เล่ม 1 ตอนที่ 170 ตระกูลซือหม่านี้มิใช่ตระกูลซือหม่าที่ตามหา

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซือหม่าโยวเย่ว์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ฮูหยิน พวกเรายังมีเรื่องต้องไปทำ ด้วยเหตุนี้จึงมิอาจอยู่ที่นี่นานๆ ได้ ถ้าหากมีการปฏิวัติสัตว์อสูรในระยะเวลาอันสั้นจริงๆ พวกเราย่อมต้องช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแน่นอน ถ้าหากต้องรอถึงครึ่งปี พวกเราคงรอนานถึงเพียงนั้นไม่ไหวหรอก”

“มิทราบว่าพวกเจ้ามีเรื่องอันใดต้องไปทำกันหรือ” ซุนลี่ลี่พูด

“ช่วยคนน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่คิดจะปิดบัง “เมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านี้คนตระกูลซือหม่าจับตัวท่านปู่กับพี่ชายของข้าไป ข้ากับคนที่ไปในตอนนั้นได้กำหนดเวลาเอาไว้สามปี ข้าจึงจำเป็นต้องไปช่วยพวกท่านปู่ข้าภายในระยะเวลาสามปีที่กำหนดเอาไว้”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ซุนลี่ลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดว่า “แล้วยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่จึงจะถึงกำหนดเล่า”

“ครึ่งปีพอดี” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ

ผลาญเวลาอยู่ในเมืองหลวงเกือบครึ่งปี แล้วฝึกประสบการณ์อยู่ในเทือกเขาสั่วเฟยย่าอีกสองปี ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเวลาอยู่อีกเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น

“คนของตระกูลซือหม่านี้มิใช่คนดีอะไรเลย โยวเย่ว์ ตอนนั้นเจ้าทำข้อตกลงกับใครไว้น่ะ คนผู้นั้นเชื่อถือได้หรือไม่” ไป๋อวิ๋นฉีรังเกียจคนตระกูลซือหม่าเป็นอย่างยิ่ง เขาเดือดดาลจนกำหมัดแน่น

“ข้าทำข้อตกลงเอาไว้กับซือหม่าหลิน” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา นัยน์ตาก็มีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน

“ซือหม่าหลินหรือ” เมื่อได้ยินชื่อนี้ ไป๋อวิ๋นฉี ซุนลี่ลี่ รวมถึงหลี่ขุยต่างพากันขมวดคิ้ว

คล้ายว่าพวกเขาต่างไม่เคยได้ยินชื่อนี้กันมาก่อนเลย

“ทำไมหรือ คนผู้นี้ไม่ดีอย่างนั้นหรือ เป็นคนไม่รักษาคำพูดหรือไร” เจ้าอ้วนชวีเห็นพวกเขามีสีหน้าผิดปกติ หัวใจจึงเต้นไม่เป็นส่ำ

“ซือหม่าหลินนั่นมีพลังยุทธ์ระดับใดหรือ” ซุนลี่ลี่ถามโดยไม่ให้คำตอบ

“เมื่อสองปีก่อนก็เป็นระดับราชันวิญญาณขั้นสูงแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้บรรลุไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้วหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสีหน้าของซุนลี่ลี่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิมจึงถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือไม่”

“โยวเย่ว์ เท่าที่พวกเรารู้ ในตระกูลซือหม่าไม่มีคนที่ชื่อซือหม่าหลินผู้นี้อยู่เลยน่ะสิ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“ไม่มีคนผู้นี้หรือ จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์และพวกเว่ยจือฉีล้วนแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ถ้าหากเป็นตระกูลซือหม่าจริง แล้วจะไม่มีคนผู้นี้อยู่ได้อย่างไรกัน

“เป็นความจริง ถ้าหากเป็นคนที่ย่างเท้าเข้าสู่ระดับจ้าววิญญาณไปครึ่งตัวตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ย่อมต้องเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในอาณาจักรจันทร์ประจิมอย่างแน่นอน แต่ตระกูลซือหม่าไม่มียอดฝีมือระดับราชันวิญญาณที่ชื่อซือหม่าหลินอยู่จริงๆ” หลี่ขุยพูดอธิบาย

“เป็นไปได้อย่างไร…”

“ไม่มีคนซือหม่าหลินสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ตนเองใจเย็นลงแล้วถามว่า “เช่นนั้นมีซือหม่าข่ายกับซือหม่าเค่อหรือไม่”

“ไม่มีเช่นกัน พวกเราไม่เคยได้ยินชื่อคนที่เจ้าพูดถึงเหล่านี้เลย” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “พวกเรากับคนตระกูลซือหม่าล้วนใช้ชีวิตกันอยู่ในเมืองผิงคัง ถ้าหากมีคนเช่นนี้อยู่ ย่อมไม่มีทางที่พวกเราจะไม่รู้”

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง

“อาจจะเป็นข้อผิดพลาดก็ได้นะ ตระกูลซือหม่าที่พวกเจ้าต้องการตามหาอาจจะมิใช่ตระกูลซือหม่าแห่งเมืองผิงคังก็ได้” ไป๋อวิ๋นฉีคาดเดา

“ก็เป็นไปได้อยู่นะ” เป่ยกงถังพูด “บนดินแดนเดียวกันจะมีตระกูลที่แซ่เหมือนกันอยู่ก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด”

“เช่นนั้นพวกท่านรู้หรือไม่ว่านอกจากตระกูลซือหม่าแห่งเมืองผิงคังแล้วยังมีตระกูลที่ใช้แซ่ซือหม่าอยู่ที่อื่นอีกหรือไม่” โอวหยางเฟยถาม

“อย่างน้อยภายในอาณาจักรจันทร์ประจิมก็ไม่มีแล้ว” หลี่ขุยพูดพลางส่ายศีรษะ

“ข้ารู้จักตระกูลแซ่ซือหม่าอยู่ตระกูลหนึ่ง” ซุนลี่ลี่พูด “แต่ถ้าหากเป็นตระกูลนั้นจริงๆ สิ่งที่พวกเจ้าต้องเผชิญในอนาคตคงเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างมหันต์เลยทีเดียว”

“นั่นคือตระกูลใดกันหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

ซุนลี่ลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าเคยได้ยินคนที่บ้านข้าพูดว่ามีตระกูลซือหม่าตระกูลหนึ่งอยู่ที่อาณาจักรอู๋กลาง…”

เมื่อได้ยินว่าอาณาจักรอู๋กลาง หลี่ขุยและไป๋อวิ๋นฉีต่างก็สะดุ้งแล้วพูดว่า “ที่ท่านหมายถึงคือตระกูลนั้นใช่หรือไม่”

“ตระกูลอะไรกัน” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ความจริงแล้วแม้จะพูดว่าสี่อาณาจักรใหญ่ แต่อาณาจักรอู๋กลางนั้นคนล้ำแผ่นดินเลิศ โดดเด่นเหนือพวกเราอีกสามอาณาจักรมากมาย” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “แม้กระทั่งขุมอำนาจของพวกเขาก็ยังใหญ่โตกว่าของพวกเราที่นี่มากนัก”

“วัดจากอะไรหรือ”

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าขุมอำนาจที่ดินแดนอี้หลินนั้นแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ มากมาย” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “อาณาจักรอู๋กลางมีขุมอำนาจชั้นหนึ่งและสองอยู่มากที่สุด”

“เช่นนั้นตระกูลซือหม่า…”

“ก่อนหน้านี้ตระกูลซือหม่าเป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่ง แต่หลายปีหลังๆ มานี้ตกต่ำลงไปอยู่บ้าง จึงมีแนวโน้มว่าจะตกไปเป็นขุมอำนาจชั้นสอง” ซุนลี่ลี่พูด “แต่เหมือนที่โบราณว่าไว้ อูฐที่ผอมตายย่อมใหญ่กว่าม้า ถึงแม้ว่าตระกูลซือหม่านั่นจะสู้ก่อนหน้านี้มิได้ แต่รากฐานก็ยังคงอยู่ มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสั่นคลอนได้ ดังนั้นข้าจึงบอกว่าถ้าหากตระกูลที่พวกเจ้าตามหาคือตระกูลซือหม่านั่น คู่ต่อสู้ของพวกเจ้าก็ยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว”

เมื่อได้ฟังคำพูดของซุนลี่ลี่ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่างก็นิ่งเงียบไป

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่า ไป๋อวิ๋นฉีเคยเล่าเรื่องการแบ่งขุมอำนาจออกเป็นระดับต่างๆ ให้พวกเขาฟังตอนอยู่ที่สั่วเฟยย่า เป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งได้ เช่นนั้นก็ต้องมีคนระดับจ้าววิญญาณอย่างน้อยยี่สิบคนขึ้นไป ราชันวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน มีทรัพยากรในการฝึกยุทธ์มากมาย นอกจากนี้ยังมีขุมอำนาจที่พึ่งพาอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

ถ้าหากเป็นตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางจริงๆ การที่เธอคิดจะช่วยเหลือพวกซือหม่าเลี่ยออกมาจากเงื้อมมือพวกเขาคงจะยากเย็นยิ่งนัก

“นอกจากตระกูลซือหม่าสองตระกูลนี้ ก็ไม่มีตระกูลที่ใช้แซ่ซือหม่าอยู่อีกแล้วหรือ” เว่ยจือฉีนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาจึงขมวดคิ้วถามขึ้น

“คนแซ่ซือหม่ามีอยู่ไม่น้อย แต่ตระกูลมีอยู่ไม่มาก ที่พวกเรารู้จักก็มีแค่สองตระกูลนี้นี่แหละ” ซุนลี่ลี่พูด “ถ้าหากแม้แต่พวกเรายังไม่เคยได้ยิน ตระกูลเช่นนั้นคงไม่มีพลังยุทธ์พอที่จะกล้าบุกไปเทือกเขาสั่วเฟยย่า ไปจับตัวท่านปู่เจ้าตามอำเภอใจหรอก”

“เช่นนั้นฮูหยินทราบหรือไม่ว่าปราณวิญญาณที่คนของตระกูลซือหม่าทั้งสองตระกูลฝึกนั้นเป็นปราณวิญญาณธาตุใด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ตระกูลซือหม่าแห่งเมืองผิงคังส่วนใหญ่เป็นธาตุทองและธาตุดิน ส่วนของอาณาจักรอู๋กลางเป็นธาตุไฟ” ซุนลี่ลี่เอ่ยตอบ

“ธาตุไฟ…” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยพึมพำ “เช่นนั้นน่าจะเป็นตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางแล้วล่ะ”

“ใช่แล้ว คนผู้นั้นที่บ้านข้ายังบอกด้วยว่าเขาเคยโชคดีได้เห็นคนของตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางสำแดงทักษะวิญญาณ เปลวเพลิงท่วมฟ้ารวมตัวกันออกมาจากดาบใหญ่เล่มเดียว ดาบเปลวอัคคีนั้นมีพลานุภาพรุนแรงอย่างยิ่ง สามารถปลิดชีพสัตว์อสูรเทพตนหนึ่งได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว!”

“ดาบเปลวอัคคี!”

พวกเว่ยจือฉีต่างมองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ วันนั้นเธอก็สำแดงดาบเปลวอัคคีออกมาเช่นเดียวกัน

พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังเรื่องนี้ ในใจก็สั่นสะท้านอยู่บ้าง เมื่อได้รู้ว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางจะเป็นตระกูลที่เธอตามหาอยู่ มิฉะนั้นในตอนนั้นซือหม่าหลินคงจะไม่พูดว่าต่อให้พวกเขาร่นถอยกลับไป ก็จะมีคนที่ร้ายกาจกว่ามาเพิ่มมากขึ้นอีก ขุมอำนาจที่ทำให้ซือหม่าเลี่ยยอมกลับไปด้วยโดยไม่ต้านทาน แน่นอนว่าต้องมิใช่ขุมอำนาจธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว

นอกจากนี้โอวหยางเฟยเคยบอกว่าที่อาณาจักรทักษิณายาตรไม่มี ตอนนี้อาณาจักรจันทร์ประจิมก็ไม่มี จึงเหลือเพียงแค่อาณาจักรนางแอ่นอุดรกับอาณาจักรอู๋กลางสองอาณาจักรนี้เท่านั้น ถ้าหากยังมีตระกูลซือหม่าอื่นๆ อยู่อีก คนของซุนลี่ลี่ที่ใช้ชีวิตกันมานานกว่าร้อยปีเหล่านี้ไม่มีทางไม่รู้อยู่แล้ว

“ขุมอำนาจชั้นหนึ่ง ต่อให้ตกต่ำลงก็ยังมิใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าใจในเรื่องนี้แล้วก็ลอบถอนหายใจ

ดูท่าทางการช่วยท่านปู่กับพวกพี่ๆ จะยากกว่าที่เธอคาดการณ์เอาไว้มากมายเลยทีเดียว!

เห็นซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งเงียบไป ทุกคนก็กังวลใจกันอยู่บ้าง

ไป๋อวิ๋นฉีกระแอมแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางถามว่า “โยวเย่ว์ ถ้าหากเป็นตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางจริงๆ แล้วเจ้าคิดจะทำเช่นไรเล่า”