ตอนที่ 274 ดอกไม้แปลกประหลาด

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินหมุนตัวมา ก็เห็นหรวนหลิงซิ่วไม่รู้ฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้นราวกับล่วงรู้ความลับสะเทือนฟ้าอะไรเข้าก็ไม่ปาน สายตาที่มองมาที่นางอำมหิตอย่างหาใดเปรียบมิได้

 

 

มั่วชิงเฉินอดกวาดมองผู้บำเพ็ญเพียรที่ตบหรวนหลิงซิ่งสลบปราดหนึ่งไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นรูปร่างท้วม คือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนที่มาจากเด็กเลี้ยงวัวคนนั้น พริบตาเดียวผ่านไปหลายปีเพียงนี้ ตบะของเขายังคงหยุดอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนเห็นมั่วชิงเฉินกวาดสายตามา ไม่คิดว่าจะตะโกนขึ้นโดยตรงว่า “หัวหน้ากลุ่ม ข้าผิดไปแล้ว ไม่ได้ควบคุมแรงให้ดี…”

 

 

“ฟู่” ทุกคนต่างหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา

 

 

หรวนหลิงซิ่วหันหลังไปโดยพลัน ชี้ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนตาขวางว่า “ดีนี่ เจ้าอ้วนบ้า ที่แท้เจ้าเป็นคนตบข้าสลบ! เจ้าคอยดู รอข้ากลับไปได้เห็นดีกัน!”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “ศิษย์น้องหรวน เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย ทุกครั้งที่เจ้าตื่นอยู่ พวกเราก็จะถูกศัตรูค้นพบ ในเมื่ออย่างไรก็ต้องตบให้สลบ เช่นนั้นใครตบก็เหมือนกันมิใช่หรือ ข้าเพียงแต่อยู่ใกล้เจ้าหน่อยเท่านั้นเอง!

 

 

“ฮ่าๆๆๆ…” มีผู้บำเพ็ญเพียรหัวเราะจนงอตัวไม่ขึ้นแล้ว

 

 

สีหน้าหรวนหลิงซิ่วยิ่งนานยิ่งดำ ดวงตางดงามคู่นั้นจ้องทุกคนเขม็ง แล้วกระทืบเท้าอย่างแรงว่า “พวกเจ้า พวกเจ้าล้วนรังแกข้า!” พูดถึงตรงนี้ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วยิ้มเย้ยว่า “ฮึ พวกเจ้าอย่านึกว่ามีนางมารคนนี้คอยหนุนหลัง รอกลับไปข้าก็จะบอกเรื่องที่นางสมคบคิดกับผู้บำเพ็ญเพียรมารให้นักพรตคงฉวนได้รู้ ไม่ บอกชิงตู้เจินจวิน! ถึงเวลา พวกเจ้าก็ซวยเป็นเพื่อนนางแล้วกัน หึๆ”

 

 

มองดูใบหน้าที่บิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ของหรวนหลิงซิ่ว มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นแตะปลายเท้าใช้เคลื่อนเงาเลือนราง มาถึงหน้าหรวนหลิงซิ่วในพริบตา

 

 

หรวนหลิงซิ่วรู้สึกขนหัวลุกซู่ขึ้นทันที ก้มหน้าดูกริชสั้นไม่สะดุดตาที่วางขวางอยู่ที่คอ ทว่ากลิ่นอายเย็นที่แผ่ออกจากกริชกลับทำให้นางใจแป้ว

 

 

“เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?” หรวนหลิงซิ่วตะโกนเสียงดัง

 

 

มั่วชิงเฉินพิจารณาสีหน้าฝืนทนไว้ของนาง แล้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ข้าคิดจะทำอะไร ไม่สู้เจ้าลองเดาดูสิ ศิษย์น้องหรวน!”

 

 

“ฮึ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้ากล้าฆ่าข้า ว้าย…” หรวนหลิงซิ่วโวยวายเสียงแหลมพลางรู้สึกเจ็บที่คอ ก้มหน้ามองอีกทีก็เห็นของเหลวสีแดงย้อมลงบนกริชแล้ว นางแข้งขาอ่อนทันที ปากสั่นว่า “มั่ว มั่วชิงเฉิน เจ้าไม่อยากอยู่แล้วหรือ หากเจ้าฆ่าข้า ก็รอถูกฝังไปด้วยกันเถอะ!”

 

 

พูดถึงท้ายสุดหางเสียงสั่น หมดความมั่นใจ

 

 

นิ้วมือขาวสะอาดของมั่วชิงเฉินเช็ดคราบเลือดบนกริชเบาๆ แล้วหัวเราะอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์น้องหรวน เจ้าบอกว่าข้าเป็นนางมารมิใช่หรือ นางมารยังมีอะไรไม่กล้าทำอีกล่ะ? อีกอย่าง เจ้ากลับไปฟ้องบอกว่าข้าสมคบคิดกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร ไม่แน่ชิงตู้เจินจวินเกิดโกรธขึ้นมาก็จัดการข้าแล้ว ไหนๆ ก็ต้องตาย เช่นนั้นไม่สู้เจ้าลงไปรอข้าก่อนดีกว่านะ?”

 

 

พูดถึงตรงนี้สายตาเป็นประกาย มุมปากอมยิ้มว่า “ที่จริงนะ หากจัดการเจ้าก่อน ไม่แน่ข้าอาจไม่เป็นไรก็ได้นะ ใครให้พวกเราเจอผู้บำเพ็ญเพียรมารล่ะ เกิดการสูญเสียก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”

 

 

ทุกคนของเหยากวงไม่รู้ว่าที่มั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้เป็นการพูดจริงหรือพูดเล่น ได้ยินนางถามกลับตอบรับพร้อมกันด้วยปฏิกิริยาสะท้อนกลับว่า “ใช่!”

 

 

“พวกเจ้า พวกเจ้า…” หรวนหลิงซิ่วลืมตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ ถึงสุดท้ายถึงกับน้ำตาร่วงลงมาเหมือนสร้อยไข่มุกที่เชือกร้อยขาด

 

 

มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากอย่างปวดศีรษะ ไม่คิดว่าจะถูกขู่จนร้องไห้แล้ว ตกลงคุณหนูใหญ่คนนี้ถูกปกป้องไว้อย่างดีเพียงไหนกันเชียว ช่างเถอะ ถือสานาง ช่างเป็นการลบหลู่สติปัญญาจริงๆ

 

 

นึกถึงตรงนี้เก็บกริชกลับมา แล้วยิ้มให้หรวนหลิงซิ่วว่า “ศิษย์น้องหรวน ข้าไม่ได้ขู่เจ้าจริงๆ กลับไปจะพูดหรือไม่พูดเจ้าไม่ลองคิดดูให้ดี ที่จริงนะ ต่อให้เจ้าพูดก็ไม่เป็นไร อย่างมากข้าก็แค่เปลืองคำพูดมากอธิบายสักหน่อยเท่านั้น ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู เอ่อ ใช่แล้ว พวกเจ้าก็เช่นกัน”

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม วางใจได้ พวกเราจะขัดกันเองภายในได้เช่นไรกัน ใครพูดเหลวไหล ข้าหลิวต้าฝานจะไม่ปล่อยเขาไปคนแรก!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวที่เคยอยากรู้อยากเห็นถามมั่วชิงเฉินเรื่องเหินฟ้าตบหน้าอกว่า

 

 

“ใช่แล้ว ใครเกลือเป็นหนอน ข้าจะตบให้ตาย ครั้งนี้ข้ามีประสบการณ์แล้ว!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนตะโกนว่า

 

 

“เอาล่ะ ทุกคนไปเถอะ” มั่วชิงเฉินโบกมือ พาทุกคนรุดกลับไป

 

 

ก็ไม่รู้ว่าหรวนหลิงซิ่วถูกขู่จนตกใจจริงๆ แล้วหรืออย่างไร ไม่มีใครเรียกมั่วชิงเฉินไปถามอะไรทั้งนั้น ที่จริงสำหรับการนี้นางไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าหรวนหลิงซิ่วไร้เดียงสาเกินไปหรือไร หรือว่าพูดกับผู้บำเพ็ญเพียรมารสองสามคำก็คือสมคบคิดกับผู้บำเพ็ญเพียรมารแล้ว หากเป็นเช่นนี้ละก็ จำนวนคนที่สมคบคิดกับผู้บำเพ็ญเพียรมารเกรงว่าจะมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว

 

 

หลายวันมานี้ไม่ถึงคราวทีมจากเหยากวงทีมนี้ออกไปค้นหา มั่วชิงเฉินจึงศึกษาผลไม้สีแดงพวกนั้นอยู่ในห้อง

 

 

ปล่อยจิตตระหนักออกสายหนึ่งสำรวจภายในของผลไม้สีแดง สามารถเห็นถึงสภาพคละเคล้ากันของปราณวิญญาณและปราณมารภายในอย่างชัดเจน นอกเหนือจากนี้ก็ไม่พบความผิดปกติอย่างอื่นแล้ว

 

 

นางถือกริชหั่นผลไม้สีแดงออก น้ำสีแดงสายหนึ่งไหลออกมา ข้างในคือเมล็ดกลมกลึงสีน้ำตาลเข้มเม็ดหนึ่ง

 

 

จะชิมดีหรือไม่นะ?

 

 

ศึกษาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้อะไรออกมา มั่วชิงเฉินเขี่ยผลไม้เล่มพลางครุ่นคิด

 

 

ในเมื่อวานรวิญญาณพวกนั้นกินแล้วไม่เป็นไร ตนกินแล้วก็น่าจะไม่เป็นไรกระมัง จะปล่อยให้สุราเลิศรสพวกนั้นเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์คงไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินตัดสินใจแน่วแน่ ยื่นนิ้วมือออกแตะน้ำสีแดงหยดหนึ่งลองชิมดู

 

 

ขมจัง!

 

 

นางขมวดคิ้ว จากนั้นสงบจิตใจรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย กลับพบว่านอกจากความไม่สบายตัวเพียงน้อยนิดแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดอื่นอีก

 

 

ความไม่สบายตัวสายนี้นางกลับเข้าใจได้ ต้องเกิดจากปราณมารที่ปนอยู่ในผลไม้เข้าสู่ร่างกายเป็นแน่ ยังดีที่ปราณมารน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดการเสียหายใดๆ

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบผลไม้ขึ้นกัดคำหนึ่ง เคี้ยวอย่างละเอียด ขมมาก เนื้อผลไม้หยาบกระด้าง มิน่าวานรพวกนั้นกินคำหนึ่งก็โยนทิ้งแล้ว!

 

 

ทว่า ไยพวกมันถึงเด็ดลงมากินไม่หยุดนะ?

 

 

หรือว่า…ในผลไม้นี้ผสมไปด้วยของที่ต่างกัน วานรพวกนั้นหาสิ่งนี้อยู่?

 

 

เช่นนั้นที่พวกมันหาจะใช่มุกเจ็ดสีหรือไม่นะ?

 

 

นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย รีบเทผลไม้ทั้งหมดออกมา แล้วตรวจสอบทีละผลขึ้นมา

 

 

สองวันเต็มๆ มั่วชิงเฉินอุดอู้อยู่ในห้องตรวจสอบผลไม้พวกนี้ จนกระทั่งดูผลไม้ที่มีทั้งหมดจนหมด ก็ไม่พบว่ามีผลไหนผิดปกติ

 

 

หรือว่า ตนคิดมากไปแล้ว?

 

 

มั่วชิงเฉินลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าต่าง ผลักเปิดหน้าต่าง ลมเย็นม้วนเอาปราณวิญญาณและมารผสมกันพุ่งเข้ามา สมองที่มึนงงตื่นตัวขึ้นทันที แล้วหันหน้ามองไปที่ผลไม้สีแดงที่อยู่เต็มโต๊ะเต็มพื้น

 

 

ปราณวิญญาณ ปราณมารอยู่ร่วมกันในฟ้าดินได้โดยสวัสดิภาพ ทว่าไม่ว่าจะเป็นอสูรวิญญาณหรือพฤกษาวิญญาณ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีปราณสองปราณอยู่ร่วมกันข้างในมาก่อน ตนละเลยสิ่งใดไปใช่หรือไม่?

 

 

นึกถึงตรงนี้นางรีบเดินไปข้างโต๊ะหยิบผลไม้ขึ้นมาผลหนึ่งพิจารณาอย่างละเอียด เนิ่นนาน สายตาตกไปบนเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม

 

 

หากพูดว่าผลไม้นี้สามารถรับวิญญาณมารสองปราณไว้ภายในด้วยกัน สิ่งที่มันอาศัย คือเมล็ดใช่หรือไม่?

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นจิตตระหนักไปที่เมล็ด จากนั้นชะงักงัน จิตตระหนักถูกดีดกลับมาอย่างคาดไม่ถึง

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้นางเกินสนใจขึ้นมาทันที หยิบกริชออกมาหั่นไปที่เมล็ด เมล็ดกลับไม่สะทกสะท้าน ไม่เหลือแม้แต่รอยขีดข่วนสักรอย

 

 

ต้องรู้ว่ากริชเล่มนี้สามารถตัดเพชรได้โดยไม่ต้องออกแรง กลับทำอะไรเมล็ดนี้ไม่ได้ ไยเมล็ดนี้ถึงแข็งปานนี้?

 

 

มั่วชิงเฉินนับว่างัดข้อเข้ากับเมล็ดแล้ว ใช้วิธีการนับไม่ถ้วน เสียดายสุดท้ายก็ทำแตกไม่ได้

 

 

“ได้ ได้ ข้าทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้แล้ว” มั่วชิงเฉินพูดพลางโยนเมล็ดอันหนึ่งติดมือออกไป เมล็ดนั่นดังก๊องเสียงหนึ่ง ตกลงไปในแจกันดอกไม้ที่วางประดับอยู่

 

 

จิตใจเหมือนได้รับพรกระจ่างขึ้นนางรีบเดินไปข้างแจกันดอกไม้นั่น จ้องเมล็ดสีน้ำตาลเข้มที่ตกลงในแจกันดอกไม้เงียบๆ แล้วพึมพำว่า “แตกแล้วค่อยก่อ[1] แตกแล้วค่อยก่อ ไยข้าถึงไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดนะ”

 

 

พูดจบจึงหยิบดินออกจากสวนสมุนไพรพกพาใส่ลงในแจกันดอกไม้ แล้วฝังเมล็ดไว้ในดินรดสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนลงไปเล็กน้อย

 

 

วันแรก ในแจกันไม่มีความเคลื่อนไหว วันที่สอง มั่วชิงเฉินนำสมาชิกทีมออกไปค้นหาอีก เป็นเช่นนี้ผ่านไปสิบวันติดกัน ในที่สุดในแจกันก็งอกต้นกล้าสีเขียวอ่อนออกมา

 

 

ตั้งแต่งอกต้นกล้า การเปลี่ยนแปลงก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ต้นกล้าค่อยๆ งอกเป็นไม้หนามสีเขียวสดพุ่มหนึ่ง ตามอายุที่มากขึ้น สีเขียวสดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขียวเข้ม ต่อจากนั้นเขียวเข้มเปลี่ยนเป็นดำ รอยามที่ดำจนเงาไม่คิดว่าจะเริ่มกลายเป็นสีสนิม ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง มั่วชิงเฉินพบด้วยความดีใจว่าบนไม้หนามมีดอกตูมสีแดงงอกออกมาหลายดอก

 

 

ระยะนี้มั่วชิงเฉินนำสมาชิกทีมออกไปสำรวจติดๆ กันหลายครั้งแล้ว บางทีก็พบกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร จำนวนครั้งที่เกิดการรบกลับไม่มากแล้ว เสียดายที่ยังคงหาเงาของมุกเจ็ดสีไม่เจอแม้แต่น้อย

 

 

หลังจากนั้นอีกก็มีข่าวคราวลือมา ทางด้านเนินเซียนมารนั่นดูเหมือนจบเรื่องแล้ว มุกสีม่วงตกอยู่กับฝ่ายผู้บำเพ็ญเพียรเต๋านี่ ทว่ายังไม่รอให้ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าฉลองชัย ก็มีอีกข่าวหนึ่งลือมา ที่แท้ทางด้านป่ากาลีนั่นมุกสีเขียวตกเข้าไปในเงื้อมมือผู้บำเพ็ญเพียรมารก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เต๋ามารสองฝ่ายต่างได้มุกเจ็ดสีคนละเม็ด ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่สองสนามรบนั้นย่อมถูกจัดแบ่งไปสนามรบที่เหลือ

 

 

ได้ยินข่าวนี้ มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกดีใจเล็กน้อย นี่หมายความว่า ครั้งนี้กลับสำนักลั่วสยาจัดทัพก็อาจได้พบอาจารย์แล้วใช่หรือไม่?

 

 

เมื่อมีความคาดหวัง นางก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทั้งตัว วันเวลาที่จะกลับสำนักลั่วสยาก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่ามกลางการคาดหวังรางๆ

 

 

ในวันนี้ มั่วชิงเฉินลุกขึ้นมาเริ่มเก็บข้าวของแต่เช้า อีกพักหนึ่งก็จะเรียกสมาชิกทีมและทีมย่อยอื่นรวมตัวกันกลับสำนักลั่วสยาแล้ว

 

 

มองดูแจกันบนโต๊ะ ดอกตูมสีแดงบนไม้หนามอวบอิ่ม ดูเหมือนจะบานสะพรั่งได้ตลอดเวลา เสียดายเพียงระยะนี้นางรดด้วยสุราเลิศรสทุกวัน กลับยังเป็นสภาพเช่นนี้หมด

 

 

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป ติดมือรดสุราเลิศรสในน้ำเต้าเซียนลงไปเล็กน้อยแล้วคิดจะเก็บเข้าสวนสมุนไพรพกพานำกลับไป กลับต้องตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

 

 

เห็นเพียงดอกตูมสีแดงบนไม้หนามบานสะพรั่งออกในทันใด ดอกไม้สวยบอบบาง กลีบดอกที่มีเพียงหกกลีบชั้นเดียว กลับให้ความรู้สึกงามอย่างประหลาด

 

 

ที่เหนือความคาดหมายของมั่วชิงเฉินคือ ดอกไม้นี้เป็นสีแดงเข้ม ทว่าเกสรกลับเป็นสีดำ!

 

 

นางยื่นนิ้วมือออก แตะกลีบดอกอย่างหยั่งเชิงทีหนึ่ง แล้วก็รู้สึกร้อนเหมือนถูกไฟลวกทันที นางรีบหดมือกลับ รอครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปที่เกสรสีดำอีก ครั้งนี้ กลับรู้สึกเย็นยะเยือก

 

 

มั่วชิงเฉินลูบไล้นิ้วมือที่แตะดอกไม้ แล้วหายใจออกยาวๆ สีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมา

 

 

ดอกไม้นี้ สิ่งที่แผ่ออกมาจากดอกไม้นี้ไม่คิดว่าจะไม่ใช่ปราณวิญญาณและปราณมารที่นางคิด หากแต่เป็นปราณเซียนและปราณมาร!

 

 

ปราณเซียนและปราณมาร ปราณเซียนและปราณมารไยถึงปรากฏขึ้นในดอกไม้ดอกเดียวกันได้!

 

 

ในยามนี้เอง เรื่องที่ทำให้มั่วชิงเฉินยิ่งตกตะลึงเกิดขึ้นแล้ว เห็นจู่ๆ ปราณเซียนกลุ่มหนึ่งก็ลอยออกจากกลีบดอกไม้หกกลีบ ผสานเข้ากับปราณมารสีดำที่พุ่งออกจากเกสรดอกไม้สีดำแล้วหายเข้าไปกลางฝ่ามือนางอย่างรวดเร็ว!

 

 

 

 

——

 

 

[1] แตกแล้วค่อยก่อ หมายถึง ต้องทำลายกฎเกณฑ์เดิมก่อน ถึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นได้