ตอนที่ 273 นางมารมั่วหร่านอี

พันธกานต์ปราณอัคคี

มีคำพูดหนึ่งว่าไม่พบความบังเอิญก็ไม่อาจเขียนเรื่องราวออกมา[1] ที่เอ่ยถึงก็คือสภาพของพวกมั่วชิงเฉิน

 

 

อีกฝ่ายไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เดิมทีมีกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวในมือยากมากที่จะพบร่องรอยของพวกเขา กลับไม่คิดว่าในยามนี้เอง หรวนหลิงซิ่วที่ถูกมั่วชิงเฉินตบด้วยก้อนอิฐจนสลบฟื้นขึ้นมา เมื่อนางลืมตาขึ้นก็กระโดดขึ้นมาโดยตรง แล้วตะโกนเสียงดังว่า “มั่วชิงเฉิน!”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเขียวคล้ำ ครั้งนี้ยังไม่รอนางเอาก้อนอิฐออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ใกล้หรวนหลิงซิ่วที่สุดคนหนึ่งก็เคาะนางจนสลบโดยตรงแล้ว

 

 

“ใคร ออกมา!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรมารตะคอกว่า สีหน้ากลับประหลาดเล็กน้อย

 

 

ทุกคนมองหน้ากันปราดหนึ่ง ได้แต่เดินออกไป

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นกวาดผ่านหน้าทุกคน ในที่สุดสายตาก็หยุดอยู่ที่หน้าต้วนชิงเกอ แล้วถามด้วยเสียงประหลาดเล็กน้อยว่า “เมื่อครู่ใครเป็นคนพูด?”

 

 

ต้วนชิงเกอจับต้นชนปลายไม่ถูก ไยผู้บำเพ็ญเพียรมารพวกนี้แต่ละคนล้วนบ้าๆ บอๆ เต๋ามารพบกัน ไม่ก็สู้กัน ไม่ก็แยกกัน ดูเช่นนี้แล้วไยกลับเหมือนจะคุยกันขึ้นมาล่ะ

 

 

“เฮ้ย ไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือ เมื่อครู่ใครเป็นคนพูด?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงเลิกคิ้วขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินแอบส่ายหน้า มั่วหร่านอียังคงนิสัยไม่เห็นคนอื่นในสายตาเช่นนั้นเหมือนเดิมจริงๆ

 

 

ต้วนชิงเกอก็โกรธขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ทางฝ่ายตนนี่จำนวนคนก็ไม่น้อยกว่าอีกฝ่าย เมื่อครู่ชิงเฉินให้ทุกคนหลบ ก็เพียงแค่ขี้เกียจฆ่าฟันกันอีกเท่านั้น ไม่ใช่กลัวพวกเขาเสียหน่อย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ถือดีอะไรบีบคั้นกันฉอดๆ เช่นนี้?

 

 

“ไยเราต้องบอกเจ้าด้วยว่าใครเป็นคนพูด?” ต้วนชิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

 

 

มั่วหร่านอีคิ้วยาวขมวดขึ้น ตารูปหงส์เรียวยาวเลิกขึ้นแผ่วเบา สายตาตกลงบนใบหน้าต้วนชิงเกออย่างสงสัยว่า “เจ้าคือมั่วชิงเฉิน?”

 

 

พูดถึงสุดท้ายน้ำเสียงกลับแน่ใจขึ้นมา ใช่แล้ว นางเด็กบ้านั่นตั้งแต่เด็กก็ชอบทำหน้าตานิ่งเรียบมิใช่หรือ เหมือนไม่ว่าอะไรก็มั่นใจเสียเต็มประดาอย่างไรอย่างนั้น บัดนี้พบกัน ยังน่ารังเกียจเหมือนเดิม!

 

 

ต้วนชิงเกอสงสัยอยู่ในใจ กลับไม่เข้าใจความหมายของมั่วหร่านอี หรือว่านางรู้จักชิงเฉิน?

 

 

นางเป็นคนฉลาด ได้ยินมั่วหร่านอีพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้มองไปที่มั่วชิงเฉิน หากแต่ถามกลับนิ่งเรียบว่า “ใช่แล้วเป็นเช่นไร ไม่ใช่แล้วเป็นเช่นไรอีก?”

 

 

กลับไม่คาดว่าเพิ่งพูดจบ ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงยื่นมือจับมาที่นาง ปากก็เอ่ยว่า “ตามข้ามา!”

 

 

คนของเหยากวงเห็นดังนั้นต่างลงมือพร้อมกัน อีกฝ่ายก็หยิบอาวุธเวทจู่โจมออกมาเช่นกัน

 

 

“ช้าก่อน!” มั่วชิงเฉินตะโกนว่า จากนั้นพูดกับมั่วหร่านอีว่า “เจ้าปล่อยนางก่อน”

 

 

มั่วหร่านอีเชิดคางขึ้น หัวเราะเย้ยว่า “ไยข้าต้องฟังเจ้าด้วย?”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกระตุกมุมปาก พี่สิบเอ๊ยพี่สิบ เจ้าช่างจองหองจริงๆ แม้จะบอกว่าความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรมารเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าสูงกว่าสักหน่อย ทว่าบัดนี้เขตแดนของเจ้ายังต่ำกว่าข้าขั้นหนึ่งรู้หรือไม่ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงลงมือสั่งสอนไปนานแล้ว

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ก็นึกอะไรขึ้นได้ นิสัยจองหองของมั่วหร่านอีไม่เปลี่ยนแปลง สามารถอธิบายได้ว่าหลายปีมานี้ นางมีชีวิตที่ไม่เลวใช่หรือไม่ กระทั่งยังมีตำแหน่งอยู่บ้าง?

 

 

นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินใช้หางตากวาดมองรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เห็นในผู้บำเพ็ญเพียรมารกลุ่มนั้นมีระดับสร้างรากฐานระยะปลายอยู่ชัดๆ ทว่าคนพูดและปฏิบัติกลับมีมั่วหร่านอีเป็นหลัก

 

 

คนคนหนึ่งสามารถทำให้คนอื่นยอมศิโรราบ หากไม่ใช่เพราะความสามารถ เช่นนั้นต้องเพราะตำแหน่งแน่นอน!

 

 

“โถงเฉาหยาง” มั่วชิงเฉินพูดสามคำออกมาเบาๆ

 

 

มั่วหร่านอีสีหน้าเปลี่ยนทันที มือก็คลายออก สายตาพิจารณามั่วชิงเฉินอย่างสงสัย นางเด็กบ้าที่ไม่สะดุดตานี่คือเจ้าสิบหก?

 

 

แม้นางไม่อยากยอมรับ ทว่าหน้าตาของมั่วชิงเฉินยามเด็กกลับสลักลึกลงในความทรงจำ เพราะอย่างไรเสียนั่นคือโฉมงามหยดย้อยที่ทำให้นางเห็นแล้วไม่สบอารมณ์ ต่อให้อยากลืมก็ลืมไม่ลง ยิ่งกว่านั้นทั้งสองคนยังเป็นศัตรูคู่แค้นมาตั้งหลายปี

 

 

“เจ้าตามข้ามา” มั่วหร่านอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง จากนั้นเชิดคางพูดกับผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมนั้นว่า “พวกเจ้ารออยู่นี่ อย่าก่อเรื่อง”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าให้ทุกคน เดินตามมั่วหร่านอีออกไป

 

 

สองคนวกไปถึงหลังต้นไม้แห่งหนึ่ง มั่วหร่านอีโบกมือกางเขตอาคมกั้นเสียงขึ้น ถึงพิจารณามั่วชิงเฉินพลางว่า “เจ้าคือมั่วชิงเฉิน?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “พี่สิบ ข้าคือเจ้าสิบหก”

 

 

มั่วหร่านอีชะงัก ในใจบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจ ถึงสุดท้ายเหลือเพียงความคิดเดียว นางคือเจ้าสิบหกที่น่ารังเกียจคนนั้นจริงๆ

 

 

เดิมทีรู้สึกว่าตนมีคำพูดเต็มอกอยากพูด ทว่าเมื่อยืนยันว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตรงหน้าคือมั่วชิงเฉินจริงๆ แล้ว เห็นตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายของนาง คำพูดพวกนั้นจู่ๆ ก็อุดอู้อยู่ในใจ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นมั่วหร่านอีไม่พูดไม่จา แอบว่าหรือว่านางยังไม่เชื่อว่าตนก็คือสิบหก คิดๆ ดูแล้วจึงยื่นมือปัดผมเผยให้เห็นหน้าผากอวบอิ่ม แล้วยิ้มให้มั่วหร่านอีว่า “พี่สิบ ทีนี้เจ้าคงจำได้แล้วกระมัง?”

 

 

สายตามั่วหร่านอีตกลงบนโฉมหน้างามหยดย้อยใบนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสุดท้ายเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เป็นเจ้าจริงๆ เจ้าสิบหก หลายปีมานี้เจ้าไปไหนแล้ว นี่เจ้าเข้าร่วมพรรคเหยากวงแล้วหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างนิ่งเรียบ “ข้าและท่านปู่ร่อนเร่ถึงอาณาเขตที่พรรคเหยากวงดูแล ทันพรรคเหยากวงเปิดประตูสำนักรับศิษย์พอดีจึงกราบเข้าพรรคเหยากวง พี่สิบ ไยเจ้าถึงกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารล่ะ?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าและผู้บำเพ็ญเพียรมาร เมื่อบำเพ็ญเพียรขึ้นมาหนทางแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางเปลี่ยนจากเต๋าเป็นมารเช่นนี้ เท่ากับต้องทำลายตบะตนเองเริ่มต้นใหม่ ตกลงประสบกับอะไรถึงทำให้นางทำเรื่องสุดโต่งเช่นนี้?

 

 

ไม่รู้คำพูดคำไหนกระทบกระเทือนถูกมั่วหร่านอี เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉินนางก็สายตาส่อเสียดขึ้นมาทันทีว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรมารแล้วเป็นเช่นไรล่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว นิสัยอ่อนไหวของมั่วหร่านอีช่างไม่เปลี่ยนเลยสักนิดจริงๆ จึงเอ่ยว่า “พี่สิบ ชิงเฉินไม่ได้บอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารเป็นเช่นไรนี่นา เพียงแต่ถามเจ้าว่าไยถึงกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร? หู่โถวล่ะ เขาอยู่ไหน?”

 

 

มั่วหร่านอีหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งว่า “เจ้าสิบหก เจ้าวางใจได้ น้องชายหู่โถวของเจ้าไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร! ส่วนเหตุใดข้าถึงกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่มีนิสัยเอาหน้าร้อนแนบก้นเย็น[2]ของชาวบ้านอยู่แล้ว ต่อให้มั่วหร่านอีมีความทุกข์แสนสาหัสที่พูดไม่ได้ การพูดจากระทบกระเทียบเช่นนี้เห็นความสัมพันธ์พี่น้องเป็นอะไรกัน จึงหน้าเย็นชาลงเช่นกันว่า “พี่สิบ เรื่องมาถึงบัดนี้เจ้าควรรู้ว่าปีนั้นคนที่ฆ่าล้างตระกูลมั่วเราคือผู้บำเพ็ญเพียรมารแล้วกระมัง เจ้าเอาตัวเข้าฝ่ายมารเช่นนี้ น้องจะถือว่าเจ้านอนฟืนชิมน้ำดีขม[3]หาโอกาสแก้แค้นให้คนในตระกูลได้หรือไม่?”

 

 

มั่วหร่านอีเลิกตาขึ้น ถูกต้อง นางหนูนี่ยังเป็นเหมือนสมัยเด็ก ไม่เคยเห็นพี่สาวคนนี้ในสายตา ทันใดนั้นจึงฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่งว่า “อะไรนอนฟืนชิมน้ำดีขม ข้าเต็มใจจะเป็นนางมารซะอย่างไม่ได้หรือไร?” พูดจบสะบัดแขนเสื้อสีแดง หมายจะไปแล้ว

 

 

“พี่สิบ เจ้าไม่อยากรู้ที่อยู่ของพี่สิบสี่หรือ?” มั่วชิงเฉินกัดปาก

 

 

มั่วหร่านอีหยุดฝีเท้าโดยพลัน มาถึงหน้ามั่วชิงเฉินราวกับพายุหมุน แล้วจับแขนของนางไว้แน่นว่า “หนิงโหรวอยู่ไหน?”

 

 

มั่วชิงเฉินฮึเบาๆ เสียงหนึ่ง เบือนหน้าไป

 

 

เป็นอะไร เจ้าระบายอารมณ์คุณหนูใหญ่เสร็จ ข้าก็จำเป็นต้องตอบที่ถามหรือ ฝันไปเถอะ!

 

 

มั่วหร่านอีสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงว่า “น้องสิบหก…ตกลงหนิงโหรงนางเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”

 

 

“พี่สิบ เจ้าพูดก่อนว่าไยเจ้าถึงกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร บัดนี้หู่โถวอยู่ไหน ชิงเฉินก็จะบอกที่อยู่ของพี่สิบสี่ให้เจ้ารู้” มั่วชิงเฉินก็มีเงื่อนไขขึ้นมา

 

 

มั่วหร่านอีกัดปาก นิ่งเงียบไปเนิ่นนานถึงเอ่ยว่า “ปีนั้น ข้าและหู่โถวถูกท่านปู่หัวหน้าตระกูลเคลื่อนย้ายไปด้วยกัน เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็อยู่สถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง ต่อมาข้าถึงรู้ว่าที่นั่นก็คือแดนไท่ไป๋ หู่โถวเขา… ไม่ได้อยู่กับข้า”

 

 

“อะไรนะ? พี่สิบ ปีนั้นพวกเจ้าถูกเคลื่อนย้ายไปด้วยกันมิใช่หรือ?” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างประหลาดใจ

 

 

มั่วหร่านอีขมวดคิ้วว่า “ข้าจะไปรู้ได้เช่นไรกัน เอาเป็นว่าเมื่อข้าลืมตา ก็ไม่เห็นหู่โถวแล้ว เขาอาจถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่นกระมัง”

 

 

มั่วชิงเฉินยากจะปิดบังความหดหู่ในใจ หากบอกว่าหู่โถวไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่เดียวกับมั่วหร่านอี เช่นนั้นบัดนี้เขาอยู่ไหนล่ะ ถอยก้าวหนึ่ง เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?

 

 

นึกถึงหู่โถวที่ซื่อๆ คนนั้นหากไม่อยู่แล้ว ใจนางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที จึงรีบไม่คิดลึกอีก สูดหายใจเข้าอึดหนึ่งแล้วว่า “เช่นนั้นต่อมาล่ะ?”

 

 

“ต่อมา ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่งบังเอิญเดินทางผ่านตรงนั้นช่วยข้าไว้ นางไปเพื่อหาหญ้ามารชนิดหนึ่ง นางพาข้าไว้ข้างกายครึ่งค่อนปี อีกทั้งยังรับเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาอีกก็พาข้าไปสำนักเม่ยหมัวแล้ว ข้าถึงรู้ว่าที่แท้นางเป็นเจ้าสำนักสำนักเม่ยหมัว ก็เป็นเช่นนี้” มั่วหร่านอีเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

เจ้าสำนักสำนักเม่ยหมัว? สวรรค์ ไม่นึกเลยว่ามั่วหร่านอีจะกลายเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าสำนักมาร ไยเหตุการณ์ถึงแปลกประหลาดเหลวไหลเช่นนี้!

 

 

เหลือบเห็นสีหน้างงงันของมั่วชิงเฉิน มั่วหร่านอีเอ่ยอย่างรำคาณว่า “พอแล้ว เจ้ารีบเล่าสถานการณ์ของหนิงโหรวให้ข้าฟังเร็ว”

 

 

มั่วชิงเฉินถึงเล่าสภาพของมั่วหนิงโหรวรอบหนึ่ง เพียงแต่เป็นห่วงว่าด้วยนิสัยของมั่วหร่านอีหากรู้ว่ามั่วหนิงโหรวกลายเป็นอนุไม่แน่อาจเกิดคลั่งขึ้นมาบุกไปถึงทะเลขนาบใจ จึงเพียงแค่เล่าว่ามั่วหนิงโหรวแต่งงานแล้ว แล้วยังให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่งเป็นต้น

 

 

มั่วหร่านอีฟังจบนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงว่า “หนิงโหรวเป็นเช่นนี้ก็ดี”

 

 

พูดพลางยิ้มระทมออกมาอย่างไม่คาดคิด แม้รีบปกปิดอย่างรวดเร็วกลับถูกมั่วชิงเฉินเห็นจนได้

 

 

“พี่สิบ เจ้าเคยเจอพี่เก้าหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามหยั่งเชิง

 

 

มั่วหร่านอีสีหน้าเย็นชาลงทันที แล้วหัวเราะเย้ยว่า “เซียนน้ำแข็งผู้เลื่องชื่อ ข้าจะไม่เคยพบได้อย่างไรกัน?”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบส่ายหน้า ไยมั่วหร่านอีเจอใครก็แทงคนนั้น เห็นเช่นนี้แล้ว การพบกันของนางและมั่วเฟยเยียนต้องไม่มีความสุขแน่

 

 

“พี่สิบ พวกเราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว บัดนี้ตระกูลมั่วก็เหลือพวกเราไม่กี่คน ไม่สู้คิดกันดีๆ ว่าจะสืบความจริงล้างแค้นเช่นไรดีกว่า ระหว่างพี่น้อง ไยต้องทำจนตึงเครียดเช่นนี้ด้วย?” มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ

 

 

มั่วหร่านอีกลับโกรธว่า “ล้างแค้น? ข้าเห็นมั่วเฟยเยียนพบข้า น่าจะแทบอยากฆ่านางมารเช่นข้าให้สิ้นซากมากกว่ากระมัง ว่าไปก็ถูก นางเป็นเซียน จะมองนางมารเช่นข้าอย่างถูกชะตาได้เช่นไร!”

 

 

พูดถึงตรงนี้กวาดมองมั่วชิงเฉิน แล้วหัวเราะฟู่ว่า “เจ้าสิบหก ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าด้วยพรสวรรค์ของเจ้าจะสามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ดูท่าทางโชคเจ้าไม่เลวเสมอมา ทว่าข้าขอเตือนให้เจ้าดับความคิดที่จะแก้แค้นเสีย ปีนั้นผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ฆ่าล้างตระกูลมั่วคือเจ้าโถงคนหนึ่งแห่งนิกายมารแดง เบื้องหลังเขามีผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อกำเนิดอยู่ เจ้าจะแก้แค้นอย่างไร?”

 

 

“ไม่คิด และไม่ได้มันคนละเรื่อง พี่สิบ เจ้าว่าเช่นไรล่ะ?” มั่วชิงเฉินยกตามองมา

 

 

มองดูดวงตาดอกท้อใสแจ๋วคู่นั้นของมั่วชิงเฉิน มั่วหร่านอีขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัวว่า “เจ้าสิบหก ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร เรื่องการแก้แค้นข้าขอเตือนว่าอย่าเพิ่งเพ้อฝันชั่วคราวจะดีกว่า ข้าไปแล้ว” พูดจบถอนเขตอาคมออก ยกเท้าเดินกลับไป

 

 

มั่วชิงเฉินมองเงาหลังสีแดงนั่นแล้วถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง แล้วก็เดินกลับเช่นกัน

 

 

“เอาล่ะ พวกเราไป เรื่องในวันนี้ พวกเจ้าก็ถือว่าไม่เห็น จำได้หรือไม่?” มั่วหร่านอีเลิกคิ้วถามขึ้น

 

 

“ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดรับคำ จากนั้นจากไปอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของมั่วหร่านอี

 

 

“ชิงเฉิน” ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินมองไปไกล จึงถามอย่างเป็นห่วงเสียงหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา มองทุกคนปราดหนึ่งว่า “พวกเราไปเถอะ”

 

 

ในยามนี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงแหลมโด่งดังขึ้นว่า “ดีนี่ มั่วชิงเฉิน ที่แท้เจ้าสบคบคิดกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร!”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ไม่พบความบังเอิญก็ไม่อาจเขียนเรื่องราวออกมา หมายถึง เหตุการณ์ชีวิตแต่ละวันก็มาจากเหตุบังเอิญเสียส่วนใหญ่

 

 

[2] หน้าร้อนแนบก้นเย็น หมายถึง ประจบประแจงคนอื่น แต่คนอื่นไม่ไยดี

 

 

[3] นอนฟืนชิมน้ำดีขม เป็นสำนวนที่มักใช้เพื่อสอนว่า คนเราต้องผ่านการเคี่ยวกรำตนเอง อดทน เพียรพยายามอย่างยิ่ง เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังเอาไว้