“คนดีมักอายุสั้น ส่วนคนสร้างความหายนะมักอยู่ยงคงกระพัน” เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอบิดขี้เกียจ เยี่ยนตี๋ก็เหล่มองอยู่แวบหนึ่ง “เหมือนเช่นเราสองพ่อลูก ที่คงจะอยู่อีกยาวนาน”

“วางใจเถิด การโจมตีกลับอัคคีพิภพครั้งนี้ ผลพลอยได้ของสำนักไม่น้อยเป็นแน่ และมีส่วนหนึ่งที่เป็นของเจ้าด้วยแน่นอน”

…………