ตอนที่ 18 รู้ได้อย่างไรว่าข้ามองหน้าเจ้า หากเจ้าไม่ได้มองหน้าข้า?

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 18 รู้ได้อย่างไรว่าข้ามองหน้าเจ้า หากเจ้าไม่ได้มองหน้าข้า?

ในบรรดาเด็กทั้งสามคน หยุนเยี่ยนเป็นคนที่มีนิสัยใจคอคล้ายคลึงกับแม่นางเหลียนและหยุนลี่เต๋อที่สุด นางทั้งอ่อนโยนและจิตใจดี

แม้จะมีเพียงไก่สามตัว หมูหนึ่งตัว แต่นางก็ยังคงดูแลเล้าไก่และคอกหมูให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ทุกวัน

ลูกสาวคนรองหยุนเชวี่ย ไม่รู้ว่านางถอดแบบมาจากใคร ตั้งแต่เด็กก็มีนิสัยดื้อรั้น จึงมักได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและเฆี่ยนตีโดยไร้เหตุผล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนว่านางมีความคิดที่จะทำให้ผู้ที่อยู่ชั้นบนของบ้านโมโหได้ทุก ๆ สามวันห้าวัน ทำให้สองสามีภรรยาต่างเป็นกังวลในเรื่องนี้

“หยุนชิ่วเอ๋อมีความสามารถยิ่ง เสแสร้งทำตัวอ่อนแอเมื่ออยู่ข้างนอก แต่ทำร้ายผู้อื่นตอนอยู่ในบ้าน” หยุนเชวี่ยแกว่งขา ราวกับมีความสุขเมื่อเห็นนางตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

ท่านป้าอู่เอ้อเป็นคนอย่างไรน่ะหรือ? ความหยาบคายและไร้เหตุผลของนางเป็นที่โจษจันไปสิบลี้แปดเมือง สามารถสร้างคลื่นสูงสามฉื่อได้โดยไม่มีลมพัด! ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะล่วงเกินนาง!

คิดว่าคนทั้งโลกล้วนเป็นเหมือนมารดานางหรือ ถึงจะทนกับนิสัยเสียของนางได้!

หยุนเยี่ยนรีบขยิบตา “เจ้าพูดเบา ๆ หน่อย”

“ข้าไม่กลัวนางหรอก หากนางกล้ามารังแกพวกเรา ข้าจะเอาขี้ไก่ให้นางกิน…”

“แค่ก ๆ”

เสี่ยวอู่ที่กำลังนั่งเงียบและจดจ่อกับการกินถึงกับสำลักข้าวต้มออกมาหนึ่งคำ

หยุนเยี่ยนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่าทางเช่นนี้ของนางยิ่งดูเหมือนผู้เป็นมารดา “เจ้าไปจดจำเรื่องพวกนี้มาจากผู้ใด…”

กล่าววาจาไม่ทันจบประโยค เสียงประตูก็ดังขึ้น “เอี๊ยด!”

หยุนชิ่วเดินออกมาพร้อมตะกร้าหวายใบเล็ก เงยหน้าขึ้นสบตาหยุนเชวี่ย และจ้องมองด้วยสีหน้าดุร้าย “นังเด็กเหลือขอ เจ้ามองอะไร!”

“หากเจ้าไม่มองข้า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้ามองเจ้า”

หยุนชิ่วเอ๋อสำลัก และพุ่งไปข้างหน้าด้วยความโมโห “นังเด็กสารเลว กล้าต่อปากต่อคำกับข้า! คอยดูสิว่าข้าจะฉีกเนื้อเจ้าเป็นชิ้น ๆ ยังไง”

หยุนเชวี่ยไม่กลัว นางยัดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะยืดอกขึ้นสู้ แต่กลับถูกหยุนเยี่ยนผลักเข้าไปในห้อง

“อาหญิง หยุนเชวี่ยไม่รู้ความ ท่านอย่าถือสานางเลย ข้าจะรับผิดแทนนางเอง”

“รับผิดแทนแล้วมีประโยชน์อันใด? ข้าจะสั่งสอนนังเด็กสารเลวนั่นให้รู้จักกฏระเบียบเสียบ้าง”

ทันทีที่เห็นท่าทางอ่อนข้อของหยุนเยี่ยน หยุนชิ่วเอ๋อยิ่งได้ใจ นางโบกมือเรียวยาวและเชิดคางขึ้น “ในเมื่อน้องรองของเจ้าไร้มารยาท วันนี้ข้าจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ!”

“ท่านอาชิ่วเอ๋อ…”

ในขณะที่หยุนเยี่ยนตื่นตระหนกและกำลังจะเอ่ยห้ามปราม ก็เห็นหยุนเยว่เดินบิดเอวนวยนาดราวกับเทพธิดาออกมาจากห้องทางปีกตะวันออก

“อาหญิง มีอะไรหรือ?”

หยุนเยว่เป็นหญิงสาวหน้างดงามหมดจด แต่งกายเรียบร้อย พูดจาสุภาพอ่อนหวาน นางโดดเด่นอยู่ท่ามกลางหญิงสาวในชนบทแห่งนี้ ดูสวยสะดุดตาราวกับคุณหนูในเมืองหลวง

ทันทีที่หยุนชิ่วเอ๋อมองเห็นนาง ก็พลันยืดเอวและเชิดคอขึ้นเล็กน้อย ทำท่าทีเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะบีบเสียงและกรีดนิ้วเรียวยาวราวดอกล้วยไม้ของนาง “นังเด็กชั้นต่ำเชวี่ยเอ๋อ ทำตัวไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่!”

หยุนเยว่บิดผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะก้มศีรษะ แล้วปิดปากยิ้ม “ข้าไม่ได้ว่าอะไร แต่เหตุใดท่านอาชิ่วเอ๋อถึงได้ดูกลมกลืนกับเด็กเหลือขอผู้นี้นัก?”

แม้ว่านางจะเติบโตมาในถิ่นกันดารอย่างหมู่บ้านไป๋ซี แต่หยุนเยว่ก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง นางมักจะรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างแตกต่างกับหญิงสาวในชนบทราวก้อนเมฆกับโคลน

พ่อของนางเป็นถึงบัณฑิต นางจึงรู้หนังสือและมักจะติดตามหยุนลี่จงเข้าไปในเมืองบ่อยครั้ง นางเป็นคนเย่อหยิ่งและไม่มีผู้ใดสามารถดูถูกนางได้ แม้จะยิ้มให้หยุนชิ่วเอ๋อ แต่ก็เป็นเพียงการกระทำอย่างขอไปทีเท่านั้น

“หึ!” หยุนชิ่วเอ๋อเชิดจมูกอย่างหยิ่งผยอง ก่อนจะพ่นคำด่าออกมา “ชาตินี้ทั้งชาติชีวิตก็คงต่ำตมอยู่แค่นี้!”

ปรากฏแววตาเยาะเย้ยตรงหางตาของหยุนเยว่ “มิใช่ว่าวันนี้เรามีนัดกับซุนเหนียงจื่อเพื่อดูลายปักผ้าแบบใหม่กันหรอกหรือ? ไปกันเถอะ”

ขนบธรรมเนียนพื้นบ้านของราชวงศ์ต้าเหลียงที่ปฏิบัติตามกันตั้งแต่ขุนนางชั้นสูงจนถึงชาวบ้านทั่วไป หญิงสาวทุกคนเมื่อถึงวัยปักปิ่นจะต้องเย็บชุดแต่งงานหลายแบบด้วยตัวเอง ยิ่งมีลวดลายวิจิตรงดงามมากเพียงใด ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถมากเท่านั้น เมื่อแต่งเข้าบ้านสามีก็จะยิ่งมีหน้ามีตาให้คนยกย่อง

หยุนชิ่วเอ๋อกับหยุนเยว่อายุเท่ากัน เมื่อไม่นานมานี้มีคนส่งแม่สื่อมาที่ประตูเพื่อเจรจาสู่ขอ แม่เฒ่าจูจอมจู้จี้พึงพอใจตระกูลหยูที่เปิดกิจการขายของชำอยู่ในเมือง

ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อรองเจรจาราคาสินสอด หยุนลี่จงก็ให้คำมั่นอย่างจริงจัง พร้อมกับตบหน้าอกและบอกว่าตนกำลังจะได้รับเลือกให้เป็นขุนนาง

ในตอนนี้สถานะของหยุนชิ่วเอ๋อยิ่งสูงส่งขึ้น นางจึงรังเกียจที่ต้องแต่งงานกับคนตระกูลหยู

เมื่อทั้งสองคนเดินออกจากลานบ้าน หยุนเยี่ยนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันมาจิ้มหน้าผากหยุนเชวี่ย อดไม่ได้ที่กล่าวตำหนินาง “เจ้าเป็นประทัดหรืออย่างไร ผู้ใดมายั่วแหย่เพียงนิดก็พร้อมจะระเบิดทันที ไม่รู้จักเก็บอารมณ์”

“ชาตินี้ทั้งชาติชีวิตก็คงต่ำตมอยู่แค่นี้!”

หยุนเชวี่ยกลอกตาจนเห็นตาขาว ก่อนจะมองตามหลังนางไปและทำท่าทางเลียนแบบหยุนชิ่วอย่างเกินจริง “คล้ายกับห่านตัวผู้ที่บ้านเหอยาโถว!”

หยุนเยี่ยน…

เสี่ยวอู่…

หยุนลี่เต๋อกับแม่นางเหลียนถือจอบออกไปแต่เช้า จนกระทั่งเที่ยงวันก็ยังไม่กลับมา หยุนเยี่ยนทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงอุ่นเก็บไว้ในหม้อ

ในคราแรกที่มีการแบ่งปันเมล็ดธัญพืชและข้าวสาร แม่เฒ่าจูยืนขนาบข้างและตักแบ่งให้ทีละนิด ทำราวกับเฉือนเนื้อตัวเองออกมา ปากสาปแช่งพร้อมทำตาขวาง จนในที่สุดก็ได้มาเพียงเล็กน้อยแทบไม่พอกินจนถึงฤดูใบไม้ร่วง

เมื่อเข้าไปเก็บผักในสวน เพื่อไม่ให้ถูกตำหนิ หยุนเยี่ยนมักจะเลือกเก็บผักที่ไม่ค่อยสวยออกมา ยิ่งเลือกน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

จึงเป็นเหตุผลที่ไก่ฟ้าและกระต่ายป่า ที่หยุนลี่เต๋อล่ามาเมื่อวันก่อน กลายเป็นอาหารหลักสำหรับมื้อเย็นของครอบครัวห้าคน

เมื่อเนื้อสัตว์ป่าถูกเคี่ยวอยู่ในหม้อ แม้จะไม่ได้ใส่เครื่องปรุงใด ๆ ก็ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งลานบ้าน แม่นางเฉินผู้น่ารำคาญเดินวนเวียนเข้ามาถึงสองสามรอบ ดวงตาของนางนั้นเปล่งประกายไปด้วยความคาดหวัง

“พี่สะใภ้รอง กลับมาแล้วหรือ?”

ขณะที่นางกำลังกินข้าวอยู่ในห้องโถงใหญ่ ทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบวางตะเกียบลงแล้วเดินออกมาปรากฏตัวต่อหน้าแม่นางเหลียน

“อืม กลับมาแล้ว”

“อะไรอยู่ในหม้อหรือ กลิ่นหอมเชียว?”

แม่นางเหลียนนั้นหน้าบาง นางไม่อาจหลบหน้าและเมินเฉยต่อแม่นางเฉินได้ จึงทำได้เพียงหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาสองครั้ง “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อวานหยุนลี่เต๋อจับไก่ฟ้ามาได้จากด้านหลังภูเขาน่ะ”

“โอ้ พี่สะใภ้รอง ท่านมีชีวิตที่ดีขึ้นทันทีหลังจากแยกบ้าน อย่างน้อยก็ยังมีเนื้อกิน ไม่เหมือนพวกข้า ต้องทนกินผักกินแกลบ…” แม่นางเฉินปากบ่นกระปอดกระแปด แต่ดวงตาแทบจะจมลงไปในหม้อ

แม่นางเหลียนมักตามเล่ห์เหลี่ยมของใครไม่ทัน ไม่เข้าใจว่าแม่นางเฉินหมายถึงอะไร ในตอนที่กำลังจะเปิดปากถาม ก็ได้ยินเสียงหยุนลี่เต๋อพูดขึ้น “เยี่ยนเอ๋อ หยิบชามมาแบ่งเนื้อไปให้ท่านปู่ของเจ้า”

หยุนลี่เต๋อเป็นลูกกตัญญู แม้ว่าเขาจะแยกบ้านออกมาแล้ว ทว่าไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าชายชราเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเขาได้ ถือเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดีที่ลูกชายได้กินเนื้อ แล้วปล่อยให้พ่อแม่กินแต่น้ำแกง

แม้ว่าเขาจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับแม่นางเฉินนัก แต่ก็ยังให้เกียรตินาง

“โอ้ ไม่ต้องลำบากหรอก เดี๋ยวข้าเอาไปให้เอง” นางเฉินตอบรับ พร้อมกับยิ้มด้วยความยินดี

ไม่มีผู้ใดกล่าวตอบนาง

ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดี หากปล่อยให้เนื้ออยู่ในมือของนาง เกรงว่ายังไม่ทันไปถึงห้องโถงใหญ่ เนื้อคงไปหายไปสักครึ่ง

หยุนเยี่ยนเบี่ยงตัวหลบมือที่ยื่นยาวของนาง ก่อนจะถือชามแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

นางรู้สึกราวกับถูกดูแคลน จึงร้องโวยวายออกมา “นี่ นังเด็กน้อย เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ ๆ เจ้ายังกล้าแข็งข้อกับอาสะใภ้สามหรือ?”

“หมาป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่อง! มีชีวิตดี ได้กินของอร่อยก็ปฏิบัติกับแม่ของเขาเหมือนขอทาน!” หยุนเยี่ยนเพิ่งก้าวเท้าหน้าเข้าไปในห้องโถงใหญ่ วาจาสาปแช่งของแม่เฒ่าจูก็ดังขึ้นตามเท้าหลังของนางมาทันที

หยุนเชวี่ยเงยหน้ามองหยุนลี่เต๋อ พ่อผู้ไร้ค่าของนางสีหน้าจืดเจื่อนก่อนจะถูมือหยาบหนาไปมา “ท่านย่าของเจ้าก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเช่นนี้ ช่างเถิด… พวกเราก็กินข้าวกัน”

“ข้าเห็นพี่สาวเลือกแต่เนื้อดี ๆ ไปให้เต็มชาม!” หยุนเชวี่ยบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจ

“นี่ กินข้าว ๆ กันเถิด” หยุนลี่เต๋อเอาใจภรรยาและลูก ๆ ของเขา “กินข้าวเสร็จพ่อจะขึ้นไปบนภูเขา จะได้ไม่ต้องบ่น”