ตอนที่ 19 พี่สาวเจ้าเก่งหรือไม่
หลังจากมื้อกลางวันจบลง หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ อยู่ข้างแปลงผักเพื่อล้างจาน
หยุนชิ่วเอ๋อเดินออกมาพร้อมกับตะกร้าหวายใบเล็กในมืออีกครั้ง นางเหลือบหางตาไปทางห้องปีกตะวันตก พร้อมกับถ่มน้ำลายลงพื้น “ไร้มโนธรรมสิ้นดี! ใช้เนื้อเพียงชามเดียว ทดแทนบุญคุณพ่อแม่! ถุย!”
“อาหญิง ไก่ฟ้าอร่อยดีหรือไม่?” นางเงยหน้ามองด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยถามอย่างจงใจ
“อย่างกับอาหารหมู ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น!” หยุนชิ่วยืดคอราวกับห่านตัวใหญ่ ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
หยุนเชวี่ยแลบลิ้นออกมา หลังจากกินหมดแล้วท่านย่าก็ยังสาปแช่งไม่เลิก!
“ในเมื่อพวกเราก็เคารพผู้เฒ่าอย่างจริงใจ เหตุใดถึงไม่ได้รับความเมตตาบ้าง?” แม่นางเหลียนถอนหายใจ
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องสนใจนางหรอก…” หยุนเชวี่ยสะบัดน้ำออกจากมือ “นั่นเป็นการตอบแทนบุญคุณท่านปู่ นางบอกว่ามันเป็นอาหารหมู ไม่ใช่ว่าท่านปู่เป็นหมูหรอกหรือ?”
“พูดจาเหลวไหล!” หยุนเยี่ยนรีบปิดปากน้องสาวด้วยความตกใจ
“ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน…”
“แต่เจ้าก็ไม่อาจพูดจาหยาบคายได้”
“…”
แม่นางเหลียนปวดหัวกับลูกสาวคนรองของตนยิ่งนัก นางสบโอกาศที่หยุนลี่เต๋อกำลังงีบหลับในตอนกลางวัน พาลูกสาวไปที่หลังบ้านและกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เชวี่ยเอ๋อ ทุกครั้งแม่เคยสอนเจ้าว่าอย่างไร? เป็นกุลสตรีต้องปฏิบัติตนตามหลักสามสิ่งที่ควรคล้อยตาม สี่ความดีงามที่ควรกระทำ เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
“ไม่ควรกล่าววาจาเสียดสีผู้อาวุธโสกว่า แม้แต่กล่าวว่าท่านปู่ของเจ้าเป็น… นั่นแหละ”
“วาจาที่เจ้ากล่าวถือเป็นการไม่เคารพผู้อาวุธโส หากใครได้ยินเข้าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้!”
หยุนเชวี่ยนแหงนหน้ามองฟ้าด้วยท่าทีที่ไม่สำนึกผิด “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหยุนชิ่วเอ๋อเป็นคนพูด เป็นความผิดอันใดของข้ากัน?”
“…” แม่นางเหลียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างอดทนอดกลั้น “เรียกชื่อท่านอาของเจ้าเช่นนี้ก็ไม่ได้!”
“แล้วเหตุใดหยุนชิ่วเอ๋อถึงด่าทอท่านกับท่านพ่อได้? นางเองก็ยังเด็ก!”
แม่นางเหลียนรู้สึกอับจนปัญญายิ่งนัก “เชวี่ยเอ๋อ เห็นใจแม่บ้างเถิด ตอนนี้ผมแม่แทบจะหงอกทั้งหัวก็เพราะกังวลเรื่องเจ้า…”
ด้านข้าง
หยุนเยี่ยน…
เสี่ยวอู่…
แม่นางเหลียนมีดวงตาสีเดียวกับเมล็ดซิ่ง แม้ว่านางจะจ้องมองใครด้วยความโมโห ดวงตากลมโตของนางก็ยังดูน่าสงสาร
เมื่อจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง หยุนเชวี่ยก็เกาหัวด้วยความขัดใจ “จำได้แล้ว ข้าจำได้แล้ว ท่านแม่ ข้าจะเชื่อฟังที่ท่านสั่งสอน อย่าโกรธเลย…”
“สำนึกแล้วจริงหรือ?”
“จริง ข้าสัญญา!”
ใบหน้าเข้มงวดของแม่นางเหลียน เผยรอยยิ้มแสนอ่อนโยนออกมา “ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟังและมีเหตุผล แม่ก็สบายใจ กลับบ้านไปพักผ่อนกันเถอะ”
หลังจากงีบหลับไปสั้น ๆ
สองสามีภรรยาก็ลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมแปลงผักกันต่อ
หยุนเยี่ยนเป็นเด็กมีเหตุผล ด้วยความรักที่มีต่อบิดามารดานางจึงอยากไปช่วยทำงาน หยุนเชวี่ยเองก็ไม่อยากอยู่นิ่ง จึงพาเสี่ยวอู่ไปด้วย
แปลงผักที่หยุนลี่เต๋อเลือกนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ พื้นที่รกร้างมีความกว้างไม่ถึงสามจั้ง วัชพืชต่าง ๆ ถูกถากถางกำจัดออกไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่พรวนดิน ทำความสะอาดกรวดและใส่ปุ๋ย
พ่อผู้ต่ำต้อยของนางมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก ขณะที่ใช้จอบขุดดินเขาก็ผิวปากเป็นเสียงเพลง แม่นางเหลียนกับลูกทั้งสามคนตามอยู่ด้านหลัง พร้อมกับช่วยกันหยิบเศษหิน ก้อนกรวดทั้งหลายออกมา
ดวงอาทิตย์ยามบ่ายแผดเผาอยู่บนศีรษะ เพียงเวลาไม่นาน ใบหน้าเล็ก ๆ ของหยุนเชวี่ยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หยาดเหงื่อเม็ดโตไหลย้อยเข้าไปในดวงตาของนาง ขณะที่เด็กสาวยกมือขึ้นมาขยี้ตาด้วยความเผลอไผล…
“ท่านแม่… ฝุ่นเข้าตา!”
“เป็นอะไรไป! มาให้แม่ดูหน่อย!”
ดวงตาของหยุนเชวี่ย พร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา นางจึงกระพริบตาถี่ ๆ “พี่สาว เป่าให้ข้าที!”
“อย่าขยี้ตา รีบไปที่แม่น้ำแล้วล้างมันออก”
“…”
หลังจากหันรีหันขวาง ดวงตาของหยุนเชวี่ยก็บวมแดง เมื่อนางกลอกตาไปมาก็กลับมามองเห็นอีกครั้ง “หายแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
แม่นางเหลียนใช้มือปาดเหงื่ออกจากหัว “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เจ้ากับเสี่ยวอู่เล่นกันอยู่ตรงนี้ อย่าสร้างปัญหาอีก”
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองดูนางอย่างไร้เดียงสา
เห็นได้ชัดว่าพี่สาวคนรองซุ่มซ่ามเอง เหตุใดเขาถึง ‘มีส่วนร่วม’ ด้วย?
“ทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หยุนเชวี่ยนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ริมแม่น้ำ หยิบหญ้าเข้าปาก “เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เจ้าก็เกลียดข้าใช่หรือไม่?”
เสี่ยวอู่นิ่งเงียบ เขาไม่ชอบใจที่พี่สาวคนรองเรียกเขาว่า ‘เด็กเมื่อวานซืน’ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร นางก็เรียกเขาว่า ‘เด็กเมื่อวานซืน’ อยู่ร่ำไป
“นี่! เจ้าใจร้ายมากรู้หรือไม่?” หยุนเชวี่ยทำหน้าขมขื่น
เสี่ยวอู่คิดกับตัวเอง ท่านเองก็ใจร้ายเช่นกัน!
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง
เพื่อกู้หน้าตัวเองกลับคืนมา นางจึงจับผมหน้าม้า แล้วโบกมือไปทางกังหันน้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “เห็นนั่นหรือไม่?”
กังหันน้ำหมุนไปมา “โป๊ก โป๊ก โป๊ก!” และยังคงหมุนต่อไป บรรดาสาวโสดและลูกสะใภ้ในหมู่บ้านที่นั่งซักผ้าอยู่ข้าง ๆ พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกัน
“ไม่ช้าก็เร็ว พืชผลในท้องทุ่งนาจะเติบโตเองได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานคน มีรถราวิ่งไปมาโดยไม่ต้องใช้ม้าล่อ และเรือที่บินอยู่บนท้องฟ้าเหมือนนก…”
นันย์ตาของหยุนเชวี่ยเบิกกว้าง มองไปไกลสุดสายตาราวกับว่ามองเห็นอนาคตอันงดงาม “ในตอนนั้นทุกคนจะได้เรียนหนังสือ ทั้งชายและหญิงสามารถเข้าสอบรับราชการได้ โลกนี้จะไม่ใช่ของจักรพรรดิอีกต่อไป แต่คำตัดสินสุดท้ายจะเป็นของประชาชน ผู้คนสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมแม่น้ำและภูเขาได้ทุกที่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…”
เสี่ยวอู่ตกตะลึงกับภาพที่นางบรรยาย ดวงตาสีเข้มเป็นประกายจาง ๆ กว่าจะคืนสติกลับมาได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน
มันเป็นภาพที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนและไม่กล้าจะจินตนาการถึง แม้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็น่าหลงใหลยิ่งนัก…
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอู่ตกตะลึง หยุนเชวี่ยก็กระตุกสะโพกของเขา “เป็นอย่างไรบ้าง? พี่สาวของเจ้าเก่งหรือไม่?”
“เก่งกับมะเขือน่ะสิ! เจ้าจะถูกตัดหัวที่กล้าพูดจาลบหลู่จักรพรรดิ!” เสียงแตกพร่าดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร ผู้หญิงตัวปลอมคนนี้กำลังอยู่ในช่วงวัยที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของเสียง จึงไม่อาจแยกแยะได้ว่าน้ำเสียงของเขาเป็นเสียงของชายหรือหญิง ราวกับขันทีตัวน้อย
“เจ้าน่ะสิมะเขือ! จักรพรรดิสามารถควบคุมปากของทุกคนบนโลกได้หรือ?” หยุนเชวี่ยขยับสะโพกเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเขา
“เจ้าไม่เชื่อหรือ” เหอยาโถวหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกมาปัดฝุ่นดิน “ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่เป็นคนบ้าอำนาจ”
“…?”
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน ผู้คนหลายพันคนถูกตัดหัวประหารชีวิต แม้แต่เจิ้นอันอ๋องวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และกองทัพเหล็กดำของเขาก็ไม่รอด ชู่ว… เลือดในเมืองหลวงไหลรินลงสู่แม่น้ำ ช่างน่าสังเวช…”
ในหัวของหยุนเชวี่ยจินตนาการถึงภาพที่มนุษย์ถูกตัดหัวราวกับหั่นผัก “เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน?”
“จากนักเล่านิทานในเมือง”
“กล้ากล่าววาจาเช่นนั้นในที่สาธารณะ ไม่กลัวตายหรือ?”
การดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ราชสำนักของจักรพรรดินั้นถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ต้องพูดถึงการหารือเกี่ยวกับจักรพรรดิในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากถูกจับเข้าคุกหลวง คงไม่พ้นโดนถลกหนังจนขาดใจตาย
“จักรพรรดิผู้นี้เป็นคนโดดเดี่ยว เขาทั้งเป็นหม้ายและกำพร้า หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาลจับคนเข้าคุกเป็นการส่วนตัว ดูเหมือนว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคนผู้นั้นจะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิองค์เดิม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาต้องแก้แค้น…”
ตลอดหลายชั่วอายุของราชวงศ์ มีผู้คนมากมายที่สืบทอดราชบัลลังก์จากคนธรรมดาสามัญชน ตัวอย่างเช่น เจิ้นอันอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเหลียง ผู้มีกองทัพเหล็กดำอยู่ใต้บัญชาการ
ในช่วงหลายปีของสงคราม ชนเผ่าต่าง ๆ พร้อมจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ภูมิภาคตะวันตกและทางตอนเหนือของซินเจียง ผู้คนต่างหวาดกลัวและเสียขวัญ
องค์จักรพรรดิชราครองราชย์มาอย่างยาวนานถึงสี่สิบปี เช่นเดียวกันกับกองทัพเหล็กดำที่ได้รักษาความสงบและมั่นคงให้ต้าเหลียงมาเป็นระยะเวลาสี่สิบเช่นกัน ความสำเร็จมากมายถูกผู้คนกล่าวขานจนเป็นตำนาน ว่าจักรพรรดิองค์เดิมนั้นเป็นเทพเจ้าที่มีสามเศียรและหกกร (กร หมายถึง แขน / เศียร หมายถึง หัว)
เมื่อคิดได้เช่นนี้ โอกาสที่จะถูกตัดหัวนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย
หยุนเชวี่ยถึงกับถอนหายใจออกมาให้กับความโหดเหี้ยมขององค์จักรพรรดิ
เหอยาโถวกุมหน้าอก ทำท่าทางราวกับเป็นทุกข์แสนสาหัส “กล่าวกันว่าทหารของกองทัพเหล็กดำนั้นกล้าหาญและเก่งกาจในด้านการรบ ทุกคนล้วนสูงเจ็ดฉื่อ หน้าตาหล่อเหลา…”