ตอนที่ 17 โชคชะตาของโฉมงาม อาจมิได้สวยงามเสมอไป
ในถ้ำ
สติของเด็กหนุ่มยังคงเลือนรางอยู่เล็กน้อย เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างสองพี่น้อง สมองที่ว่างเปล่าของเขา ก็ค่อย ๆ ปรากฏร่องรอยของความชัดเจน
เรื่องที่พวกเขาคุยกันนับว่าสมเหตุสมผล!
ตามคำกล่าวที่ว่า สุภาพบุรุษไม่ฉวยโอกาสจากอันตรายของผู้อื่น… ไม่สิ มันควรเป็นบันทึกที่ผู้คนยกย่องกันมานับพันปี เขาเป็นชายสูงเจ็ดฉื่อ แต่ถูกเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จับเปลื้องผ้า เช่นนั้น… เขาต้องรับผิดชอบ!
หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ อยู่ข้างกองไฟ ก่อนจะใช้กิ่งไม้เขี่ยไข่ไก่ป่าสีเข้มที่ย่างสุกแล้วออกมาสองสามฟอง พร้อมกับเป่าแรง ๆ จนสำลักควัน
หากนางรู้ว่าชายหนุ่มรูปงาม ที่ยังไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้นั้น ในหัวกำลังคิดจะรับผิดชอบนางโดยแต่งงานเข้าบ้าน หยุนเชวี่ยคงสำลักเลือดออกมาแทน
“เสี่ยวอู่ เจ้าเอาไปกินสิ”
ไข่ย่างที่สุกแล้ว ปลอกเปลือกออกมามีสีขาวเนื้อนุ่ม ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง พวกเขาใช้พลังอย่างหนักตั้งแต่เช้าโดยที่ท้องยังหิวโหย ในเวลานี้จึงพากันกลืนน้ำลายลงคอ
เสี่ยวอู่เม้นปากแน่นพร้อมกับส่ายหัว
“ไม่หิวหรือ?”
“อืม”
หยุนเชวี่ยยิ้มออกมาและใช้มือที่เปื้อนเขม่าสีดำบีบไปที่แก้มซาลาเปาของเด็กน้อย ประทับตราเป็นรอยนิ้วมือ “เจ้าเด็กเมื่อวานซืน โตขึ้นเจ้าจะต้องมีอนาคตที่ดี”
เสี่ยวอู่มองนางด้วยแววตาไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะหยิบไข่ที่ปลอกเปลือกแล้ว เดินเข้าไปในถ้ำโดยไม่พูดไม่จา
“นี่ เจ้าโกรธข้าหรือ?” นางปัดสะโพกที่เปื้อนฝุ่นแล้วเดินตามเข้าไป
เมื่อเด็กหนุ่มหันมาก็พบกับเด็กชายตัวน้อยราวกับหัวไชเท้า นั่งยอง ๆ อยู่ด้านข้าง ในมือถือไข่ไม่กล่าววาจาใดออกมา
ดวงตาของเขากลมโตเหมือนกับเช่นเดียวกับสาวน้อยผู้นั้น แต่แววตากลับไม่สดใส มืดมนเหมือนสระน้ำลึก
เขาเบ้ปากเล็กน้อย
เสี่ยวอู่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ให้เจ้ากิน”
“…” เด็กหนุ่มกัดฟันและพยายามยกแขนขวาขึ้น
หยุนเชวี่ยจับคาง พร้อมกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “เขาบาดเจ็บสาหัส เสี่ยวอู่ เจ้าต้องป้อนอาหารให้เขา”
“ไม่…”
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มขยับไปมา ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวคำว่า ‘ไม่จำเป็น’ ก็ถูกยัดไข่ย่างร้อน ๆ ครึ่งลูกเข้ามาในปาก เขาหายใจลำบากเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะกลับมาหายใจได้สะดวก ก็โดนยัดไข่เข้าปากอีกครั้ง
เขาไม่ได้เสียเลือดจนตาย หรือนอนแข็งตายในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ แต่เขาเกือบตายเพราะสำลักไข่
หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลง ใบหน้าซีดเซียวเริ่มกลับมามีสีเลือด
“ได้กินอาหารแล้ว รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“…”
“เจ้าเสียเลือดมากเกินไป พักอีกสักสองสามวันก็น่าจะหายดี”
“…”
“เจ้าดูไม่เหมือนชาวบ้านระแวกใกล้เคียงนี้เลย หากหายดีแล้วก็รีบกลับบ้านซะ”
หยุนเชวี่ยนำหญ้าแห้งมาปูเป็นชั้นหนา ๆ และทิ้งอาหารกับน้ำดื่มไว้ด้านข้าง “อันนี้ข้าให้”
ทันใดนั้นมือที่แห้งและเย็นก็เอื้อมมาจับข้อมือของนาง ดวงตาของเด็กหนุ่มหรี่ปรือ ราวกับมีเมฆหมอกบดบังม่านตา จึงทำให้เขามองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ลมหายใจของเขาไม่คงที่ วาจาที่กล่าวออกมาค่อนข้างกระท่อนกระแท่นและไม่ต่อเนื่อง “ช่วย ชีวิต มีน้ำใจ… ไม่มีอะไร ตอบแทน…”
หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วขึ้น คิดว่าเขาต้องการ ‘มอบชีวิตให้เป็นการตอบแทน’ จึงโบกมือปฏิเสธด้วยความตกใจ “ไม่ต้อง ๆ ไม่ต้องตอบแทน ช่วยชีวิตคนได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อามิตตาพุทธ!”
เมื่อกล่าวจบก็ไม่รีรอให้เขาได้โต้ตอบ นางรีบลากเสี่ยวอู่ออกไปจากถ้ำและหายไปทันที
เพื่อแกล้งตบตาผู้อื่น สองพี่น้องจึงเก็บฟืนไปตลอดทางที่เดินลงจากด้านหน้าภูเขาจนกลับไปถึงหมู่บ้านในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นสายโด่ง
เท้ายังไม่ทันได้ก้าวเข้าลานบ้าน เสียงด่าทอของแม่เฒ่าจูก็ดังออกมาถึงข้างนอก “เห็นคนนอกดีกว่าญาติพี่น้อง! ตระกูลหยุน ทำเวรกรรมอะไรนักหนา! ถึงได้เลี้ยงหมาป่าตาขาวในบ้าน”
หยุนเชวี่ยได้แต่นึกสงสัยว่าใครไปเหยียบหางของนางอีก ก่อนจะเห็นอาสะใภ้เฉินส่งยิ้มให้ พร้อมกล่าวคำทักทาย “โอ้ เชวี่ยเอ๋อ ออกไปเก็บฟืนแต่เช้าเลยหรือ? มาทันเวลาพอดีเลย ช่วยอาสะใภ้สามตั้งเตาทำอาหารที”
“เฮ้อ…” เมื่อหันกลับมาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากชั้นบน เสียงดังขึ้นกว่าเดิมอีกสามเท่า “ลูกสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง ดีแต่ช่วยคนนอกทำเรื่องไร้สาระ! จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ข้าทนไม่ไหวแล้ว! เหตุใดฟ้าดินถึงไม่ลงโทษนาง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยุนเชวี่ยก็เข้าใจทันทีว่าแม่เฒ่าจูกำลังกล่าวเสียดสีตัวเอง!
แต่นางไปยั่วยุอารมณ์ของแม่เฒ่าตอนไหน? ถึงโดนสาปแช่งอย่างโหดร้ายเช่นนี้?
ไร้เหตุผลสิ้นดี แค่เดินเข้าประตูมาก็โดนด่า หยุนเชวี่ยหัวเสียเล็กน้อย แต่ก็บอกกับตัวเองว่าไร้ประโยชน์ที่จะโต้เถียงกับหญิงแก่ปากร้ายผู้นั้น นางไม่อยากให้ท่านแม่ต้องมาทนทุกข์อีก จึงรีบเดินกลับเข้าห้องแล้วบ่นพึมพำ “หึ ขอให้กลับเข้าตัว!”
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาที่ค่อนข้างงุนงง
แม่นางเฉินโกรธจัดเมื่อเห็นว่าหยุนเชวี่ยเมินเฉยนาง แต่หันไปพูดกับเสี่ยวอู่
“บนภูเขามีฟืนเยอะแยะ ท่านไปเก็บเอาเองเถิด!” หยุนเชวี่ยเหลือบตามองนาง ก่อนจะพยักพเยิดกับเสี่ยวอู่ “ไปกันเถอะ”
“เจ้า! เจ้า! นังเด็กเหลือขอเจ้าพูดเช่นนี้กับอาสะใภ้สามได้อย่างไร? ไร้มารยาท! ต่อไปจะไม่มีใครมาสู่ขอเจ้า! ข้าน่าจะขายเจ้าไปซะ ให้เจ้าอยู่ในบ้านตระกูลหยุนต่อไปนับเป็นหายนะ…”
แม่นางเฉินกระทืบเท้าเร่า ๆ เมื่อไม่ได้ผลประโยชน์ดังใจ ก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วราวกับพลิกกระดาษ จากนั้นจึงร่วมตะโกนด่าทอรับส่งกับแม่เฒ่าจูอย่างดุดัน
หยุนเยี่ยนกำลังให้อาหารไก่ เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาก็คลายกังวลและรีบวางงานในมือลง “ไปไหนกันมา ตื่นเช้ามาก็ไม่เจอใครแล้ว”
“ท่านแม่ล่ะ?” หยุนเชวี่ยถามพร้อมกับชะโงกหัวไปมองทางห้องฝั่งตะวันตก
“ไปที่แม่น้ำกับท่านพ่อ เห็นว่าจะทำแปลงผัก หิวหรือไม่? มีข้าวอยู่ในบ้าน”
ที่ดินในชนบทนั้นไร้ราคา ตราบใดที่ขยันทำงานหนัก เพียงแค่ปลูกผักสักสองอย่าง ก็เพียงพอที่จะประทังชีวิตคนทั้งครอบครัวแล้ว
หยุนเชวี่ยเปิดที่ครอบอาหารวางคว่ำไว้ บนโต๊ะมีบะหมี่ ข้าวต้มต่าง ๆ ที่ยังอุ่นอยู่ และมีผักดองจานเล็กอยู่ข้าง ๆ
อาจเป็นเพราะเมื่อแยกบ้านออกมาแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องทนมองหน้าแม่เฒ่าจูตอนทานอาหารอีกต่อไป แม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารพื้น ๆ ก็อร่อยขึ้นมาทันที
นางอ้าปากกัดหมั่นโถว พร้อมกับพิงกรอบหน้าต่างและเอ่ยถามอย่างคลุมเครือ “พี่สาว เหตุใดท่านย่าถึงยังด่าข้าอยู่เล่า?”
“กังหันน้ำที่ใช้ซักผ้าเป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่?”
หยุนเยี่ยนลดเสียงลงอย่างไม่เต็มใจนัก หากนางถูกแม่เฒ่าจูด่าทอรุนแรงเช่นนี้ คงทั้งโกรธทั้งอาย แต่เมื่อมองดูหยุนเชวี่ย น้องสาวของนางกลับกินดื่มโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำถามง่าย ๆ นี้ ทำให้นางหมดความสงสัยไปในทันที
เหตุใดถึงได้ไร้ยางอายเหมือนแม่นางเฉินไม่มีผิด?
หยุนเชวี่ยทำหน้าใสซื่อ “ใช่แล้ว มีอะไรหรือ?”
“ตอนเช้าตรู่ ท่านอาชิ่วเอ๋อออกไปซักผ้า แต่นางอยากใช้กังหันน้ำ จึงทะเลาะกับท่านป้าอู่เอ้อ”
เป็นเพราะว่าแก้วตาดวงใจของนางถูกคนนอกทำให้ขุ่นเคือง ไม่แปลกใจที่ท่านย่าโกรธแค้นนางถึงเพียงนี้!
หยุนเชวี่ยเป่าปากและพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “ดวงอาทิตย์ขึ้นกำลังจะจากทิศตะวันตกหรือ ลูกสาวสุดที่รักของตระกูลหยุนถึงต้องไปซักผ้าด้วยตัวเอง?”
แม่เฒ่าจูมักจะชี้หน้าด่าผู้อื่นว่าตะกละและขี้เกียจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่แท้จริงแล้วคนที่เป็นตัวตะกละและขี้เกียจกว่าใครคือหยุนชิ่วเอ๋อ ได้กินอยู่อย่างสุขสบาย ถูกเอาอกเอาใจจนเสียนิสัย ทะนุถนอนเลี้ยงดูมาจนถึงวัยแต่งงาน งานบ้านใด ๆ ไม่เคยได้แตะ นอกเสียจากงานปักที่ฝีมือย่ำแย่ยิ่งนัก
ถึงกระนั้นแม่เฒ่าจูก็ยังชื่นชมความงามของลูกสาวตัวเอง วาดหวังว่าต่อไปในภายหน้าย่อมได้แต่งงานกับตระกูลที่ร่ำรวยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
หากกล่าวถึงเรื่องนี้ หยุนเชวี่ยอยากจะย่นจมูกและกลอกตาขาวทั้งสองข้าง โชคชะตาของโฉมงาม อาจมิได้งดงามเสมอไป
“ท่านอาชิ่วเอ๋อคิดว่าอาสะใภ้สามทำงานไม่ระวัง เสื้อผ้าสองชุดของนางเพิ่งซื้อมาใหม่ อีกอย่างพวกเราก็แยกบ้านออกมาแล้ว นางจึงไม่มีผู้ใดให้เรียกใช้…”