ตอนที่ 20 โง่เง่าสิ้นดี

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 20 โง่เง่าสิ้นดี

เหอยาโถวอายุมากกว่าหยุนเชวี่ยเล็กน้อย ปีนี้อายุครบสิบสามปีเต็ม เขาเกิดมาพร้อมกับผิวพรรณบอบบางและอ่อนนุ่ม ดังนั้นจึงมักกล่าวอ้างว่าตนเป็นบุปผางามแห่งหมู่บ้านไป๋ซี

ผู้นำตระกูลเหอคือติงเฉา เหอยาโถวเป็นลูกชายคนเล็กของเขา มีพี่สาวอยู่สี่คน นอกจากนี้ในตอนเด็กร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นจึงได้รับการดูแลประคบประหงมจากคนทั้งครอบครัวราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า

เด็กชายคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านที่อายุเท่ากับเขา มักจะเข้าไปในเมืองเพื่อเป็นลูกมือฝึกหัดเรียนรู้งานฝีมือเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือไม่ก็ไปทำงานในทุ่งนาและกลายเป็นชาวนาอย่างเต็มตัว

หากจะกล่าวในอีกแง่มุมหนึ่ง เหอยาโถวก็นับว่าเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ ไหล่ของเขาไม่สามารถแบกหามของหนักได้ ส่วนมือนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง รูปลักษณ์ขาวสะอาด คิ้วโก่งเรียวบาง ดวงตาของเขางดงามกว่าหญิงสาวในหมู่บ้านเสียอีก

ดังนั้นหยุนเชวี่ยจึงคิดอยู่เสมอว่าค่อนข้างยากมากที่เขาจะหาภรรยาได้ในภายหน้า ให้เขาแต่งเป็นสะใภ้ยังเข้าบ้านอื่นยังมีความเป็นไปได้มากกว่าอีก

“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปซื้อของที่ตลาดในเมืองกับท่านแม่ เจ้าอยากไปหรือไม่?” เหอยาโถวเอ่ยถาม

“ไปตลาด?”

“อืม งานแต่งพี่สาวคนที่สามของข้าได้เจรจากันเรียบร้อยแล้ว จึงต้องไปตัดเสื้อผ้าชุดใหม่และเพิ่มสินเจ้าสาว”

ตระกูลเหอนับว่าเป็นครอบครัวที่ดี ลูกสาวคนโตแต่งงานเข้าไปอยู่ในเมืองและเปิดร้านขายเต้าหู้กับสามี ส่วนครอบครัวสามีของลูกสาวคนที่สองเป็นนายอำเภออยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง นอกจากจะร่ำรวยเงินทองแล้ว ยังมีที่นาทำเลดีและโคเนื้อ จึงทำให้ใครหลายคนต่างพากันอิจฉา รวมถึงแม่เฒ่าจูด้วย

เมื่อไม่กี่วันก่อนคนจากตระกูลหยูมาที่ประตูบ้านเพื่อเจรจาสู่ขอ หญิงชราพูดจาเสียงดังโอ้อวดยิ่งกว่าตระกูลเหอเสียอีก ด้วยความโลภมากไม่รู้จักพอ การเจรจาสู่ขอจึงยังไม่สำเร็จ

“งานแต่งของพี่สาวเซียงเอ๋อจะจัดขึ้นเมื่อใด?”

“ใกล้แล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง”

“แต่งเข้าบ้านผู้ใดหรือ?” หยุนเชวี่ยซุบซิบถาม

“พี่เขยรองของข้าเป็นคนจับคู่ให้ แต่งกับเถ้าแก่น้อยภัตตาคารหลงชิ่ง” เหอยาโถวภูมิใจเป็นอย่างมาก “เชวี่ยเอ๋อ ถึงตอนนั้นเจ้าต้องไปที่งานฉลองนะ ไก่ย่างที่นั่นอร่อยมาก”

ภัตตาคารหลงชิ่งเป็นร้านอาหารที่ได้รับการยกย่องมาโดยตลอด ร้านตั้งอยู่ในเมือง ดำเนินกิจการมายาวนานกว่ายี่สิบปี เจ้าของร้านมีความสามารถโดดเด่น มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน และชื่อเสียงดีงาม ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ไม่รู้จัก

บุตรสาวของตระกูลเหอล้วนเจริญรอยตามพ่อของพวกนาง แม้จะหน้าตาดูธรรมดา แต่พวกเขาก็ฉลาดและมีอำนาจ

หยุนเชวี่ยพยักหน้า “ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะไปตลาดด้วย”

“ต้องออกเดินทางแต่เช้า…”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกมาจากทางกังหันน้ำ “เชวี่ยเอ๋อ!”

“พี่สาวไฉ่เฉียว เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หยุนเชวี่ยโบกมือให้นาง

“ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากคุยกับเจ้า มานี่สิ” บรรดาหญิงสาวและลูกสะใภ้ในหมู่บ้านพูดคุยเรื่องตลกและหัวเราะด้วยกันขณะซักผ้า ช่างดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

หยุนเชวี่ยจูงมือเสี่ยวอู่เลาะเลียบไปตามแม่น้ำ เมื่อพวกเขาข้ามไปถึง ก็ถูกรุมล้อมและกล่าวคำยกยอ

“สาวน้อย เจ้าฉลาดอะไรเช่นนี้? การซักผ้าด้วยกังหันน้ำทำให้พวกเราประหยัดพลังงานไปได้มาก”

“ตอนเช้าก็มีคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาดู พวกเขาเองก็อย่างทำได้อย่างพวกเราบ้าง”

“อืม หากเชวี่ยเอ๋อเป็นผู้ชาย จะต้องอนาคตไกลแน่…”

หยุนเชวี่ยลอบคิดในใจว่าเหตุใดต้องเป็นผู้ชายถึงจะมีอนาคตไกล? แต่ปากของนางก็กล่าววาจาถ่อมตัว “พวกท่านอย่าล้อข้าเล่นเลย ฮิๆ”

เสี่ยวอู่จ้องมองค้อนที่ยังเคาะอยู่ ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความสงสัย

“สนใจหรือ?” หยุนเชวี่ยถามน้องชาย พร้อมกับลูบหัว

เสี่ยวอู่พยักหน้าด้วยความประหลาดใจ

“ป้าสะใภ้ใหญ่ ภรรยาบัณฑิตในบ้านเจ้ายังโอ้อวดเลยว่าเชวี่ยเอ๋อนั้นฉลาดมาก!” แม่หม้ายหลิวขึ้นเสียงและพูดติดตลก

“ใช่แล้ว ซานเป่าบ้านข้าสายตากว้างไกลมาก แม้แต่ข้าที่เป็นแม่ ยังเพิ่งเคยได้ยินเขาชมผู้อื่นเป็นครั้งแรก”

ซานเป่าเป็นชื่อเล่นเฟิงสือยวินหรือเฟิงซิ่วไฉ คนที่กำลังกล่าวอยู่ในตอนนี้คือนางหยางแม่ของเขา

“ถ้าเช่นนั้น ให้เชวี่ยเอ๋อไปเป็นลูกสะใภ้เจ้า เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”

เมื่อนางหยางได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มไม่หุบ “ดียิ่งนัก! ยิ่งข้ามองดูสาวน้อยผู้นี้ ข้าก็ยิ่งถูกใจมากขึ้นเท่านั้น”

หยุนเชวี่ยอายุยังน้อย จึงถูกหยอกล้อด้วยความสนุกสนานเท่านั้น หากนางเป็นสาวโตเต็มตัวคงเขินอายจนหน้าแดงและวิ่งหนีไปแล้ว

แต่นางไม่เขินอายและเผยรอยยิ้มจนเห็นไรฟัน “ท่านป้าหลิว ท่านไม่ทะเลาะกับท่านป้าอู่เอ้อแล้วหรือ?”

เมื่อวานเพิ่งได้ยินเหอยาโถวบอกว่าทั้งสองทะเลาะกัน และต้องการให้นางไปช่วยตัดสิน แต่วันนี้พวกนางกลับพูดคุยหยอกเย้ากันราวกับเป็นพี่น้อง

“พวกข้าทะเลาะกันไม่นานหรอก พูดคุยกันเพียงสองสามคำก็อารมณ์ดีแล้ว” ป้าอู่เอ้อกล่าวอย่างเปิดเผย

“ใช่แล้ว ก็แค่เรื่องตลกน่ะ” แม่หม้ายหลิวเองก็เป็นคนร่าเริง

“พวกเราทุกคนต่างอารมณ์ร้อน แต่ไม่ได้จิตใจเลวร้าย ในขณะที่บางคนเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว” ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา

หยุนเชวี่ยรู้สึกได้ถึงความหมายบางอย่างในวาจานี้

นางหยางรีบห้ามปราม “เชวี่ยเอ๋อยังเด็ก จะกล่าวอะไรต้องระวังวาจา”

หญิงผู้นั้นเหลือบหางตามอง จากนั้นก็สงบปากสงบคำไปทันที

หยุนเชวี่ยไม่ต่อความยาวสาวความยืด แต่หันไปสอบถามจากเหอยาโถวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ตอนเช้าตรู่ ในขณะที่ลูกสะใภ้หน้าใหม่ในหมู่บ้านกำลังซักผ้าอยู่นั้น หยุนชิ่วเอ๋อก็มาที่แม่น้ำและต้องการใช้กังหันน้ำ นางจึงไล่คนออกไปด้วยท่าทีเกรี้ยดกราด

แน่นอนว่าลูกสะใภ้ผู้มาใหม่ปฏิเสธความต้องการของนาง หยุนชิ่วเอ๋อจึงกล่าวอ้างว่ากังหันน้ำนี้คนตระกูลหยุนเป็นผู้สร้างขึ้น นับได้ว่าเป็นสมบัติของตระกูลหยุน หากไม่ยอมหลีกทางให้นางใช้ก่อน นางจะทำลายของสิ่งนี้ทิ้ง และจะไม่มีผู้ใดได้ใช้ประโยชน์จากมันอีก

ขณะที่กำลังโต้เตียงกันอย่างดุเดือด นางก็ได้ยกเท้าขึ้นมาเตะตะกร้าผ้าที่เพิ่งซักเสร็จของลูกสะใภ้ในหมู่บ้าน

ในตอนที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนวุ่นวาย ป้าอู่เอ้อบังเอิญเดินผ่านมาพอดี จึงได้เข้าร่วมวงพิพาทด้วย หยุนชิ่วเอ๋อนั้นอยู่ที่บ้านเป็นคนนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่เมื่ออยู่ข้างนอก ผู้ใดหรือจะยอมตามใจนาง?

เมื่อได้เผชิญหน้ากับป้าอู่เอ้อผู้แข็งแกร่ง เขี้ยวเล็บของนางถือว่าอ่อนด้อยกว่ามาก จึงถูกสาปส่งจนต้องหนีกลับบ้านไปพร้อมกับความพ่ายแพ้อันน่าอัปยศ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางยังกล่าววาจาจองหองอวดดี วันใดที่หยุนลี่จงได้รับเลือกให้เป็นขุนนาง นางจะสั่งให้ป้าอู่เอ้อคุกเข่าและก้มหัวให้นางเป็นการขอโทษ

หยุนเชวี่ยฟังด้วยสีหน้าถมึงทึง

โง่เง่าเสียจริง!

หยุนลี่จงยังไม่ได้เข้าสอบเลยด้วยซ้ำ แต่นางกลับวางท่าหยิ่งผยอง ราวกับว่าเมื่อเป็นขุนนางจะได้ขึ้นสวรรค์เลยอย่างนั้น

“คราวนี้ลุงใหญ่ของเจ้าจะได้เป็นขุนนางแล้วจริงหรือ?” เหอยาโถวเอ่ยถาม

หยุนเชวี่ยส่ายหน้า “ข้าก็ไม่อาจทราบ…”

คนฉลาดนั้นอ่อนน้อมถ่อมตนและสงวนท่าทีไว้ ส่วนคนที่มีความรู้เพียงตื้นเขินมักกล่าววาจาโอ้อวดตนเอง ช่างไร้พรสวรรค์เสียจริง คนมีความสามารถอะไร ไร้เหตุผลสิ้นดี

ผู้เฒ่าหยุนยังคงตั้งตารอคอยว่าบุตรชายของเขาจะได้เป็นขุนนาง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อเรื่องเหลวไหลเช่นนี้

“ชู่ว! เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังจะได้เป็นท่านหญิงในตระกูลขุนนางหรอกหรือ?” เหอยาโถวกล่าวด้วยความขบขัน

“ผู้ใดบ้างจะไม่อยากมีชีวิตที่สุขสบาย” หยุนเชวี่ยเบ้ปาก “ขอเพียงไม่มาก่อกวนบ้านข้าก็ขอบคุณสวรรค์แล้ว”

“เจ้าว่าคราวนี้เฟิงซิ่วไฉจะสอบผ่านหรือไม่?”

“…”

“ข้าว่าเขาทำได้ หวังหลี่เจิ้งเคยบอกว่าเขาถือกำเนิดมาจากดาวเหวินฉวี่ จึงมีความฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้ทุกตำรา ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา ภายหน้าย่อมประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แน่” เหอยาโถวจับใบหน้าขาวเนียนของตนแล้วพึมพำกับตัวเอง

“ใช่แล้ว!” จู่ ๆ ก็มีความคิดอย่างหนึ่งวาบขึ้นมาในหัวของหยุนเชวี่ย “เจ้าว่า… ให้เสี่ยวอู่น้องข้าไปเรียนหนังสือกับเฟิงซิ่วไฉ เขาจะยินดีหรือไม่?”

แผนการส่งเสี่ยวอูไปเรียนหนังสือนั้น หยุนเชวี่ยไตร่ตรองอยู่ในใจมาเป็นเวลานานแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ยังไม่เอื้ออำนวย หากได้ไปเริ่มเรียนกับเฟิงซิ่วไฉก่อน ถือว่าเป็นการวางรากฐานที่ดี

“เสี่ยวอู่เรียนหนังสือ?” เหอยาโถวประหลาดใจ

ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์และโง่เขลา ทั้งวันไม่กล่าววาจาอะไรออกมาแม้แต่ครึ่งคำ…

“ไม่ได้หรือ?” หยุนเชวี่ยไม่เคยชินกับแววตาตั้งคำถามของเขา

ทุกคนต่างบอกว่าเสี่ยวอู่เป็นเด็กโง่เขลา ดังนั้นนางจึงอยากให้คนเหล่านั้นได้เห็นว่าอัจฉริยะแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ต้องไม่มีผู้ใดคาดถึงแน่

“ไม่ใช่ นั่นแหละ…” เหอยาโถวไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เขาจึงรีบตบหน้าอกตัวเองอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปหาเฟิงซิ่วไฉกับเจ้าเพื่อพูดคุยเรื่องนี้ ดีหรือไม่?”