ตอนที่ 21 บ้านนอกเข้ากรุง
ช่วงเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปครึ่งดวง ท้องฟ้าราวกับถูกแต่งแต้มด้วยสีชาด
ผู้คนอยู่กันอย่างเงียบสงบ แต่ละครัวเรือนต่างก่อไฟสำหรับทำอาหารเย็นจนควันลอยคละคลุ้ง
“ไปเถอะ กลับไปกินข้าวกัน” หยุนลี่เต๋อหยิบจอบขึ้นมา ใบหน้าดำคล้ำจากการตั้งใจทำงานหนัก “พรุ่งนี้ค่อยมาปลูกผัก”
เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นได้ว่าพื้นที่รกร้างได้รับการทำความสะอาด แปลงผักขุดเรียงทีละแถวอย่างเป็นระเบียบ บ่งได้ว่าเป็นการทำงานของคนที่มีความละเอียดรอบคอบ
“ท่านพ่อ เมื่อไหร่ท่านจะไปล่าสัตว์ที่หลังภูเขาอีก?” หยุนเชวี่ยที่เดิมตามหลังเอ่ยถามขึ้น
“ที่บ้านยังมีเนื้อกระต่ายป่ากับไก่ฟ้าเหลืออยู่ เท่านั้นยังไม่เพียงพอที่บรรเทาความตะกละของเจ้าได้อีกหรือ?” แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องลงมา ทำให้ใบหน้าของแม่นางเหลียนเป็นสีแดงก่ำ รอยยิ้มของนางงดงามราวกับดอกท้อที่ผลิบาน
ชายร่างสูงหุ่นหนา ทอดสายตามองภรรยาของตนด้วยความรักอย่างอ่อนโยน พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ของเจ้าพูดถูก”
หยุนเชวี่ยไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกสองสามีภรรยาป้อนอาหารมาให้ ในใจรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจและมีความสุข
นางเดินต่อไปอีกสองก้าวก็กล่าวขึ้นมาอีกประโยค “ท่านพ่อ ข้าอยากเอาเนื้อไปให้ครอบครัวของเฟิงซิ่วไฉ”
หยุนลี่เต๋อถึงกับเงียบงัน
“หากเสี่ยวอู่ได้ร่ำเรียนกับเขา อนาคตเขาจะได้ก้าวหน้า!” หยุนเชวี่ยอธิบายเหตุผล
อีกหกเดือนเสี่ยวอู่ก็จะอายุครบสิบปี เพิ่งได้เริ่มเรียนในปีนี้ถือว่าช้ากว่าเด็กคนอื่น ๆ อยู่มาก หยุนเชวี่ยคาดหวังให้เขาได้มีพื้นฐานที่ดีก่อนจะเข้าเรียนในสำนักศึกษา
หยุนลี่เต๋อหยุดนิ่งไปชั่วขณะ “เสี่ยวอู่อยากเรียนหนังสือหรือ?”
ชาวนาทั่วไป หาเช้ากินค่ำ ชีวิตลำบากยากเข็ญ จนต้องออกไปขุดดินทำนา จะเอาเงินที่ไหนส่งให้เรียนหนังสือ?
ในหมู่บ้านไป๋ซีแห่งนี้เด็กชายที่ถึงวัยสิบขวบ มักจะได้เป็นแรงงานหลักในการทำนา นอกจากหวังหลี่เจิ้งแล้ว มีเพียงไม่กี่คนได้ร่ำเรียนหนังสือ
เกษตรกรนั้นเคารพนับถือบัณฑิต แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำกล่าวว่า ‘บัณฑิตไร้ประโยชน์’
นั่นหมายความว่าอย่างไร?
คำกล่าวนี้น่าจะหมายถึงบัณฑิตเช่นหยุนลี่จง มีชื่อเสียงดีงามว่าเป็นคนมีความรู้ แต่กลับไร้ความสามารถที่จะได้เป็นขุนนาง ดูถูกเหยียดหยามการทำไร่ทำนา ทั้งที่ยังหาเงินเองไม่ได้ แต่กลับคิดว่าตนสูงส่ง
เสี่ยวอู่ลังเล เขานิ่งเงียบและหลุบเปลือกตามองต่ำ
แม้เขาจะไม่ค่อยพูด แต่ก็ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป เขารู้ดีว่าครอบครัวของเขาไม่มีเงินมากพอที่จะส่งให้เรียนหนังสือ เสี่ยวอู่ไม่อยากเห็นท่านพ่อท่านแม่ต้องทนลำบาก
“เสี่ยวอู่งั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยสะกิดเขาด้วยศอก
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเสี่ยวอู่แดงก่ำ เขากำหมัดแน่น พร้อมส่ายหัวช้า ๆ
เสี่ยวอู่เป็นเด็กที่มีความคิดอ่อนไหวและใส่ใจกับทุกเรื่อง เพียงแต่เป็นคนพูดไม่เก่ง หยุนเชวี่ยครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากจบมื้อเย็นสองพี่น้องพากันออกมานั่งรับลมเย็นที่หน้าบ้าน คนหนึ่งเหยียดขา แหงนมองท้องฟ้า อีกคนเอามือจับแก้มแล้วก้มศีรษะลง
“เจ้าบอกพี่สาวได้หรือไม่ เหตุใดถึงไม่อยากเรียนหนังสือ?”
“…”
“กังวลว่าเฟิงซิ่วไฉจะไม่สอนเจ้าหรือ?”
“…”
“หรือกลัวว่าจะสอบไม่ผ่านเหมือนลุงใหญ่?”
“…”
“หรือกังวลเรื่องที่บ้านเรายากจนและไม่มีเงินส่งเจ้าเรียน?”
“…” ในที่สุดเสี่ยวอู่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขากัดริมฝีปากล่างของเขาเล็กน้อย
หยุนเชวี่ยเข้าใจแล้ว นางยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องชาย เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ขึ้นมาในหัวใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หยุนลี่จงกับหยุนโม่ได้เข้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษา ทุกคนในตระกูลหยุนจึงต้องรัดเข็มขัดให้แน่น แล้วพวกเขาสองคนใช้ชีวิตอย่างไร?
ถูกพะเน้าพะนอจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ทั้งวันเอาแต่เกียจคร้านและรอคนหาอาหารให้กิน เงินทองก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย
ส่วนเสี่ยวอู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กมีพรสวรรค์ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน…
“เสี่ยวอู่” หยุนเชวี่ยลุกขึ้น พร้อมกับหันไปพูดกับเขาอย่างจริงจัง “อย่าได้กังวล ตราบใดที่เจ้าอยากเรียนหนังสือ พี่สาวจะหาเงินส่งเจ้าเรียน!”
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีเข้มของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาไม่กล้าคาดหวังมากเกินไป
“อ่ะ…” นางยื่นนิ้วก้อยแล้วส่ายไปมา “ตั้งใจทำอย่างเต็มที่!”
เสี่ยวอู่…
หยุนเชวี่ย “ไว้หน้าพี่สาวบ้าง!”
ลมกลางคืนพัดผ่าน ท้องฟ้าดาษดื่นไปด้วยดวงดาว
สองหัวเล็ก ๆ เอนพิงซบกัน แต่ละคนต่างนึกถึงความปรารถนาในใจ
หยุนเชวี่ย ‘หาเงินเยอะๆ สะสมที่ดิน ซื้อบ้านหลังใหม่ และเป็นเศรษฐีที่ก้าวไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต ฮ่า ๆ ๆ!’
เสี่ยวอู่ ‘ตั้งใจเรียน! ตั้งใจเรียน! ตั้งใจเรียน!’
วันต่อมา
เหอยาโถวมาเรียกหยุนเชวี่ยให้ไปตลาดด้วยกันตั้งแต่เช้าตรู่
“เข้าไปในเมือง?” แม่นางเหลียนก้มลงไปก่อไฟ ฟืนที่เผาไหม้ส่งเสียงแตกดังออกมา “เจ้าจะไปทำอะไรในเมือง?”
“ไปดูโลกกว้าง” หยุนเชวี่ยสีหน้าสดชื่น และกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“ฮะๆ” แม่นางเหลียนหันมาหัวเรา “เจ้าสองคนตัวแค่นี้ จะไปดูโลกกว้างอะไร?”
“ไปกับท่านแม่ของข้า และจะกลับมาตอนเที่ยง ท่านให้เชวี่ยเอ๋อไปเถิด” เหอยาโถวช่วยขอร้อง
“ท่านป้าเขาไปทำธุระ เจ้าอย่าไปรบกวนเขาเลย”
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยยู่หน้าอย่างสงสาร ก่อนจะจับชายเสื้อของนาง “ข้าไม่เคยเข้าไปในเมืองมาก่อน ข้าอยากเห็น…”
เมืองอันผิงอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านไป๋ซี ห่างออกไปราวสิบลี้ ตามระยะทางเท้าของผู้ใหญ่ การเดินทางไปกลับใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว
แม้จะห่างไปเพียงสิบลี้ ไม่ต้องกล่าวถึงหยุนเชวี่ย ตัวแม่นางเหลียนเองยังเคยไปที่นั่นเพียงสองสามครั้งตอนที่เพิ่งแต่งงานเข้าตระกูลหยุน
จากคำบอกเล่าของแม่เฒ่าจู เมื่อเข้าไปในเมือง แม้แต่จะดื่มน้ำยังต้องใช้เงิน จึงเป็นการดีกว่าที่จะอยู่บ้านและขยันทำงานให้มากขึ้น
“ท่านแม่ หยุนเยว่ หยุนหรง และท่านอาชิ่วเอ๋อบอกว่าในเมืองนั้นครึกครื้นมาก…” หยุนเชวี่ยกระพริบปริบ ๆ ดวงตาสีดำกลมโตของนางแสดงถึงความอิจฉาและอ้อนวอน
แม่นางเหลียนไม่อาจทนมองนางได้อีก ในที่สุดก็ใจอ่อน และลุกขึ้นไปเช็ดมือ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง “รอเดี๋ยว”
ครู่ต่อมา นางรีบยัดกระเป๋าปักลายใบเล็กให้หยุนเชวี่ยและกระซิบเสียงเบา “เอาไป ระวังหาย ถ้าหิวก็ซื้อขนมกิน”
เงิน?
หยุนเชวี่ยประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อลองลูบ ๆ คลำ ๆ ดูก็พบว่ามีเงินอยู่ประมาณเจ็ดแปดเหรียญ
“รีบไปซะ หากท่านย่าเจ้ามาเห็นจะโดนด่าเอาได้” แม่นางเหลียนมองไปทางห้องชั้นบนอย่างเป็นกังวล
เงินพวกนี้ได้มาตอนครึ่งเดือนก่อน ในตอนนั้นหยุนเชวี่ยป่วยหนัก แต่แม่เฒ่าจูกลัวว่าจะต้องเสียเงิน จึงไม่ยอมเชิญหมอมารักษา ดังนั้นแม่นางเหลียนจึงขายสินเดิมของนางที่มีอยู่น้อยนิด จึงเหลือเงินส่วนนี้หลังจากนำไปซื้อยามารักษาลูกสาวของนาง
เดิมทีเหลือเงินอยู่สามสิบเหรียน แต่เมื่อหยุนชิ่วเอ๋อนึกอยากได้ นางจึงตะโกนร้องหายาหม่องทั้งวัน หากไม่ยอมซื้อให้ นางก็คงหาวิธีสร้างปัญหาเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด
เหลียนซื่อไม่มีทางเลือก นางจึงจำต้องควักเงินออกมายี่สิบเหรียญและฝากฝังให้ใครสักคนไปซื้อยาจากในเมืองมาให้นางหนึ่งกล่อง แต่หยุนชิ่วเอ๋อก็ยังไม่พอใจ ทั้งยังดูถูกว่าไม่ได้ซื้อมาจาก ‘โรงงานแขนเสื้อ’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
หยุนเชวี่ยเก็บกระเป๋าเงินไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
“ไปกันเถอะ ท่านแม่ข้ารออยู่!” เหอยาโถวเอ่ยเร่ง
“ไม่กินข้าวหรือ?”
“เมื่อวานแม่ข้าเตรียมขนมเอาไว้เผื่อเชวี่ยเอ๋อด้วย ท่านป้าอย่าได้ห่วง!”
ในเมืองอันผิง
ก่อนเข้าเมือง หยุนเชวี่ยยังคิดอยู่ว่าจะไม่ทำตัวบ้านนอกให้คนหัวเราะเยาะ
แต่เมื่อมาถึงในเมือง
“นี่คืออะไร?”
“แล้วนั่นล่ะ?”
“อ๊ะ! น้ำตาลปั้น!”
“อา! พัดอันนี้สวยมาก!”
“…”
หยุนเชวี่ยเผลอทำตัวบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเดินผ่านฝูงชน ก็ยิ่งตื่นเต้นที่ได้เห็นและได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนี้
“แม่นางน้อยรสนิยมเป็นเลิศ นี่เป็นลายปักที่สาว ๆ ในเมืองหลวงนิยมกันมาก ซื้อสักผืนหรือไม่?” เจ้าของร้านกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง
หยุนเชวี่ยไม่ได้คิดเรื่องนี้ นางจึงส่ายหัวอย่างหนักแน่น “ข้าแค่ดูเฉย ๆ ไม่มีเงินหรอก”
เจ้าของร้าน…