เล่ม 1 ตอนที่ 169 การจลาจลสัตว์อสูรวิเศษ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาจากด้านนอก ไป๋อวิ๋นฉีจึงตะโกนเรียกเขาราวกับเห็นพระมาโปรด “ท่านน้าเขย ท่านช่วยพูดกับท่านน้าเล็กให้ทีเถิด!”

วังเหล่ยเข้ามาแล้วมองผู้คนภายในห้องปราดหนึ่ง ก็เห็นภรรยาของตนเริ่มชักดิ้นชักงออีกครั้ง จึงยักไหล่ให้ไป๋อวิ๋นฉีพลางเอ่ยว่า “เจ้าก็รู้นิสัยน้าเล็กของเจ้าดี หากวันนี้เจ้าไม่ยอมให้นางกอด นางก็ไม่มีทางยอมแพ้แน่”

“ท่านน้าเล็ก…” ไป๋อวิ๋นฉีถลึงตาใส่ซุนลี่ลี่อย่างจนใจ พอเห็นนางพุ่งเข้ามาจึงหลับตาแน่น

“เสี่ยวฉีฉี ฮือๆๆ ตอนนี้เจ้าโตเสียแล้ว ไม่น่ารักเหมือนเมื่อก่อนเลย โอ๊ย พอกอดแล้วความรู้สึกช่างไม่ถูกต้องเอาเสียเลย!” พอกอดไป๋อวิ๋นฉีเสร็จ ซุนลี่ลี่ก็ผลักเขาออกอย่างรังเกียจ จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือลงบนศีรษะเขาฉาดหนึ่งแล้วตะคอกใส่ว่า “เจ้าเด็กดื้อ ไปเทือกเขาสั่วเฟยย่าก็ไม่ยอมบอกข้า หึ ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่”

“ท่านน้าเล็ก ข้าก็แค่ไม่อยากให้ท่านเป็นกังวลเท่านั้นมิใช่หรือ” ไป๋อวิ๋นฉีมองซุนลี่ลี่อย่างจนใจ ก่อนจะโน้มเข้าไปข้างหูนางแล้วกระซิบเสียงเบาว่า “ท่านน้าเล็ก ที่นี่ยังมีสหายอยู่อีกตั้งหลายคน ท่านก็ไว้หน้าข้าบ้างเถิด!”

ขณะนี้เองท่านน้าเขยของเขาก็เข้ามาจัดการให้ เขาเข้ามาลากตัวซุนลี่ลี่แล้วตรงขึ้นไปนั่งยังที่นั่งประธานก่อนจะเอ่ยว่า “ลี่ลี่ มีคนอยู่กันมากมายเช่นนี้ เจ้าก็ทำตัวให้เหมาะสมหน่อยเถิด”

“หึๆ คราวนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อนก็ได้” ซุนลี่ลี่บิดตัวคราหนึ่งแล้วนั่งลงข้างกายวังเหล่ย หลังจากนั้นจึงพูดกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าเป็นสหายของเสี่ยวฉีฉีอย่างนั้นหรือ”

เมื่อครู่ตอนได้ยินนางพูดว่าเสี่ยวฉีฉีเป็นครั้งแรก พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว ตอนนี้มาได้ยินอีกครั้งก็ยังคงอยากหัวเราะอยู่ดี

“ท่านน้าเล็ก พวกเขาเป็นสหายที่ข้าได้รู้จักที่เทือกเขาสั่วเฟยย่า นี่คือโยวเย่ว์ จือฉี เจ้าอ้วน โอวหยางเฟย และเป่ยกงถัง” ไป๋อวิ๋นฉีมีภูมิคุ้มกันต่อคำเรียกหาของซุนลี่ลี่เสียแล้ว จึงแนะนำพวกซือหม่าโยวเย่ว์ให้นางรู้จักทีละคน

“รู้จักกันที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าอย่างนั้นหรือ” ซุนลี่ลี่มองพวกเขาปราดหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าอายุยังน้อยก็กล้าไปที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้ว ช่างเป็นผู้กล้าวัยเยาว์อย่างแท้จริง!”

“ฮูหยินชมเกินไปแล้วขอรับ” เว่ยจือฉีพูดแทนทุกคน

“ท่านน้าเล็ก พวกเขายังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าอีกด้วยนะ!” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตหรือ”

“ใช่แล้ว!” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “ตอนพวกเราอยู่ในภูเขา ได้พบกับฉินอู่เข้า เขาพาคนมาหมายจะสังหารข้า แต่ได้พวกเขาช่วยเหลือเอาไว้”

“ฉินอู่กล้าพาคนมาสังหารเจ้าอย่างนั้นหรือ” ซุนลี่ลี่ได้ฟังแล้วเดือดดาลขึ้นมาในทันใด นางยืนขึ้นมาก่อนจะตบโต๊ะฉาดใหญ่ “กลุ่มทหารรับจ้างโอหังนี่มันช่างบังอาจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ข้าจะกลับไปบอกพี่เขย ให้พี่เขยพาคนไปล้างบางพวกมันเสีย!”

“เจ้านั่งก่อนสิ” วังเหล่ยดึงตัวนางให้นางนั่งลงอีกครั้ง จากนั้นจึงมองไป๋อวิ๋นฉีพลางเอ่ยว่า “เจ้าเล่าเรื่องราวให้ข้าฟังอย่างละเอียดหน่อยสิ”

“ขอรับ”

ไป๋อวิ๋นฉีเล่าเรื่องราวในวันนั้นให้เขาฟัง เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ สีหน้าของซุนลี่ลี่จึงดีขึ้นมาเล็กน้อย พอได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นผู้สังหารฉินอู่ ทั้งสองคนก็ประหลาดใจอยู่บ้าง

“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเสี่ยวฉีฉีเอาไว้” ซุนลี่ลี่ยิ้มพลางพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์

“ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

“ท่านน้าเขย ที่ข้ามาคราวนี้เพราะมีเรื่องอยากขอให้ท่านช่วยเหลือด้วย” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“ให้ข้าช่วยหรือ เรื่องอันใดกัน” วังเหล่ยมองไป๋อวิ๋นฉี ก่อนหน้านี้เจ้าคนผู้นี้ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากเขามาก่อนเลย

“แค่ก ๆ เรื่องเป็นเช่นนี้ คือว่าพวกโยวเย่ว์เขามาจากอาณาจักรตงเฉิน ก็เลยอยากจะทำเอกสารยืนยันตัวตนที่เมืองไตรวารีน่ะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“มาจากอาณาจักรตงเฉินอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของซุนลี่ลี่และวังเหล่ยฉายแววประหลาดใจ

“ใช่แล้ว” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “ท่านน้าเขย ท่านช่วยทำเอกสารยืนยันตัวตนให้พวกเขาได้หรือไม่!”

วังเหล่ยพูดว่า “ได้น่ะได้อยู่หรอก แต่การทำเอกสารยืนยันตัวตนนั้นต้องใช้เวลาสองวัน นอกจากนี้ยังต้องหาที่แขวนเอาไว้อีกด้วย”

แขวนที่ว่านั้น อันที่จริงก็คล้ายกับการตั้งถิ่นฐานในชาติที่แล้ว แขวนไว้ที่เมืองไตรวารี ก็แสดงว่าเจ้าเป็นคนของเมืองไตรวารี

“ยังต้องหาสถานที่อีกหรือ แขวนไว้ที่จวนของพวกเราก็ใช้ได้แล้วนี่” ซุนลี่ลี่พูดอย่างง่ายๆ “แต่ยังต้องใช้เวลาสองวันอยู่ดี พวกเจ้าก็อยู่กันที่จวนเจ้าเมืองนี่สักสองวันไม่ดีหรือ”

“ดีเลย ท่านอาหลี่ พวกเราก็อยู่กันสักสองวันก่อนค่อยไปแล้วกันนะ” ไป๋อวิ๋นฉีมองหลี่ขุย

หลังจากที่หลี่ขุยเข้ามาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเลย จนตอนนี้จึงค่อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ทุกคนเพิ่งจะกลับมาจากสั่วเฟยย่า อยู่พักผ่อนกันที่นี่ก่อนสักหน่อยก็ได้ นอกจากนี้ถ้าหากต้องการ พวกเรายังช่วยจัดการธุระให้ได้ด้วยนะขอรับ”

“ใช่แล้ว เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียแล้วสิ” ไป๋อวิ๋นฉีตบหน้าผากแล้วพูดว่า “ท่านน้าเขย ตอนพวกเราออกมา สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของโยวเย่ว์บอกว่ามันพบว่าสัตว์อสูรวิเศษในเทือกเขาสั่วเฟยย่าดูหงุดหงิดกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีสัตว์อสูรวิเศษจากศูนย์กลางกลุ่มใหญ่กำลังอพยพไปยังบริเวณรอบนอกอีกด้วย ดูคล้ายว่าจะเป็นการอพยพอย่างเป็นระเบียบอีกด้วย ดังนั้นพวกเราจึงคิดว่าอาจจะเป็นสัญญาณบอกเหตุของการปฏิวัติสัตว์อสูรก็เป็นได้”

“สัตว์อสูรวิเศษกำลังเกิดการจลาจลอย่างนั้นหรือ” วังเหล่ยขมวดคิ้ว “แต่การปฏิวัติสัตว์อสูรนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งปีเท่านั้น เหลือเวลาอีกสองปีกว่าจะถึงการปฏิวัติสัตว์อสูรครั้งต่อไป แล้วมาเกิดการจลาจลขึ้นในเวลานี้ได้อย่างไรกัน”

“พวกเราก็มิอาจแน่ใจได้ว่านี่เป็นเรื่องภายในของสัตว์อสูรวิเศษ หรือจะกลายเป็นการปฏิวัติสัตว์อสูรกันแน่ พอพวกเรารู้เหตุการณ์นี้แล้วจึงรีบมาในทันที อยากมาบอกพวกท่านก่อนสักหน่อย” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

วังเหล่ยและซุนลี่ลี่ประสานสายตากันปราดหนึ่ง ต่างก็มองความเคร่งเครียดในแววตาของอีกฝ่ายออก เขาลุกขึ้นประสานหมัดคารวะทุกคนแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ข้าต้องไปจัดการให้คนตรวจสอบสักหน่อย ถ้าหากเป็นความจริง เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องขอให้ทุกคนลงมือลงแรงด้วย ตอนนี้ข้าต้องไปแล้วล่ะ ลี่ลี่ เจ้าต้อนรับทุกคนไปก่อนนะ ข้าขอตัว”

ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนพลางใช้สายตามองส่งเขา หลังจากนั้นจึงนั่งลงที่เดิม

ซุนลี่ลี่ดูเหมือนจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง ไอพลังบนร่างแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มองออกว่าข่าวเรื่องการจลาจลสัตว์อสูรวิเศษทำให้พวกเขากังวลใจเป็นอย่างมาก

“ท่านน้าเล็ก ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ไม่แน่ว่าสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นอาจจะแค่กระโดดโลดเต้นไปรอบๆ เขาสั่วเฟยย่าก็ได้นะ!” ไป๋อวิ๋นฉีเห็นซุนลี่ลี่วิตกกังวลจึงเอ่ยปลอบ

“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ดีน่ะสิ” ซุนลี่ลี่ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “แต่ถ้าหากไม่ใช่ เรื่องนี้ก็คงยุ่งยากเสียแล้ว”

“ยุ่งยากอย่างไรหรือ” เจ้าอ้วนชวีส่งเสียงถาม

ในความเห็นของพวกเขา หากสัตว์อสูรวิเศษมาก็แค่ฟาดให้มันกลับไปก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขากังวลใจอะไรกัน

หลี่ขุยที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปากพูดว่า “พวกเจ้าคงจะไม่เคยเห็นการปฏิวัติสัตว์อสูรล่ะสิ การปฏิวัติสัตว์อสูรทุกครั้งล้วนมีสัตว์อสูรวิเศษมารวมตัวกันนับหมื่น มิใช่สิ่งที่ทหารรักษาเมืองเหล่านี้จะต้านทานได้เลย ทุกครั้งก่อนหน้าการปฏิวัติสัตว์อสูร ท่านเจ้าเมืองวังจะต้องส่งคนไปเชิญปรมาจารย์วิญญาณจำนวนมากมาติดตั้งค่ายกล”

“ถ้าหากมีสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนั้นจริง เช่นนั้นนี่ก็ต้องเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งเลยสิ!” เจ้าอ้วนชวีมองหลี่ขุยอย่างตกใจ “ปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นเต็มใจมากันหรือไม่”

“พวกเขาต้องเต็มใจอยู่แล้วสิ!” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “จวนเจ้าเมืองตกรางวัลให้กับปรมาจารย์วิญญาณอย่างหนักทุกครั้ง หากปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นไม่เต็มใจ พอเจอรางวัลตอบแทนเข้าไปก็เต็มใจกันหมดนั่นแหละ”

น้ำเสียงของไป๋อวิ๋นฉีมิใคร่จะดีสักเท่าใดนัก มองออกได้ว่าเขาไม่ชอบปรมาจารย์วิญญาณที่มาติดตั้งค่ายกลให้เพียงเพื่อรางวัลเท่านั้นเอาเสียเลย

“ก็มิได้เป็นเช่นนั้นไปเสียทั้งหมดหรอก” ซุนลี่ลี่พูด “มีปรมาจารย์วิญญาณจำนวนไม่น้อยที่มาเพราะอยากช่วยพวกเราต้านทานการปฏิวัติสัตว์อสูร”

นางพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดแล้วมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ถ้าหากคราวนี้เป็นการปฏิวัติสัตว์อสูรจริงๆ หวังว่าพวกเจ้าจะอยู่ช่วยก่อนนะ”